ท่านคิดเห็นอย่างไรเกี่ยวกับโรคซึมเศร้า เชื่อหรือไม่!?
<<
<
1
2
3
4
Reply
Vote
# Wed 15 Aug 2018 : 10:11PM
ประเทศเรามันกำลังพัฒนาครับ จะให้มาสนใจพวกนี้ไม่ได้หรอก อุบัติเหตุยังแก้ไม่ได้เลย
จริงๆแล้วคนฆ่าตัวตายเยอะเลยนะครับ โดยเฉพาะคนที่ไม่มีเงิน แล้วก็จบไปไม่มีใครสนใจ คนมีเงินเค้าหาทางออกช่วยตัวเองได้อยู่แล้ว
ลองไปดูรพ.รัฐครับ อนาถสุดๆ ถ้าใครอยากเห็นแหล่งเสื่อมโทรมมากๆ ให้มาดูรพ.รัฐครับ กลิ่นขี้เยี่ยวนอนอัดๆกันไป จะให้มาสนใจโรคนี้คงอีกหลายสิบปีครับ
จริงๆแล้วคนฆ่าตัวตายเยอะเลยนะครับ โดยเฉพาะคนที่ไม่มีเงิน แล้วก็จบไปไม่มีใครสนใจ คนมีเงินเค้าหาทางออกช่วยตัวเองได้อยู่แล้ว
ลองไปดูรพ.รัฐครับ อนาถสุดๆ ถ้าใครอยากเห็นแหล่งเสื่อมโทรมมากๆ ให้มาดูรพ.รัฐครับ กลิ่นขี้เยี่ยวนอนอัดๆกันไป จะให้มาสนใจโรคนี้คงอีกหลายสิบปีครับ
Like : Amail
# Thu 16 Aug 2018 : 6:47AM
มองอีกมุมหนึ่งของสังคมที่คิดว่าอาการซึมเศร้าไม่ใช่โรคเหมือนที่วิทยาศาสตร์อธิบาย เมื่อก่อนเคยได้ยินเกี่ยวกับกลุ่มเด็กที่ทดลองศาสตร์ลี้ลับเรื่องผี พอเวลาผ่านไปไม่นานเด็กกลุ่มนั้นเริ่มมีอาการหวาดผวากลัวสิ่งต่างๆ จนต้องนำกลุ่มเด็กๆมาทำพิธีกรรมเรียกขวัญกว่าจะกลับไปเรียนได้เป็นปกติ
กรณีช็อกกะทันหันมันจะทำให้ออกซิเจนในสมองและเม็ดเลือดทำงานผิดปกติจนอาจเสียชีวิต แต่แน่นอนอาการช็อกก็ไม่สามารถที่จะรักษาโดยพิธีกรรมให้ร่างกายกลับมาดีขึ้นได้ แต่หลายกรณีของผู้ซึมเศร้าศาสตร์ที่งานวิจัยพิสูจน์ไม่ได้ด้วยหลักการแพทย์ กลับช่วยให้ผู้ที่ผ่านพิธีกรรมรู้สึกสบายใจและสุขภาพเป็นปกติได้
ความเชื่อไม่ใช่ทุกที่จะได้รับการยอมรับ ยิ่งสมัยที่มีงานวิจัยวิทยาศาสตร์มายืนยันมากมายความเชื่อจะถูกเรียกว่าบ้าเข้าไปอีก แต่ลองมองถึงความสำคัญของพิธีกรรมอย่างการเรียกขวัญที่มีมาเป็นระยะนับพันปีแล้ว เนื้อหาสาระของพิธีกรรมก็ไม่ใช่การไล่ผีหรือสิ่งชั่วร้ายไปซ่ะทีเดียว แต่มันคือการสร้างกำลังใจในช่วงที่จิตใจเด็กคนนั้นไม่สงบนิ่ง
สิ่งที่โรคหรืออาการซึมเศร้ามันรุนแรงในประเทศไทยจนเป็นอันดับต้นๆของการเสียชีวิต เพราะปัญหาทางสังคมหรือชนชั้นทางวัฒนธรรมก็มีส่วนอย่างมาก ความเข้าใจในเรื่องต่างๆของคนไทยได้รับข่าวสารมาไม่เท่ากันทั้งความเชื่อหรือเรื่องจริง ทางออกที่ดีที่สุดนอกจากพิธีกรรมแล้วควรให้จิตแพทย์ตรวจสอบด้วยอีกทางหนึ่ง
และเรื่องความเชื่อพวกกลับชาติมาเกิด มีคนมาขอส่วนบุญ หรือเจ้ากรรมนายเวรมาทวงหนี้ เรื่องแบบนี้ก็น่าจะหาวิธีการที่เหมาะสมรับมือเพื่อความสะบายใจของเราด้วย หากตัวเองอยู่ดีๆเกิดฝันเห็นนิมิตมีคนมายืนปลายเตียงนอนเหมือนมาเอาชีวิตเรา จิตแพทย์อาจให้คำปรึกษาที่ไม่ตรงประเด็นแต่หมอแก้เคล็ดอาจรู้ทางแก้ปัญหาครับ
กรณีช็อกกะทันหันมันจะทำให้ออกซิเจนในสมองและเม็ดเลือดทำงานผิดปกติจนอาจเสียชีวิต แต่แน่นอนอาการช็อกก็ไม่สามารถที่จะรักษาโดยพิธีกรรมให้ร่างกายกลับมาดีขึ้นได้ แต่หลายกรณีของผู้ซึมเศร้าศาสตร์ที่งานวิจัยพิสูจน์ไม่ได้ด้วยหลักการแพทย์ กลับช่วยให้ผู้ที่ผ่านพิธีกรรมรู้สึกสบายใจและสุขภาพเป็นปกติได้
ความเชื่อไม่ใช่ทุกที่จะได้รับการยอมรับ ยิ่งสมัยที่มีงานวิจัยวิทยาศาสตร์มายืนยันมากมายความเชื่อจะถูกเรียกว่าบ้าเข้าไปอีก แต่ลองมองถึงความสำคัญของพิธีกรรมอย่างการเรียกขวัญที่มีมาเป็นระยะนับพันปีแล้ว เนื้อหาสาระของพิธีกรรมก็ไม่ใช่การไล่ผีหรือสิ่งชั่วร้ายไปซ่ะทีเดียว แต่มันคือการสร้างกำลังใจในช่วงที่จิตใจเด็กคนนั้นไม่สงบนิ่ง
สิ่งที่โรคหรืออาการซึมเศร้ามันรุนแรงในประเทศไทยจนเป็นอันดับต้นๆของการเสียชีวิต เพราะปัญหาทางสังคมหรือชนชั้นทางวัฒนธรรมก็มีส่วนอย่างมาก ความเข้าใจในเรื่องต่างๆของคนไทยได้รับข่าวสารมาไม่เท่ากันทั้งความเชื่อหรือเรื่องจริง ทางออกที่ดีที่สุดนอกจากพิธีกรรมแล้วควรให้จิตแพทย์ตรวจสอบด้วยอีกทางหนึ่ง
และเรื่องความเชื่อพวกกลับชาติมาเกิด มีคนมาขอส่วนบุญ หรือเจ้ากรรมนายเวรมาทวงหนี้ เรื่องแบบนี้ก็น่าจะหาวิธีการที่เหมาะสมรับมือเพื่อความสะบายใจของเราด้วย หากตัวเองอยู่ดีๆเกิดฝันเห็นนิมิตมีคนมายืนปลายเตียงนอนเหมือนมาเอาชีวิตเรา จิตแพทย์อาจให้คำปรึกษาที่ไม่ตรงประเด็นแต่หมอแก้เคล็ดอาจรู้ทางแก้ปัญหาครับ
# Thu 16 Aug 2018 : 9:51AM
ในฐานะที่ผมเข้าข่ายป่วยเป็นโรคนี้อยู่นะครับ ปัจจุบันก็ทานยาและไปตามหมอนัดทุกเดือน
คือมันรู้สึกเบื่อทุกอย่างน่ะ จะว่าไงดี คือมันไม่ได้รู้สึกเศร้า ร้องไห้ อะไรแบบนั้นหรอก แต่มันชอบมีชุดความคิดแปลกๆเข้ามาในหัว อย่างทำไมทุกอย่างมันเป็นแบบนี้นะ ทำไมถึงต้องแบบนั้น จนบางทีอยากหายไปให้พ้นๆจากที่ตรงนี้ ไม่ได้อยากตายนะ แค่แบบเบื่อกับการใช้ชีวิตมากๆ บางครั้งพอเห็นข่าวคนฆ่าตัวตายมันก็ชอบมีความคิดแว่บมาในหัวว่าก็ง่ายดีนะ ลองทำดูดีมั้ย คือบางช่วงอารมณ์ผมมักคิดว่าฆ่าตัวตายมันไม่ได้น่ากลัวเลย แต่เสี้ยววิต่อมาก็ตั้งสติได้ว่าบ้าเหรอ จะตายทำไม วนอยู่อย่างนี้มานานมากๆ(อาการผมเริ่มออกช่วงอายุ 15 ปัจจุบัน 24 แล้ว )
คือไม่ได้อยากให้คนมาช่วย มาให้กำลังใจหรอก บ่อยครั้งที่รู้สึกแย่แทนด้วยพอมีคนมาให้กำลังใจหรือชมเรา เพราะเรารู้สึกว่าเรื่องแค่นี้ต้องชมต้องช่วยกันด้วยเหรอ ไม่ต้องมายุ่งก็ได้ แค่อยากอยู่คนเดียว แต่เหงามั้ย ก็เหงานะ แต่รู้สึกดีกว่าการต้องอยู่ในสังคมคนเยอะๆมันอึดอัด ทุกวันนี้บางครั้งยังรู้สึกแย่ๆเลยที่ต้องไปเจอคนที่ทำงาน ทั้งๆที่เขาก็ดีกับเรามาก จนกลายเป็นเราที่รู้สึกแย่แทนที่คิดลบแบบนี้
พอทานยามันก็ดีขึ้น แต่ก็ไม่ได้หายขาด มันรู้สึกว่าคุยแง่ลบกับตัวเองน้อยลงมาก แต่ผมเข้าข่ายในส่วนย้ำคิดย้ำทำด้วย เลยเป็นคนยึดติดกับความคิดนานมากไปหน่อยกว่าจะสลัดออกไปจากหัวได้ เจออะไรกระตุ้นปุ๊บก็วกกลับมาได้ทันที
นี่ถ้าไม่ใช่เพราะมีข่าวคนฆ่าตัวตายมากๆจนแม่ผมกังวลมาขอร้อง ทุกวันนี้ก็คงไม่ได้ไปหาหมอ เพราะด้วยอีโก้ตัวเองที่คิดว่าคุมมันได้ อาการคงจะแย่ลงเรื่อยๆกว่านี้ไปแล้วครับ เพราะงั้นใครมีคนที่เรารักเป็นโรคนี้หรือเข้าข่ายจะเป็น ก็พาๆกันไปหาหมอเถอะครับ เพราะถึงจะไม่ได้ฆ่าตัวตาย แต่ความทุกข์ที่มีมันคงไม่หายไปจนเราตายนั่นแหละ
คือมันรู้สึกเบื่อทุกอย่างน่ะ จะว่าไงดี คือมันไม่ได้รู้สึกเศร้า ร้องไห้ อะไรแบบนั้นหรอก แต่มันชอบมีชุดความคิดแปลกๆเข้ามาในหัว อย่างทำไมทุกอย่างมันเป็นแบบนี้นะ ทำไมถึงต้องแบบนั้น จนบางทีอยากหายไปให้พ้นๆจากที่ตรงนี้ ไม่ได้อยากตายนะ แค่แบบเบื่อกับการใช้ชีวิตมากๆ บางครั้งพอเห็นข่าวคนฆ่าตัวตายมันก็ชอบมีความคิดแว่บมาในหัวว่าก็ง่ายดีนะ ลองทำดูดีมั้ย คือบางช่วงอารมณ์ผมมักคิดว่าฆ่าตัวตายมันไม่ได้น่ากลัวเลย แต่เสี้ยววิต่อมาก็ตั้งสติได้ว่าบ้าเหรอ จะตายทำไม วนอยู่อย่างนี้มานานมากๆ(อาการผมเริ่มออกช่วงอายุ 15 ปัจจุบัน 24 แล้ว )
คือไม่ได้อยากให้คนมาช่วย มาให้กำลังใจหรอก บ่อยครั้งที่รู้สึกแย่แทนด้วยพอมีคนมาให้กำลังใจหรือชมเรา เพราะเรารู้สึกว่าเรื่องแค่นี้ต้องชมต้องช่วยกันด้วยเหรอ ไม่ต้องมายุ่งก็ได้ แค่อยากอยู่คนเดียว แต่เหงามั้ย ก็เหงานะ แต่รู้สึกดีกว่าการต้องอยู่ในสังคมคนเยอะๆมันอึดอัด ทุกวันนี้บางครั้งยังรู้สึกแย่ๆเลยที่ต้องไปเจอคนที่ทำงาน ทั้งๆที่เขาก็ดีกับเรามาก จนกลายเป็นเราที่รู้สึกแย่แทนที่คิดลบแบบนี้
พอทานยามันก็ดีขึ้น แต่ก็ไม่ได้หายขาด มันรู้สึกว่าคุยแง่ลบกับตัวเองน้อยลงมาก แต่ผมเข้าข่ายในส่วนย้ำคิดย้ำทำด้วย เลยเป็นคนยึดติดกับความคิดนานมากไปหน่อยกว่าจะสลัดออกไปจากหัวได้ เจออะไรกระตุ้นปุ๊บก็วกกลับมาได้ทันที
นี่ถ้าไม่ใช่เพราะมีข่าวคนฆ่าตัวตายมากๆจนแม่ผมกังวลมาขอร้อง ทุกวันนี้ก็คงไม่ได้ไปหาหมอ เพราะด้วยอีโก้ตัวเองที่คิดว่าคุมมันได้ อาการคงจะแย่ลงเรื่อยๆกว่านี้ไปแล้วครับ เพราะงั้นใครมีคนที่เรารักเป็นโรคนี้หรือเข้าข่ายจะเป็น ก็พาๆกันไปหาหมอเถอะครับ เพราะถึงจะไม่ได้ฆ่าตัวตาย แต่ความทุกข์ที่มีมันคงไม่หายไปจนเราตายนั่นแหละ
Like : "MnemoniC"
View all 2 comments >
Thu 16 Aug 2018 : 11:03AM
เป็นกำลังใจให้ผ่านพ้นไปได้นะครับ
Thu 16 Aug 2018 : 7:54PM
เข้าใจความรู้สึกเลยครับที่ต้องการหาทางออกของปัญหาและทำใจรับมัน แต่ผมก็ไม่เข้าใจว่าอะไรคือบรรทัดฐานที่จะไปต่อว่าคนโน้นคนนี้ป่วย ทั้งที่ตัวเองเรียกร้องสิทธิเกินมนุษย์มนาแต่ไม่เคยกลับมามองตัวเอง บางทีผมก็มองว่าคนที่กล้าเผชิญหน้ากับความจริงหรือสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ น่ายกย่องและน่าให้กำลังใจเป็นอย่างมากครับ
# Thu 16 Aug 2018 : 12:03PM
หัวประเด็นกระทู้ผมไม่ขอออกความเห็นละกัน ขอเล่าที่ผมเคยผ่านช่วงซึมเศร้าเเบบยาวๆช่วงปี 2008-2013 ห้าปีเต็มๆเเทน
ช่วงระหว่างนั้นย่ำเเย่มากๆ คือหัวมันคิดลบไปหมด จนถึงขั้นหมกมุ่นเรื่องตาย กินน้อยมากจนร่างกายบุคลิกภายนอกเปลี่ยนไปหมด คนในบ้านเห็นชัดเเต่ไม่มีใครนึกสะกิดใจว่าผมซึมเศร้า..
จนล่วงเข้าปี 2013 ผมลองไปออกกำลังกาย วิ่ง ยกน้ำหนัก บริหารร่างกายหลายๆอย่าง กลับกลายเป็นว่าอาการซึมเศร้าบรรเทาลงเรื่อยๆ ความเเจ่มใสในหัวมันกลับมาโดยที่ผมเองก็ไม่คาดคิด เหมือนความมืดที่อยู่กับเรามาห้าปีนั้นมันเเทนด้วยความสว่างขึ้นทีละนิดๆ
ปัจจุบันตอนนี้ อาการซึมเศร้าหายไปจนเเทบไม่เหลือเเล้ว อาจมีเศร้าหรือน้อยใจบ้างเเต่ก็จะอยู่เเค่เเป๊บเดียว ใช้ชีวิตได้ปกติเเล้วในตอนนี้
จากประสบการณ์ตัวเองที่ผ่านมา เห็นว่าการออกกำลัง มีกิจกรรมนอกบ้านคือสิ่งที่ช่วยเรื่องซึมเศร้าได้มาก ท่านอื่นๆที่กำลังเผชิญกับซึมเศร้าตอนนี้อาจมีหนักมีเบาไม่เท่าผม เเต่ขอให้ลองดูครับ เอาใจช่วยให้ท่านผ่านไปได้เหมือนที่ผมผ่านมันมา
ช่วงระหว่างนั้นย่ำเเย่มากๆ คือหัวมันคิดลบไปหมด จนถึงขั้นหมกมุ่นเรื่องตาย กินน้อยมากจนร่างกายบุคลิกภายนอกเปลี่ยนไปหมด คนในบ้านเห็นชัดเเต่ไม่มีใครนึกสะกิดใจว่าผมซึมเศร้า..
จนล่วงเข้าปี 2013 ผมลองไปออกกำลังกาย วิ่ง ยกน้ำหนัก บริหารร่างกายหลายๆอย่าง กลับกลายเป็นว่าอาการซึมเศร้าบรรเทาลงเรื่อยๆ ความเเจ่มใสในหัวมันกลับมาโดยที่ผมเองก็ไม่คาดคิด เหมือนความมืดที่อยู่กับเรามาห้าปีนั้นมันเเทนด้วยความสว่างขึ้นทีละนิดๆ
ปัจจุบันตอนนี้ อาการซึมเศร้าหายไปจนเเทบไม่เหลือเเล้ว อาจมีเศร้าหรือน้อยใจบ้างเเต่ก็จะอยู่เเค่เเป๊บเดียว ใช้ชีวิตได้ปกติเเล้วในตอนนี้
จากประสบการณ์ตัวเองที่ผ่านมา เห็นว่าการออกกำลัง มีกิจกรรมนอกบ้านคือสิ่งที่ช่วยเรื่องซึมเศร้าได้มาก ท่านอื่นๆที่กำลังเผชิญกับซึมเศร้าตอนนี้อาจมีหนักมีเบาไม่เท่าผม เเต่ขอให้ลองดูครับ เอาใจช่วยให้ท่านผ่านไปได้เหมือนที่ผมผ่านมันมา
Like : marcust, Sukoy, superKman, Kabuto_Kung
View all 6 comments >
Thu 16 Aug 2018 : 12:55PM
ผมก็หายเพราะการออกกำลังกาย การวิ่งเนี่ยแหละ
ก่อนหน้านั้น หักโหมทำงานอย่างหนัก ติดต่อกันมาหลายปี ทั้งเหนื่อยเครียด นอนน้อย เจ็บป่วย ติดต่อกันมา มันค่อยๆเป็นอย่างไม่ทันตั้งตัว
จิตตกมากๆ คิดถึงแต่วิธีฆ่าตัวตายแบบไม่เจ็บปวด
ไม่อยากอยู่อีกแล้ว เกลียดคน เกลียดสังคม มากๆ
ก่อนหน้านั้น หักโหมทำงานอย่างหนัก ติดต่อกันมาหลายปี ทั้งเหนื่อยเครียด นอนน้อย เจ็บป่วย ติดต่อกันมา มันค่อยๆเป็นอย่างไม่ทันตั้งตัว
จิตตกมากๆ คิดถึงแต่วิธีฆ่าตัวตายแบบไม่เจ็บปวด
ไม่อยากอยู่อีกแล้ว เกลียดคน เกลียดสังคม มากๆ
[Edited 1 times marcust - Last Edit 2018-08-16 12:56:15]
Thu 16 Aug 2018 : 1:09PM
ผมมารู้หลังจากนั้นครับว่า การออกกำลังมันส่งเอฟเฟกต์ด้านดีต่อร่างกายทั้งในเเง่กายภาพเเละเเง่จิตใจ กายภาพคือมันทำให้เคมีในสมองเรามีการเปลี่ยนเเปลง ทั้งอะดรีนาลีน เซโรโทนิน ฯลฯ ทำให้สมองเรามันจัดความคิดใหม่ สัญญานระบบประสาทจะเป็นระเบียบ ความคิดเป็นเหตุผลมากขึ้น ส่วนด้านจิตใจ สั้นๆคือเราจะรู้สึกเคารพตัวเองมากขึ้น มั่นใจมากขึ้น ทำให้กำลังใจในการใช้ชีวิตประจำวันมันกลับมา
สิ่งที่เหลือตกทอดจากช่วงเวลามืดมนในตอนนั้น ที่กลับกลายเป็นเรื่องดีในตอนนี้คือ ทุกวันนี้ผมกินอาหารเเค่สองมื้อเอง บางวันกินเเต่น้ำก็อยู่ได้ทั้งวัน กลายเป็นการคุมน้ำหนักติดตัวไปเลย
สิ่งที่เหลือตกทอดจากช่วงเวลามืดมนในตอนนั้น ที่กลับกลายเป็นเรื่องดีในตอนนี้คือ ทุกวันนี้ผมกินอาหารเเค่สองมื้อเอง บางวันกินเเต่น้ำก็อยู่ได้ทั้งวัน กลายเป็นการคุมน้ำหนักติดตัวไปเลย
Thu 16 Aug 2018 : 1:17PM
ผมกลับมาเล่นเกมส์สรุกได้เหมือนเดิม
อยากอยู่ดูลูกเติบโต อยากทำบ้านใหม่ให้เสร็จ ชีวิตมีค่าขึ้นมาก
วิ่งเปลี่ยนชีวิตจริงๆครับ
แต่พลังในการทำงานผมหายไปเกินครึ่งครับ แต่ไม่ซีเรียสนะ ดีกว่าสภาพจิตใจแบบนั้นมากๆ
อยากอยู่ดูลูกเติบโต อยากทำบ้านใหม่ให้เสร็จ ชีวิตมีค่าขึ้นมาก
วิ่งเปลี่ยนชีวิตจริงๆครับ
แต่พลังในการทำงานผมหายไปเกินครึ่งครับ แต่ไม่ซีเรียสนะ ดีกว่าสภาพจิตใจแบบนั้นมากๆ
Like : EASTRISE
Thu 16 Aug 2018 : 5:27PM
วิ่งกันเก่งแค่ไหนแล้วครับ
Personal best 10.5 21 42k เท่าไหร่กันมั่ง?
Personal best 10.5 21 42k เท่าไหร่กันมั่ง?
Thu 16 Aug 2018 : 6:02PM
Sukoy wrote:
วิ่งกันเก่งแค่ไหนแล้วครับ
Personal best 10.5 21 42k เท่าไหร่กันมั่ง?
Personal best 10.5 21 42k เท่าไหร่กันมั่ง?
ผมวิ่งแค่ 10.5 km. 1 ชม. 15 นาทีครับ อาศัยวิ่งเหยาะๆ วิ่งเกินกว่านี้ไม่ได้ เอ็นเข่าเคยฉีก ตอนเล่นฟุตบอลแล้วไม่ได้รักษา
เห็น เพื่อนๆ น้องวิ่ง มาราธอน ฮาร์ฟมาราธอน แล้วอิจฉา
Like : Sukoy, EASTRISE
[Edited 1 times marcust - Last Edit 2018-08-16 18:02:51]
Thu 16 Aug 2018 : 7:17PM
ส่วนของผมเน้นวิ่งเเละออกกำลังเพื่อสุขภาพ+ให้สมองปลอดโปร่งครับ ไม่ซีเรียสเรื่องตัวเลขสถิติเท่าไหร่
เอาเเค่คร่าวๆคือจัดให้ตัวเองได้วิ่ง ปั่นจักรยาน ยกเหวท เเละอื่นๆห้าวันต่อสัปดาห์ น้อยสุดก็สี่วันต่อสัปดาห์ เเต่ละวันใช้เวลาระหว่าง 45 นาที - 1 ชม.
วันไหนมีเรื่องเครียดเป็นพิเศษ ก็ใส่รองเท้าออกไปวิ่ง วิ่งเรื่อยๆไม่สนใจเวลาหรือระยะ จนรู้สึกโอเคหรือเหนื่อยเเล้วค่อยหยุด เพียงเท่านี้จิตใจก็สบายครับ
เอาเเค่คร่าวๆคือจัดให้ตัวเองได้วิ่ง ปั่นจักรยาน ยกเหวท เเละอื่นๆห้าวันต่อสัปดาห์ น้อยสุดก็สี่วันต่อสัปดาห์ เเต่ละวันใช้เวลาระหว่าง 45 นาที - 1 ชม.
วันไหนมีเรื่องเครียดเป็นพิเศษ ก็ใส่รองเท้าออกไปวิ่ง วิ่งเรื่อยๆไม่สนใจเวลาหรือระยะ จนรู้สึกโอเคหรือเหนื่อยเเล้วค่อยหยุด เพียงเท่านี้จิตใจก็สบายครับ
Like : Sukoy, marcust
[Edited 1 times EASTRISE - Last Edit 2018-08-16 19:20:31]
# Fri 17 Aug 2018 : 4:22PM
บังเอิญมาเห็นกระทู้พอดี และมีประเด็นไปหลายทาง
อยากไขความกระจ่างให้กับทุกคนจริงๆ ว่าโรคซึมเศร้ามันมีจริงมั้ย เกิดได้ยังไง แล้ว wanna be ซึมเศร้าเป็นจริงรึเปล่า
ผมขอตอบในฐานะนักจิตวิทยา (Psychologist) ที่ทำงานปรึกษาอิสระจริงๆนะครับ
อยากให้แยกว่าผมไม่ใช่จิตแพทย์นะ (Psychiatrist) แตกต่างกันตรง ที่หมอจะรักษาด้วยการจ่ายยาเป็นหลัก
แต่นักจิตจะรักษาด้านการให้คำปรึกษาเพื่อไปปฏิบัติ
แต่ทั้งสองสายต้องเรียนรู้ วิธีการทำงานของกันนะครับ ว่าง่ายๆคือเรียนเหมือนๆกัน แต่หมอจ่ายยาได้ แต่นักจิตจะรู้กว้างกว่า
เหมือนนักวิทยาศาสตร์การแพทย์ กับ แพทย์ผู้รักษานะครับ
--------
-โรคซึมเศร้ามีจริงมั้ย
มีจริงครับ มีการทดลองทางวิทยาศาสตร์ ทั้ง การจัดกลุ่มทำการทดลอง สแกนสมอง ดูกรณีตัวอย่าง ฯลฯ มาเยอะมากๆ ย้อนไป 80กว่าปีแล้วจนสรุปได้ว่า "เป็นโรคที่เกิดจากสารสื่อประสาทในสมองทำงานผิดปกติ"
-เป็นโรคซึมเศร้าต้องกินยา หรือ อ่านหนังสือธรรมะ?
โรคซึมเศร้ามีความสัมพันธ์กับสารสื่อประสาทเช่น Norepinephrine Serotonin Dopamine แล้วแต่กรณี โดยจะมียาที่
เจาะจงช่วยให้อาการดีขึ้นหลายแบบ หมอเลยให้ทดลองกินก่อน แล้วดูว่าตัวไหนให้ผลดีกว่า ซึ่งแตกต่างกันไปตามบุคคล
และการปฏิบัติธรรมก็ช่วยได้ ในบางกรณีเช่นกัน ไม่จำกัดแค่ปฏิบัติธรรม การมองโลกในแง่ การออกกำลัง เล่นดนตรี
ทำกิจกรรม ก็ช่วยให้อาการดีขึ้นได้
-หนังสือธรรมะ หรือการที่ปฏิบัติให้ชีวิตดีขึ้น มันช่วยได้ยังไงเหรอ?
ถ้าอยากรู้ว่าทำไมช่วยได้ ลองนึกย้อนกลับไปก่อน ทำไมจึงเกิดโรคซึมเศร้าขึ้น?
โรคซึมเศร้าบางอย่างเกิดจากที่เราตกอยู่ในสภาวะความเครียดติดต่อกันเป็นเวลานาน
หรือการใช้ชีวิตที่ไม่ดีต่อสภาวะร่างกายและจิตใจ
การอ่านหนังสือธรรมมะ ไม่ใช่เพราะใช้พลังบุญจากการอ่านมาช่วยให้หายป่วย
แต่เกิดจากความเข้าใจสัจธรรมในนั้น ว่าความเครียดและความทุกข์ของเรานั้น มันแก้ได้ด้วยตัวเราเอง
เข้าใจสาเหตุของความทุกข์บนโลกใบนี้ และบอกเห็นหนทางในการใช้ชีวิตแบบอื่นๆ
พอความเครียดลดลง สารสื่อประสาทก็จะพยายามกลับมาทำงานเป็นปกติด้วยตัวของมันเอง
-แบบนี้ไม่ต้องกินยาก็ได้ ใช่มั้ย?
ความน่ากลัวของโรคซึมเศร้าคือการบั่นทอนความรู้สึกอยากจะแก้ไข ขัดขวางความอยากเข้าใจปัญหา
เหมือนการสั่งให้ผู้ป่วยข้อเท้าแพลง ไปทำกายภาพเพื่อให้เดินต่อได้ ซึ่งมันยาก...และเจ็บปวด
ดังนั้นการกินยาภายใต้การดูแลของแพทย์ เพื่อให้ผู้ป่วยสามารถช่วยเหลือคัวเองได้ก่อน จึงยังคงจำเป็น
-บางคนแกล้งซึมๆบอกตัวเองเป็นโรคซึมเศร้า นี่เป็นจริงหรือเรียกร้องความสนใจ..
ข้อนี้ผมจะอธิบายข้อเท็จจริงแล้วลองแยกแยะกันเองนะครับ
1. คนเป็นโรคซึมเศร้า ไม่จำเป็นต้องมีอาการเศร้าให้เห็น...
2. การฆ่าตัวตาย ไม่จำเป็นต้องเป็นโรคซึมเศร้า
3. คนเป็นโรคซึมเศร้า ไม่จำเป็นต้องฆ่าตัวตายเพราะการถูกกดดันหรือน้อยใจ
4. คนเป็นโรคซึมเศร้า ไม่จำเป็นต้องอยู่คนเดียวหรือ ล้มเหลวในการใช้ชีวิต
สื่อไทยในปัจจุบัน เห็นใครฆ่าตัวตายก็โยงกับโรคซึมเศร้าหมด แต่ไม่ได้อธิบายชัดเจนว่า
โรคซึมเศร้าหรือ Depression เป็นแค่ส่วนหนึ่งในปัจจัย ไม่ใช่สาเหตุทั้งหมดจริงๆ
มันมีทั้ง อารมย์ชั่ววูบ การทำตามที่เห็นในสื่อ และอื่นๆอีกมาก
สื่อเรามักนำเสนอข่าวว่า "ฆ่าตัวตาย=โรคซึมเศร้า" มันไปสร้างกลไกทางความคิดว่า
เราควรจะฆ่าตัวตายเพื่อหลีกหนีจากปัญหานี้ จนกลายเป็นความเชื่อฝังใจเด็กและ ผู้ใหญ่ที่โดนสื่อชักจูงได้ง่าย
ว่า "ถ้าเกิดปัญหาชีวิต ให้ฆ่าตัวตาย" และนี่ก็นับเป็นอีกปัจจัยหนึ่งเช่นกัน
ทางกรมสุขภาพจิตเลยต้องรีบออกมาขยายความ เพื่อลบภาพและให้ความรู้ว่า ถ้าเศร้า "ไม่ว่าจะเป็นโรคหรือไม่เป็น"
ก็ควรจะไปหาคำปรึกษาและไปพบแพทย์ เพราะคนที่บอกว่าตัวเองเป็นก็ "เพียงพอ" ต่อการได้รับความช่วยเหลือแล้ว
(อาจจะเป็นโรคกลุ่ม Histrionic Personality Disorder ซึ่งรักษายากกว่าโรคซึมเศร้า)
การที่เราไม่มีความสุขในชีวิต อย่าคิดว่าเป็นเรื่องปกติหรือเป็นเรื่องที่ต้องทนให้ได้
การทนโดยเข้าใจปัญหา กับ การทนโดยไม่รู้ว่าควรทนหรือไม่นั้น แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
และเป็นปัจจัยให้เราเป็นโรคซึมเศร้าได้ในอนาคตนะครับ
อยากไขความกระจ่างให้กับทุกคนจริงๆ ว่าโรคซึมเศร้ามันมีจริงมั้ย เกิดได้ยังไง แล้ว wanna be ซึมเศร้าเป็นจริงรึเปล่า
ผมขอตอบในฐานะนักจิตวิทยา (Psychologist) ที่ทำงานปรึกษาอิสระจริงๆนะครับ
อยากให้แยกว่าผมไม่ใช่จิตแพทย์นะ (Psychiatrist) แตกต่างกันตรง ที่หมอจะรักษาด้วยการจ่ายยาเป็นหลัก
แต่นักจิตจะรักษาด้านการให้คำปรึกษาเพื่อไปปฏิบัติ
แต่ทั้งสองสายต้องเรียนรู้ วิธีการทำงานของกันนะครับ ว่าง่ายๆคือเรียนเหมือนๆกัน แต่หมอจ่ายยาได้ แต่นักจิตจะรู้กว้างกว่า
เหมือนนักวิทยาศาสตร์การแพทย์ กับ แพทย์ผู้รักษานะครับ
--------
-โรคซึมเศร้ามีจริงมั้ย
มีจริงครับ มีการทดลองทางวิทยาศาสตร์ ทั้ง การจัดกลุ่มทำการทดลอง สแกนสมอง ดูกรณีตัวอย่าง ฯลฯ มาเยอะมากๆ ย้อนไป 80กว่าปีแล้วจนสรุปได้ว่า "เป็นโรคที่เกิดจากสารสื่อประสาทในสมองทำงานผิดปกติ"
-เป็นโรคซึมเศร้าต้องกินยา หรือ อ่านหนังสือธรรมะ?
โรคซึมเศร้ามีความสัมพันธ์กับสารสื่อประสาทเช่น Norepinephrine Serotonin Dopamine แล้วแต่กรณี โดยจะมียาที่
เจาะจงช่วยให้อาการดีขึ้นหลายแบบ หมอเลยให้ทดลองกินก่อน แล้วดูว่าตัวไหนให้ผลดีกว่า ซึ่งแตกต่างกันไปตามบุคคล
และการปฏิบัติธรรมก็ช่วยได้ ในบางกรณีเช่นกัน ไม่จำกัดแค่ปฏิบัติธรรม การมองโลกในแง่ การออกกำลัง เล่นดนตรี
ทำกิจกรรม ก็ช่วยให้อาการดีขึ้นได้
-หนังสือธรรมะ หรือการที่ปฏิบัติให้ชีวิตดีขึ้น มันช่วยได้ยังไงเหรอ?
ถ้าอยากรู้ว่าทำไมช่วยได้ ลองนึกย้อนกลับไปก่อน ทำไมจึงเกิดโรคซึมเศร้าขึ้น?
โรคซึมเศร้าบางอย่างเกิดจากที่เราตกอยู่ในสภาวะความเครียดติดต่อกันเป็นเวลานาน
หรือการใช้ชีวิตที่ไม่ดีต่อสภาวะร่างกายและจิตใจ
การอ่านหนังสือธรรมมะ ไม่ใช่เพราะใช้พลังบุญจากการอ่านมาช่วยให้หายป่วย
แต่เกิดจากความเข้าใจสัจธรรมในนั้น ว่าความเครียดและความทุกข์ของเรานั้น มันแก้ได้ด้วยตัวเราเอง
เข้าใจสาเหตุของความทุกข์บนโลกใบนี้ และบอกเห็นหนทางในการใช้ชีวิตแบบอื่นๆ
พอความเครียดลดลง สารสื่อประสาทก็จะพยายามกลับมาทำงานเป็นปกติด้วยตัวของมันเอง
-แบบนี้ไม่ต้องกินยาก็ได้ ใช่มั้ย?
ความน่ากลัวของโรคซึมเศร้าคือการบั่นทอนความรู้สึกอยากจะแก้ไข ขัดขวางความอยากเข้าใจปัญหา
เหมือนการสั่งให้ผู้ป่วยข้อเท้าแพลง ไปทำกายภาพเพื่อให้เดินต่อได้ ซึ่งมันยาก...และเจ็บปวด
ดังนั้นการกินยาภายใต้การดูแลของแพทย์ เพื่อให้ผู้ป่วยสามารถช่วยเหลือคัวเองได้ก่อน จึงยังคงจำเป็น
-บางคนแกล้งซึมๆบอกตัวเองเป็นโรคซึมเศร้า นี่เป็นจริงหรือเรียกร้องความสนใจ..
ข้อนี้ผมจะอธิบายข้อเท็จจริงแล้วลองแยกแยะกันเองนะครับ
1. คนเป็นโรคซึมเศร้า ไม่จำเป็นต้องมีอาการเศร้าให้เห็น...
2. การฆ่าตัวตาย ไม่จำเป็นต้องเป็นโรคซึมเศร้า
3. คนเป็นโรคซึมเศร้า ไม่จำเป็นต้องฆ่าตัวตายเพราะการถูกกดดันหรือน้อยใจ
4. คนเป็นโรคซึมเศร้า ไม่จำเป็นต้องอยู่คนเดียวหรือ ล้มเหลวในการใช้ชีวิต
สื่อไทยในปัจจุบัน เห็นใครฆ่าตัวตายก็โยงกับโรคซึมเศร้าหมด แต่ไม่ได้อธิบายชัดเจนว่า
โรคซึมเศร้าหรือ Depression เป็นแค่ส่วนหนึ่งในปัจจัย ไม่ใช่สาเหตุทั้งหมดจริงๆ
มันมีทั้ง อารมย์ชั่ววูบ การทำตามที่เห็นในสื่อ และอื่นๆอีกมาก
สื่อเรามักนำเสนอข่าวว่า "ฆ่าตัวตาย=โรคซึมเศร้า" มันไปสร้างกลไกทางความคิดว่า
เราควรจะฆ่าตัวตายเพื่อหลีกหนีจากปัญหานี้ จนกลายเป็นความเชื่อฝังใจเด็กและ ผู้ใหญ่ที่โดนสื่อชักจูงได้ง่าย
ว่า "ถ้าเกิดปัญหาชีวิต ให้ฆ่าตัวตาย" และนี่ก็นับเป็นอีกปัจจัยหนึ่งเช่นกัน
ทางกรมสุขภาพจิตเลยต้องรีบออกมาขยายความ เพื่อลบภาพและให้ความรู้ว่า ถ้าเศร้า "ไม่ว่าจะเป็นโรคหรือไม่เป็น"
ก็ควรจะไปหาคำปรึกษาและไปพบแพทย์ เพราะคนที่บอกว่าตัวเองเป็นก็ "เพียงพอ" ต่อการได้รับความช่วยเหลือแล้ว
(อาจจะเป็นโรคกลุ่ม Histrionic Personality Disorder ซึ่งรักษายากกว่าโรคซึมเศร้า)
การที่เราไม่มีความสุขในชีวิต อย่าคิดว่าเป็นเรื่องปกติหรือเป็นเรื่องที่ต้องทนให้ได้
การทนโดยเข้าใจปัญหา กับ การทนโดยไม่รู้ว่าควรทนหรือไม่นั้น แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
และเป็นปัจจัยให้เราเป็นโรคซึมเศร้าได้ในอนาคตนะครับ
Like : Narl, Whitesee_Sk, benz_butz, Kabuto_Kung, superKman, GODGUNDAM, ผู้ชมโทรทัศน์, ExplorerG, marcust, Sorrowkung, nueng93, SpiT_FirE, St.Valentinus, MansheckSHootter
View all 11 comments >
Fri 17 Aug 2018 : 4:58PM
ว่าจะถามนานแล้ว แบบว่าไม่มีความรู้เลยก็อ่านๆตามข่าวตามบทความ
แต่อยากรู้จริงๆว่า พวกยารักษาทางจิตเห็นว่ามันมีหลายสี แต่ละสีจะรักษาอาการต่างๆ คือมันมีกระบวนการทำงานยังไงอ่าครับ แบบว่าคนที่เป็นโรควิตกกังวล ทานแล้วหายวิตกนี่ คือนึกภาพไม่ออกเลย
แล้วถ้า คนทั่วไป ทานยาพวกนี้มันจะเป็นอะไรหรือเปล่าอ่าครับ ประมาณว่าคนทั่วไปก็เครียดได้ แต่ไม่ได้ป่วยแล้วซื้อมาทานมันจะช่วยคลายเครียดด้วยใหมอ่า?
แต่อยากรู้จริงๆว่า พวกยารักษาทางจิตเห็นว่ามันมีหลายสี แต่ละสีจะรักษาอาการต่างๆ คือมันมีกระบวนการทำงานยังไงอ่าครับ แบบว่าคนที่เป็นโรควิตกกังวล ทานแล้วหายวิตกนี่ คือนึกภาพไม่ออกเลย
แล้วถ้า คนทั่วไป ทานยาพวกนี้มันจะเป็นอะไรหรือเปล่าอ่าครับ ประมาณว่าคนทั่วไปก็เครียดได้ แต่ไม่ได้ป่วยแล้วซื้อมาทานมันจะช่วยคลายเครียดด้วยใหมอ่า?
Fri 17 Aug 2018 : 5:26PM
ยามันก็ไปปรับสมดุลย์ดคมีใหม่ เช่น เพิ่มอันที่ขาด ลดอันที่เกิน หรือเข้าไปจับกับตัวรับต่างๆ ในสมอง เพื่อลดผลจากสารส่วนที่เกิน
แนวๆ พวกยาที่เล่นกัน แต่เอาแค่เบาะๆ ไม่ได้ถึงขนาดไฮ
แนวๆ พวกยาที่เล่นกัน แต่เอาแค่เบาะๆ ไม่ได้ถึงขนาดไฮ
Fri 17 Aug 2018 : 5:38PM
อยากให้เอาโพสนี้ ปักหมุดไว้ครับมอส น่าจะเป็นประโยนช์มากๆ ครับผม
Fri 17 Aug 2018 : 6:21PM
ใช่ครับพูดรวมๆคือไปช่วยปรับสมดุลในระบบประสาท
เดี๋ยวจะอธิบายแบบลึกลงไปหน่อย ยาที่แพทย์ปัจจุบันสั่งให้ ส่วนมากเป็นกลุ่ม
SSRIs หรือ Selective serotonin re-uptake inhibitors ซึ่งจะสั่งเฉพาะคนที่เป็นในขั้นรุนแรง หรือ เป็นปัญหาต่อการดำรงชีวิต
ส่วนแบบอ่อนๆ จะใช้วิธีให้คำปรึกษา หรือให้กินยาหลอก(วิตามิน) แพทย์จะไม่ออกยาให้พร่ำเพรื่อ เพราะยาชนิดนี้จัดว่าอันตราย
หากใช้เองโดยไม่มีได้อยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์
ยาทำงานอย่างไร เดี๋ยวผมจะอธิบายคร่าวๆ ถึงการทำงานของความรู้สึกเราก่อน
ผมจะไม่ลงลึกถึงระบบฮอโมน แต่ให้นึกภาพว่า เวลาเกิดกิจกรรมเช่น
"เราได้ของขวัญแล้วเราดีใจ"
ประสาทสัมผัสของเรารับข้อมูล -> ส่งข้อมูลไปสมอง -> สมองประมวลผลว่าดีใจ -> ส่งข้อมูลกลับไปที่ร่างกายเพื่อแสดงอาการดีใจ
คราวนี้ ตอนสมองประมวลผลว่าเราจะดีใจหรือเสียใจหรือตื่นตระหนก มันค่อนข้างซับซ้อน มีการทำงานร่วมกันของฮอโมน ความทรงจำ ระบบประสาท... สมมติ เป็นเหตุการณ์น่าดีใจ ระบบต่างๆก็ส่งสัญญาณออกมาตามรูปแบบที่ควรจะสร้างความดีใจ หนึ่งในนั้นคือการสร้าง serotonin ออกมาเพื่อส่งสัญญาณให้ร่างกายผ่อนคลาย serotonin เป็นสารสื่อประสาทในบริเวณ synapse (การทำงานแบบละเอียดให้ลองกูเกิลดูนะครับ)
ประเด็นคือถ้า ประสาทของเรา มีความบกพร่องในระบบ เช่น serotonin ไม่เพียงพอ ก็จะส่งผลให้ระบบ ด้านการผ่อนคลายของเรา ทำงานไม่ได้ หรือ ทำงานได้แย่ จนเกิดเป็นปัญหาทางจิต
ตามธรรมชาติ จุดประสานประสาท (synapse) จะมีการดูดคืน serotonin เพื่อนำไปรีไซเคิลอยู่แล้ว แต่คนที่มีปัญหา serotonin ทำงานไม่ดี SSRIs จะไปช่วยในการยับยั้งการดูดคืนนั้นๆ ช่วยให้เราเหลือ serotonin
เพียงพอที่จะทำให้ร่างกายเราทำงานปกติได้
แต่.... อย่าคิดว่าเป็นเรื่องพอเพียง การพึ่งยาทำให้การฟื้นคืนด้วยตัวเราเองเป็นเรื่องยากขึ้น ให้นึกถึงคนที่ใช้เครื่องช่วยเดิน
เราอาจจะใช้เครื่องช่วยเดินตลอดชีวิต ถ้าเราไม่คิดจะเปลี่ยนพฤติกรรมหรือแนวคิด
การรับยาแล้วไม่ปฏิบัติตามแพทย์แนะนำ วันนึงงดใช้กระทันหัน จะก่อให้เกิดผลเสียอย่างมาก เช่นการสวิงของอารมย์ เพราะ เราขาดเครื่องช่วยพยุงไป อาจจะก่อให้เกิดอาการ panic attack หรือ ชอคได้
เดี๋ยวจะอธิบายแบบลึกลงไปหน่อย ยาที่แพทย์ปัจจุบันสั่งให้ ส่วนมากเป็นกลุ่ม
SSRIs หรือ Selective serotonin re-uptake inhibitors ซึ่งจะสั่งเฉพาะคนที่เป็นในขั้นรุนแรง หรือ เป็นปัญหาต่อการดำรงชีวิต
ส่วนแบบอ่อนๆ จะใช้วิธีให้คำปรึกษา หรือให้กินยาหลอก(วิตามิน) แพทย์จะไม่ออกยาให้พร่ำเพรื่อ เพราะยาชนิดนี้จัดว่าอันตราย
หากใช้เองโดยไม่มีได้อยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์
ยาทำงานอย่างไร เดี๋ยวผมจะอธิบายคร่าวๆ ถึงการทำงานของความรู้สึกเราก่อน
ผมจะไม่ลงลึกถึงระบบฮอโมน แต่ให้นึกภาพว่า เวลาเกิดกิจกรรมเช่น
"เราได้ของขวัญแล้วเราดีใจ"
ประสาทสัมผัสของเรารับข้อมูล -> ส่งข้อมูลไปสมอง -> สมองประมวลผลว่าดีใจ -> ส่งข้อมูลกลับไปที่ร่างกายเพื่อแสดงอาการดีใจ
คราวนี้ ตอนสมองประมวลผลว่าเราจะดีใจหรือเสียใจหรือตื่นตระหนก มันค่อนข้างซับซ้อน มีการทำงานร่วมกันของฮอโมน ความทรงจำ ระบบประสาท... สมมติ เป็นเหตุการณ์น่าดีใจ ระบบต่างๆก็ส่งสัญญาณออกมาตามรูปแบบที่ควรจะสร้างความดีใจ หนึ่งในนั้นคือการสร้าง serotonin ออกมาเพื่อส่งสัญญาณให้ร่างกายผ่อนคลาย serotonin เป็นสารสื่อประสาทในบริเวณ synapse (การทำงานแบบละเอียดให้ลองกูเกิลดูนะครับ)
ประเด็นคือถ้า ประสาทของเรา มีความบกพร่องในระบบ เช่น serotonin ไม่เพียงพอ ก็จะส่งผลให้ระบบ ด้านการผ่อนคลายของเรา ทำงานไม่ได้ หรือ ทำงานได้แย่ จนเกิดเป็นปัญหาทางจิต
ตามธรรมชาติ จุดประสานประสาท (synapse) จะมีการดูดคืน serotonin เพื่อนำไปรีไซเคิลอยู่แล้ว แต่คนที่มีปัญหา serotonin ทำงานไม่ดี SSRIs จะไปช่วยในการยับยั้งการดูดคืนนั้นๆ ช่วยให้เราเหลือ serotonin
เพียงพอที่จะทำให้ร่างกายเราทำงานปกติได้
แต่.... อย่าคิดว่าเป็นเรื่องพอเพียง การพึ่งยาทำให้การฟื้นคืนด้วยตัวเราเองเป็นเรื่องยากขึ้น ให้นึกถึงคนที่ใช้เครื่องช่วยเดิน
เราอาจจะใช้เครื่องช่วยเดินตลอดชีวิต ถ้าเราไม่คิดจะเปลี่ยนพฤติกรรมหรือแนวคิด
การรับยาแล้วไม่ปฏิบัติตามแพทย์แนะนำ วันนึงงดใช้กระทันหัน จะก่อให้เกิดผลเสียอย่างมาก เช่นการสวิงของอารมย์ เพราะ เราขาดเครื่องช่วยพยุงไป อาจจะก่อให้เกิดอาการ panic attack หรือ ชอคได้
Like : Narl, Ophen-Y-Offrers
Fri 17 Aug 2018 : 6:35PM
อีกนิดนึงคือ
โรควิตกกังวล (anxiety disorder) กับ โรคซึมเศร้า (depression) นั้นเป็นคนละโรคกัน
แต่มันเหมือนของที่มักจะมาด้วยกันบ่อยๆ
โรควิตกกังวล เป็นโรคที่น่ารำคาญและมักเป็นสาเหตุที่นำไปสู่โรคซึมเศร้าได้
แต่เท่าที่การแพทย์ปัจจุบันเข้าใจ การใช้ SSRIs จะช่วยให้เราผ่อนคลายมากขึ้น
ซึ่งมีผลดีกับทั้งคนที่วิตกกังวล และ คนที่เครียด เลยสามารถใช้ด้วยกันได้ครับ
โรควิตกกังวล (anxiety disorder) กับ โรคซึมเศร้า (depression) นั้นเป็นคนละโรคกัน
แต่มันเหมือนของที่มักจะมาด้วยกันบ่อยๆ
โรควิตกกังวล เป็นโรคที่น่ารำคาญและมักเป็นสาเหตุที่นำไปสู่โรคซึมเศร้าได้
แต่เท่าที่การแพทย์ปัจจุบันเข้าใจ การใช้ SSRIs จะช่วยให้เราผ่อนคลายมากขึ้น
ซึ่งมีผลดีกับทั้งคนที่วิตกกังวล และ คนที่เครียด เลยสามารถใช้ด้วยกันได้ครับ
Fri 17 Aug 2018 : 7:46PM
แล้วถ้าคนปรกติ ทานยาพวกนี้ละครับ จะมีอาการอะไรใหม? *3*
Fri 17 Aug 2018 : 10:28PM
คนปกติกินเข้าไป ผลข้างเคียงค่อนข้างหลากหลายครับ
ตั้งแต่ไม่รู้สึกอะไร จนถึงรู้สึกเฉื่อยชา และง่วงมากๆ
ตัวยามีหลายแบบ และส่งผลกับคนแตกต่างกันไป
แต่โดยส่วนมาก ก็ไม่เห็นผลอะไรชัดเจนมากกว่าที่รู้สึกอยู่
เพราะมันออกฤทธิ์เป็นตัวยับยั้งการดูดกลับขอสารสื่อประสาทมากกว่า
ไม่ใช่ตัวเร่งให้เรามีความสุข
ในโลกของ ประสาทวิทยาศาสตร์ Neuroscience ยังไม่ได้เข้าใจการทำงานทั้งหมดของยา
และการส่งผลของยาแบบชัดเจน
แต่ถึงอย่างไร ยาที่เราเอามากินก็ผ่านกระบวนการ การทดลองแบบคุมเข้มมาแล้ว ว่าใช้ได้ผล(ในเปอเซนต์ที่ตั้งไว้)
ใครคิดว่าจะเอา ยาแก้ซึมเศร้า มากินให้มีความสุข ก็ลืมไปได้เลย :P ไม่ได้ผลนะครับ
ตั้งแต่ไม่รู้สึกอะไร จนถึงรู้สึกเฉื่อยชา และง่วงมากๆ
ตัวยามีหลายแบบ และส่งผลกับคนแตกต่างกันไป
แต่โดยส่วนมาก ก็ไม่เห็นผลอะไรชัดเจนมากกว่าที่รู้สึกอยู่
เพราะมันออกฤทธิ์เป็นตัวยับยั้งการดูดกลับขอสารสื่อประสาทมากกว่า
ไม่ใช่ตัวเร่งให้เรามีความสุข
ในโลกของ ประสาทวิทยาศาสตร์ Neuroscience ยังไม่ได้เข้าใจการทำงานทั้งหมดของยา
และการส่งผลของยาแบบชัดเจน
แต่ถึงอย่างไร ยาที่เราเอามากินก็ผ่านกระบวนการ การทดลองแบบคุมเข้มมาแล้ว ว่าใช้ได้ผล(ในเปอเซนต์ที่ตั้งไว้)
ใครคิดว่าจะเอา ยาแก้ซึมเศร้า มากินให้มีความสุข ก็ลืมไปได้เลย :P ไม่ได้ผลนะครับ
Like : Narl
Fri 17 Aug 2018 : 10:54PM
ก่อนอื่นเลยต้องขอบคุณผู้มีวิชาที่หันมาสนใจกระทู้เล็กๆของผม ซึ่งการแผร่ข้อมูลที่ถูกต้องเป็นสิ่งที่จำเป็นมาก จะสามารถช่วยให้ผู้คนได้เปิดใจเกี่ยวโรคทางจิตเภทได้กว้างขิ้น
ขอถามหน่อยครับ
เคยอ่านผ่านๆเรื่องการปฏิบัติธรรมกับโรคซึมเศร้าว่าเป็นส่งผลไม่ค่อยดีและเคยมีข่าว(ข่าวเก่ามากหาไม่เจอ)บางคนถึงขั้นฆ่าตัวตายระหว่างนั่งสมาธิ แต่สำหรับบางคนนั้นอาการดีขึ้นได้ จริงๆแล้วเพราะอะไรครับ สภาพแวดล้อมหรือประสบการณ์ทางศาสนาของผู้ป่วย?
ขอถามหน่อยครับ
เคยอ่านผ่านๆเรื่องการปฏิบัติธรรมกับโรคซึมเศร้าว่าเป็นส่งผลไม่ค่อยดีและเคยมีข่าว(ข่าวเก่ามากหาไม่เจอ)บางคนถึงขั้นฆ่าตัวตายระหว่างนั่งสมาธิ แต่สำหรับบางคนนั้นอาการดีขึ้นได้ จริงๆแล้วเพราะอะไรครับ สภาพแวดล้อมหรือประสบการณ์ทางศาสนาของผู้ป่วย?
Sat 18 Aug 2018 : 9:44AM
ผมว่าผมทราบปัญหาที่แท้จริงของเรื่องโรคนี้แล้ว
โรคนี้ไม่ควรมีชื่อว่าโรคซึมเศร้าในประเทศไทยเป็นอันขาด
เพราะคำว่าซึมเศร้า เป็นคำแสดงอารมณ์ และใช้ร่วมกับสถาณการณ์อื่นที่ไม่ใช่การป่วย
เมื่อได้ยินชื่อนี้ทำให้คนเกิดความคิดโดยอัตโนมัติว่า เป็นแค่อารมณ์หนึ่ง ซึ่งจะหายไปเองได้ ปรับเปลี่ยนได้ และคำว่าซึมเศร้ามันมีความหมายในยริบท ว่าสำออย จมจ่อม ทำตัวเอง ไม่เข้มแข็ง คำนี้มีแต่มีนนิ่งในเชิงลบที่เกิดจากการทำตัวเอง
การบัญญัติ หรือนิยามคำศัพท์นี้ สื่อสารด้วยคำนี้ จึงมักมีปัญหา
นี่มันโรคภาวะสารสื่อสมองบกพร่องชัดๆ
แต่ใช้ชื่อว่าโรคซึมเศร้า ซึ่งพ้องกับการที่คนปรกติทุกคนบนโลกไม่ต้องเป็นโรคนี้ก้อซึมเศร้าได้ มันจึงดูไม่มีความเป็นโรคใดใด
อยากทำความเข้าใจกะสังคมมากขึ้นเปลี่ยนชื่อโรคก่อนเลย
โรคนี้ไม่ควรมีชื่อว่าโรคซึมเศร้าในประเทศไทยเป็นอันขาด
เพราะคำว่าซึมเศร้า เป็นคำแสดงอารมณ์ และใช้ร่วมกับสถาณการณ์อื่นที่ไม่ใช่การป่วย
เมื่อได้ยินชื่อนี้ทำให้คนเกิดความคิดโดยอัตโนมัติว่า เป็นแค่อารมณ์หนึ่ง ซึ่งจะหายไปเองได้ ปรับเปลี่ยนได้ และคำว่าซึมเศร้ามันมีความหมายในยริบท ว่าสำออย จมจ่อม ทำตัวเอง ไม่เข้มแข็ง คำนี้มีแต่มีนนิ่งในเชิงลบที่เกิดจากการทำตัวเอง
การบัญญัติ หรือนิยามคำศัพท์นี้ สื่อสารด้วยคำนี้ จึงมักมีปัญหา
นี่มันโรคภาวะสารสื่อสมองบกพร่องชัดๆ
แต่ใช้ชื่อว่าโรคซึมเศร้า ซึ่งพ้องกับการที่คนปรกติทุกคนบนโลกไม่ต้องเป็นโรคนี้ก้อซึมเศร้าได้ มันจึงดูไม่มีความเป็นโรคใดใด
อยากทำความเข้าใจกะสังคมมากขึ้นเปลี่ยนชื่อโรคก่อนเลย
Sat 18 Aug 2018 : 10:33AM
การจะตอบว่าทำไมนั้น สั้นๆเลยอาจจะทำให้ เกิดความเข้าใจผิดได้
เพราะนอกจากปฏิบัติธรรมแล้ว ก็ยังมีคนที่ไปโบถ หรือเข้าร่วมพิธีกรรมต่างๆ ตามความเชื่อแล้วฆ่าตัวตาย
เป็นเรื่องที่เคยเกิดขึ้นอยู่บ่อยๆ
ของพุทธเอง ก็มีมาตั้งแต่สมัยพุทธกาล แต่ด้วยสาเหตุที่ต่างกันออกไป (ลองกูเกิลน่าจะเจอ)
การฆ่าตัวตายทางศาสนา สาเหตุที่พอมีน้ำหนักก็จะมี
1. ปลงทางโลก หมดอาลัย หมดห่วง และยินดีจะหยุดการใช้ชีวิต
2. เชื่อว่า มีโลกหน้า ภพหน้า หรือ การจบชีวิตจะนำไปสู่สิ่งที่ดีกว่า
3. หมดหนทาง มองไม่เห็นหนทางหรือเหตุผล ที่จะใช้ชีวิตต่อไป
การปฎิบัติธรรม ก็คือ การเข้าไปเรียนรู้ ปัญหาด้วยตัวเอง
แต่สำหรับคนที่เป็นเข้าข่ายเป็นโรคซึมเศร้า การเรียนรู้บางอย่าง เข้าไปไม่ถึง หรือ ปฏิเสธความรู้นั้นไป
ตามที่กล่าวไปก่อนหน้านี้ ว่าผู้มีอาการไม่ได้อยู่ในอารมย์ ที่พร้อมจะรับรู้รับฟังอะไร
การทำงานที่ปรึกษา เราต้องรู้ว่า ผู้รับการปรึกษา พร้อมจะรับการปรึกษามั้ย (มาหาเองหรือโดนบังคับมา)
มีมุมมองในการใช้ชีวิตอย่างไร หรือ เหตุใดที่ต้องการจะจบชีวิต
ถ้าผู้รับการปรึกษา อยู่ในสภาวะเครียด เจ็บปวดทางใจ กินไม่ได้ นอนไม่หลับ (อกหัก ผิดหวัง หรือโดนทรยศ)
ถ้าจะรักษาให้หายขาดในระยะยาว เราอาจจะเริ่มจากช่วยให้เขา กินได้ นอนหลับเสียก่อน ก่อนที่จะเริ่มเข้าถึงปัญหาจริงๆ
แล้วเราค่อยเปิดใจคุยกัน ไม่ใช่ส่งไปเรียนธรรมะทันที
หัวใจหลักๆของการเข้าถึงปัญหาคือการเปิดใจกับใครสักคน อาจจะเป็นตัวเองก็ทำได้
มีเคสคนที่เคยตัดสินใจจะฆ่าตัวตาย ไปยืนอยู่บนสะพานสูง พร้อมจะกระโดดลงไป
แต่อยู่ๆก็มีคนขับรถเมลล์หยุดรถกลางจราจร แล้วลงมาคุยด้วย
คนที่จะโดดบอกชายคนนั้นว่าอย่าเข้ามาใกล้ ไม่งั้นผมจะโดดลงไป
แต่คนขับรถเมลล์บอกว่า.. "ถ้าคุณกระโดดลงไป ผมจะกระโดดตามลงไปช่วยคุณ"
พอเขาได้ยินก็นั่งร้องไห้ออกมา คนขับรถก็เข้าไปปลอบแล้วคุยกับเขาอยู่ จนเขาเห็นมุมมองชีวิตใหม่
ไม่ว่าจะด้วยสาเหตุใดก็ตาม คนที่ฆ่าตัวตาย มีปัญหาอย่างเดียวกัน คือ "ไม่มีคนเข้าใจ"
หรือพูดให้ถูกคือ "ไม่มีคนพร้อมจะพยายามมาเข้าใจ" ถ้าเราเข้าถึงตรงนี้ได้ ถ้าธรรมมะเข้าถึงตรงนี้ได้
ก็คงไม่มีใครอยากจบชีวิตลง
ความเจ็บปวดจาก ความผิดหวัง ไม่ใช่เรื่องเล็กหรือเป็นเรื่องของคนไม่มีหัวคิด
เราแค่ถามคนใกล้ตัวสักคน ที่เหมือนจะมีความสุข ว่า "เห้ย เป็นไงมั่ง" แล้วตั้งใจฟังเขาสัก10นาที
ก็อาจจะช่วยลดอัตราการฆ่าตัวตายได้อย่างไม่น่าเชื่อ
แต่ถ้าเรายังมีอาการซึมเศร้า เดี๋ยวมันก็เริ่มวนกลับมา หากไม่เริ่มรักษาให้ตรงจุด
เพราะนอกจากปฏิบัติธรรมแล้ว ก็ยังมีคนที่ไปโบถ หรือเข้าร่วมพิธีกรรมต่างๆ ตามความเชื่อแล้วฆ่าตัวตาย
เป็นเรื่องที่เคยเกิดขึ้นอยู่บ่อยๆ
ของพุทธเอง ก็มีมาตั้งแต่สมัยพุทธกาล แต่ด้วยสาเหตุที่ต่างกันออกไป (ลองกูเกิลน่าจะเจอ)
การฆ่าตัวตายทางศาสนา สาเหตุที่พอมีน้ำหนักก็จะมี
1. ปลงทางโลก หมดอาลัย หมดห่วง และยินดีจะหยุดการใช้ชีวิต
2. เชื่อว่า มีโลกหน้า ภพหน้า หรือ การจบชีวิตจะนำไปสู่สิ่งที่ดีกว่า
3. หมดหนทาง มองไม่เห็นหนทางหรือเหตุผล ที่จะใช้ชีวิตต่อไป
การปฎิบัติธรรม ก็คือ การเข้าไปเรียนรู้ ปัญหาด้วยตัวเอง
แต่สำหรับคนที่เป็นเข้าข่ายเป็นโรคซึมเศร้า การเรียนรู้บางอย่าง เข้าไปไม่ถึง หรือ ปฏิเสธความรู้นั้นไป
ตามที่กล่าวไปก่อนหน้านี้ ว่าผู้มีอาการไม่ได้อยู่ในอารมย์ ที่พร้อมจะรับรู้รับฟังอะไร
การทำงานที่ปรึกษา เราต้องรู้ว่า ผู้รับการปรึกษา พร้อมจะรับการปรึกษามั้ย (มาหาเองหรือโดนบังคับมา)
มีมุมมองในการใช้ชีวิตอย่างไร หรือ เหตุใดที่ต้องการจะจบชีวิต
ถ้าผู้รับการปรึกษา อยู่ในสภาวะเครียด เจ็บปวดทางใจ กินไม่ได้ นอนไม่หลับ (อกหัก ผิดหวัง หรือโดนทรยศ)
ถ้าจะรักษาให้หายขาดในระยะยาว เราอาจจะเริ่มจากช่วยให้เขา กินได้ นอนหลับเสียก่อน ก่อนที่จะเริ่มเข้าถึงปัญหาจริงๆ
แล้วเราค่อยเปิดใจคุยกัน ไม่ใช่ส่งไปเรียนธรรมะทันที
หัวใจหลักๆของการเข้าถึงปัญหาคือการเปิดใจกับใครสักคน อาจจะเป็นตัวเองก็ทำได้
มีเคสคนที่เคยตัดสินใจจะฆ่าตัวตาย ไปยืนอยู่บนสะพานสูง พร้อมจะกระโดดลงไป
แต่อยู่ๆก็มีคนขับรถเมลล์หยุดรถกลางจราจร แล้วลงมาคุยด้วย
คนที่จะโดดบอกชายคนนั้นว่าอย่าเข้ามาใกล้ ไม่งั้นผมจะโดดลงไป
แต่คนขับรถเมลล์บอกว่า.. "ถ้าคุณกระโดดลงไป ผมจะกระโดดตามลงไปช่วยคุณ"
พอเขาได้ยินก็นั่งร้องไห้ออกมา คนขับรถก็เข้าไปปลอบแล้วคุยกับเขาอยู่ จนเขาเห็นมุมมองชีวิตใหม่
ไม่ว่าจะด้วยสาเหตุใดก็ตาม คนที่ฆ่าตัวตาย มีปัญหาอย่างเดียวกัน คือ "ไม่มีคนเข้าใจ"
หรือพูดให้ถูกคือ "ไม่มีคนพร้อมจะพยายามมาเข้าใจ" ถ้าเราเข้าถึงตรงนี้ได้ ถ้าธรรมมะเข้าถึงตรงนี้ได้
ก็คงไม่มีใครอยากจบชีวิตลง
ความเจ็บปวดจาก ความผิดหวัง ไม่ใช่เรื่องเล็กหรือเป็นเรื่องของคนไม่มีหัวคิด
เราแค่ถามคนใกล้ตัวสักคน ที่เหมือนจะมีความสุข ว่า "เห้ย เป็นไงมั่ง" แล้วตั้งใจฟังเขาสัก10นาที
ก็อาจจะช่วยลดอัตราการฆ่าตัวตายได้อย่างไม่น่าเชื่อ
แต่ถ้าเรายังมีอาการซึมเศร้า เดี๋ยวมันก็เริ่มวนกลับมา หากไม่เริ่มรักษาให้ตรงจุด
Like : marcust, Whitesee_Sk, SpiT_FirE
Sat 18 Aug 2018 : 10:54AM
อาจจะจริงนะครับ คำว่าซึมเศร้า มันไปผูกกับคำว่าอ่อนแอ เพราะการสั่งสอนแบบฝังหัว
ว่าให้เราต้องเข้มแข็ง ห้ามเศร้า เป็น ผู้ชายห้ามร้องไห้ เป็นผู้หญิงห้ามเสียตัว
เหมือนคำว่า พบจิตแพทย์ ที่จะสื่อไปว่าเป็นโรคจิต หรือ บ้า
ในขณะที่คำว่า นักจิต(ปรึกษา) จะไม่คุ้นหู และไม่รู้เขาทำอะไรกันแน่
ในไทยเรา คำว่า วิตกกังวล และ ซึมเศร้า เป็นคำดูถูก
แต่ในกลุ่มประเทศที่เขาเข้าใจ จะตีความว่าเป็นอาการผิดปกติ
เราแก้ปัญหาทางใจด้วยไสยศาสตร์ และความเชื่อ ...ได้ผลบ้าง ไม่ได้ผลบ้าง
แต่การพบแพทย์หรือนักจิต ก็ไม่ใช่จะได้ผล 100% นะครับ มีประมาณ 40% ที่ดีขึ้นเท่านั้นเอง (ผลสำรวจจากอเมริกา)
ผมเองให้คำปรึกษามา ก็มีอัตราสำเร็จ ที่น้อย (ประมาณ 20%)
โดยอุปสรรคหลักๆ คือ ความต่อเนื่อง และความเชื่อใจ(ที่จะทำตามอย่างเคร่งครัด)
แต่ 20% นี้แหละ ที่ทำให้ยังไม่อยากทิ้งงานนี้ไป
ปล. ผมไม่ได้เชี่ยวชาญเรื่องโรคซึมเศร้าหรือโรคทางจิตที่ผิดปกติต่างๆนะครับ
ปกติผมรับปรึกษาเรื่องเรื่องความรักความสัมพันธ์ ความสุข และการพัฒนาตัวเอง
ว่าให้เราต้องเข้มแข็ง ห้ามเศร้า เป็น ผู้ชายห้ามร้องไห้ เป็นผู้หญิงห้ามเสียตัว
เหมือนคำว่า พบจิตแพทย์ ที่จะสื่อไปว่าเป็นโรคจิต หรือ บ้า
ในขณะที่คำว่า นักจิต(ปรึกษา) จะไม่คุ้นหู และไม่รู้เขาทำอะไรกันแน่
ในไทยเรา คำว่า วิตกกังวล และ ซึมเศร้า เป็นคำดูถูก
แต่ในกลุ่มประเทศที่เขาเข้าใจ จะตีความว่าเป็นอาการผิดปกติ
เราแก้ปัญหาทางใจด้วยไสยศาสตร์ และความเชื่อ ...ได้ผลบ้าง ไม่ได้ผลบ้าง
แต่การพบแพทย์หรือนักจิต ก็ไม่ใช่จะได้ผล 100% นะครับ มีประมาณ 40% ที่ดีขึ้นเท่านั้นเอง (ผลสำรวจจากอเมริกา)
ผมเองให้คำปรึกษามา ก็มีอัตราสำเร็จ ที่น้อย (ประมาณ 20%)
โดยอุปสรรคหลักๆ คือ ความต่อเนื่อง และความเชื่อใจ(ที่จะทำตามอย่างเคร่งครัด)
แต่ 20% นี้แหละ ที่ทำให้ยังไม่อยากทิ้งงานนี้ไป
ปล. ผมไม่ได้เชี่ยวชาญเรื่องโรคซึมเศร้าหรือโรคทางจิตที่ผิดปกติต่างๆนะครับ
ปกติผมรับปรึกษาเรื่องเรื่องความรักความสัมพันธ์ ความสุข และการพัฒนาตัวเอง
Like : marcust
# Sat 18 Aug 2018 : 8:59AM
ความผิดปกติมันเกิดขึ้นจากระดับสารเคมีในสมองนะครับ ผู้ป่วยต้องกินยาเพื่อปรับสมดุลในส่วนนี้ ไม่สามารถแก้ไขได้ด้วยคำพูดง่ายๆว่า "อย่าไปคิดมาก"
# Sat 18 Aug 2018 : 1:06PM
อยากให้กัญชาถูกกฏหมายเร็วๆ
.. ผมเชื่อว่าสารสกัดจากกัญชามีผลช่วยระงับความเจ็บปวดทางร่างกาย
และมีผลทางจิตใจด้วย
เวลานี้เรามีความตื่นตัวทางกัญชาเป็นยารักษาโรคมากขี้น
อย่าเชื่อผมนะ ลองไปหาความรู้เรื่องนี้ทาง internet เอง
ว่างๆก็ไปอ่านงานวิจัยกัญชาของเภสัช ม.รังสิตดู
.. ผมเชื่อว่าสารสกัดจากกัญชามีผลช่วยระงับความเจ็บปวดทางร่างกาย
และมีผลทางจิตใจด้วย
เวลานี้เรามีความตื่นตัวทางกัญชาเป็นยารักษาโรคมากขี้น
อย่าเชื่อผมนะ ลองไปหาความรู้เรื่องนี้ทาง internet เอง
ว่างๆก็ไปอ่านงานวิจัยกัญชาของเภสัช ม.รังสิตดู
# Sun 19 Aug 2018 : 11:49PM
ถามหาความรู้หน่อยครับ แฟนผมไปหาหมอมาแล้วเค้าหมอเค้าบอกว่าแฟนผมเป็นโรคซึมเศร้าผมก็โอเคนะ ไม่ได้รับไม่ได้ไรก็จะอยู่ข้างๆเค้าไปเนี่ยแหละ แต่ช่วงที่ผมเป็นแฟนกับเค้าก่อนจะหาหมอผมรุ้สึกว่าเค้ามีอาการไบโพลานิดๆ มันจะมีช่วงอารมณบางเดือนมี่เค้าจะร่าเริงโคตรๆ กับบางเดือนนี้ดูเหวี่ยงผมไปหมดเลย แบบพูดอะไรขัดนิดนึงก็ด่าไฟแลบเลย
คือผมอยากรู้ว่ามันมีทางเป็นไปได้มั้ยที่แฟนผมจะมีอาการไบโพลาผสมไปด้วย เพราะผมไปอ่านในเน็ตมาในเฟสบุคอะแหละที่แชร์ๆกันเรื่องอาการของคนเป็นโรคนี่ แล้วแฟนผมเข้าข่ายอาการทั้งหมดเลยที่ว่าในภาพinfo ถ้าเค้าเป็นผมจะได้หาทางช่วยเค้า
https://health.kapook.com/view123670.html
อย่างในลิ้งนี้ ตรงภาพinfoของคนเป็นโรคไบโพลาร์แฟนผมทำแบบนั้นทุกอย่างเลย ใช้เงินเยอะมากในบางเวลา
คือผมอยากรู้ว่ามันมีทางเป็นไปได้มั้ยที่แฟนผมจะมีอาการไบโพลาผสมไปด้วย เพราะผมไปอ่านในเน็ตมาในเฟสบุคอะแหละที่แชร์ๆกันเรื่องอาการของคนเป็นโรคนี่ แล้วแฟนผมเข้าข่ายอาการทั้งหมดเลยที่ว่าในภาพinfo ถ้าเค้าเป็นผมจะได้หาทางช่วยเค้า
https://health.kapook.com/view123670.html
อย่างในลิ้งนี้ ตรงภาพinfoของคนเป็นโรคไบโพลาร์แฟนผมทำแบบนั้นทุกอย่างเลย ใช้เงินเยอะมากในบางเวลา
[Edited 1 times Gx`- - Last Edit 2018-08-19 23:52:14]
View all 2 comments >
Tue 21 Aug 2018 : 12:27AM
วิธีช่วยคือให้พบกับนักจิต กับ หมอครับ ให้ไปตรงเวลานัดเพื่อเชคอาการ
การรักษาต้องการความต่อเนื่องเป็นสำคัญ
คราวนี้มาที่ตัวคุณเองจะปฏิบัติอย่างไรกับแฟนที่เป็นแบบนี้ ให้ปฏิบัติตามนี้นะครับ
1. คุณช่วยเขาไม่ได้(เขาไม่รับ) และ ไม่ต้องพยายามที่จะให้ความช่วยเหลือ "ถ้าเขาไม่ได้ขอ"
เช่น ไปแนะนำวิธีคิด หรือ พาไปเที่ยวเล่นอะไรแบบนี้ ไม่จำเป็นเลยครับ เพราะไม่ได้ผล
ต้นเหตุของปัญหามันมาจากอย่างอื่น ไม่ใช่ขาดกิจกรรม หรือแนวคิดที่ไม่สามารถเปลี่ยนได้ในทันที
2. เว้นระยะ ให้เขาได้มีพื้นที่ส่วนตัว
ข้อนี้สำคัญมาก เช่น ห้องของเขา โทรศัพท์ของเขา เพื่อนของเขา เราต้องพยายามไม่ไปยุ่งหรือก้าวก่ายเกินไป
เพราะคนเราต้องการพื้นที่ส่วนตัวเพื่อฟื้นฟู ความรุ้สึกของตัวเอง ถ้าแยกกันอยู่ก็ ติดต่อเขาให้น้อยลง
3. งดการโต้เถียง ใช้อารมย์ ให้เขาได้ระเบิด หรือระบายออกมาและเรารับฟังอย่างเดียว
ถ้าเขาพยายาม ต่อว่า หรือ ทำร้ายให้ ถอยออกมาจากห้อง แล้วค่อยกลับเข้าไปใหม่ (ทิ้งระยะ 10-15นาที)
ทำทุกครั้งที่เริ่มรู้สึกว่า เขาใช้อารมย์มากเกินไป
4. พูดถึงแต่สิ่งที่คุณอยากให้เป็น โดยไม่ต้องเสนอวิธีการ
เช่น ผมอยากให้คุณมีความสุข ผมอยากให้คุณทานอาหารดีๆ ผมอยากให้คุณก้าวหน้าในงาน ฯลฯ
โรคไบโพล่า จริงๆเป็นความแปรปรวนของ ของอารมณ์ ประเด็นสำคัญคือ เมื่อมีที่ให้ระบาย อาการจะหนักขึ้น
โดยส่วนมาก จะระบายกับสัตว์เลี้ยงหรือพ่อแม่ หรือคนรัก แต่มักจะไม่แสดงออกเมื่ออยู่คนเดียว
ถ้าคุณอยากช่วยแฟน มีแค่วิธีเดียว คือแสดงให้เห็นว่า คุณเป็นคนที่ศักยภาพพอที่จะช่วยเขาได้
นั่นคือการดูแลตัวคุณเอง (ถ้าเขาเห็นคุณดูแลตัวเอง เขาจะเชื่อว่าคุณดูแลเขาได้)
และการเว้นระยะ จะช่วยให้อารมย์แปรปรวนของเขา ควบคุมได้ง่ายขึ้น
ยังไม่ต้องห่วงว่าเขาจะฆ่าตัวตายหรืออะไร ถ้าหนักถึงขั้นทำร้ายตัวเอง จะเป็นหน้าที่ของหมอให้การช่วยเหลือ
ด้วยการจ่ายยา หรือ นักจิตเพื่อบำบัด ส่วนแฟนนั้นวิธีช่วยคือ เป็นเสาหลักให้เขามองเห็นและขอความช่วยเหลือ
ได้ทุกเวลาก็พอ
คุณจำไว้เสมอนะครับ ว่าความรู้สึกนั้นมันเป็นของใครของมัน ถ้าเขาเศร้า ไม่ใช่ความผิดของคุณ
ถ้าคุณเองเศร้า ก็ไม่ใช่ความผิดของเขาเช่นกัน เราต้องรับผิดชอบความรู้สึกของตัวเอง
การเป็นแฟนที่ดี คือ การแบ่งปันสิ่งที่ล้นเหลือ ให้แก่กัน และ สนับสนุน ให้เขาได้เดินด้วยตัวเองครับ
การรักษาต้องการความต่อเนื่องเป็นสำคัญ
คราวนี้มาที่ตัวคุณเองจะปฏิบัติอย่างไรกับแฟนที่เป็นแบบนี้ ให้ปฏิบัติตามนี้นะครับ
1. คุณช่วยเขาไม่ได้(เขาไม่รับ) และ ไม่ต้องพยายามที่จะให้ความช่วยเหลือ "ถ้าเขาไม่ได้ขอ"
เช่น ไปแนะนำวิธีคิด หรือ พาไปเที่ยวเล่นอะไรแบบนี้ ไม่จำเป็นเลยครับ เพราะไม่ได้ผล
ต้นเหตุของปัญหามันมาจากอย่างอื่น ไม่ใช่ขาดกิจกรรม หรือแนวคิดที่ไม่สามารถเปลี่ยนได้ในทันที
2. เว้นระยะ ให้เขาได้มีพื้นที่ส่วนตัว
ข้อนี้สำคัญมาก เช่น ห้องของเขา โทรศัพท์ของเขา เพื่อนของเขา เราต้องพยายามไม่ไปยุ่งหรือก้าวก่ายเกินไป
เพราะคนเราต้องการพื้นที่ส่วนตัวเพื่อฟื้นฟู ความรุ้สึกของตัวเอง ถ้าแยกกันอยู่ก็ ติดต่อเขาให้น้อยลง
3. งดการโต้เถียง ใช้อารมย์ ให้เขาได้ระเบิด หรือระบายออกมาและเรารับฟังอย่างเดียว
ถ้าเขาพยายาม ต่อว่า หรือ ทำร้ายให้ ถอยออกมาจากห้อง แล้วค่อยกลับเข้าไปใหม่ (ทิ้งระยะ 10-15นาที)
ทำทุกครั้งที่เริ่มรู้สึกว่า เขาใช้อารมย์มากเกินไป
4. พูดถึงแต่สิ่งที่คุณอยากให้เป็น โดยไม่ต้องเสนอวิธีการ
เช่น ผมอยากให้คุณมีความสุข ผมอยากให้คุณทานอาหารดีๆ ผมอยากให้คุณก้าวหน้าในงาน ฯลฯ
โรคไบโพล่า จริงๆเป็นความแปรปรวนของ ของอารมณ์ ประเด็นสำคัญคือ เมื่อมีที่ให้ระบาย อาการจะหนักขึ้น
โดยส่วนมาก จะระบายกับสัตว์เลี้ยงหรือพ่อแม่ หรือคนรัก แต่มักจะไม่แสดงออกเมื่ออยู่คนเดียว
ถ้าคุณอยากช่วยแฟน มีแค่วิธีเดียว คือแสดงให้เห็นว่า คุณเป็นคนที่ศักยภาพพอที่จะช่วยเขาได้
นั่นคือการดูแลตัวคุณเอง (ถ้าเขาเห็นคุณดูแลตัวเอง เขาจะเชื่อว่าคุณดูแลเขาได้)
และการเว้นระยะ จะช่วยให้อารมย์แปรปรวนของเขา ควบคุมได้ง่ายขึ้น
ยังไม่ต้องห่วงว่าเขาจะฆ่าตัวตายหรืออะไร ถ้าหนักถึงขั้นทำร้ายตัวเอง จะเป็นหน้าที่ของหมอให้การช่วยเหลือ
ด้วยการจ่ายยา หรือ นักจิตเพื่อบำบัด ส่วนแฟนนั้นวิธีช่วยคือ เป็นเสาหลักให้เขามองเห็นและขอความช่วยเหลือ
ได้ทุกเวลาก็พอ
คุณจำไว้เสมอนะครับ ว่าความรู้สึกนั้นมันเป็นของใครของมัน ถ้าเขาเศร้า ไม่ใช่ความผิดของคุณ
ถ้าคุณเองเศร้า ก็ไม่ใช่ความผิดของเขาเช่นกัน เราต้องรับผิดชอบความรู้สึกของตัวเอง
การเป็นแฟนที่ดี คือ การแบ่งปันสิ่งที่ล้นเหลือ ให้แก่กัน และ สนับสนุน ให้เขาได้เดินด้วยตัวเองครับ
Like : Gx`-
[Edited 1 times feya - Last Edit 2018-08-21 00:33:56]
Tue 21 Aug 2018 : 12:42AM
ขอบคุณมากเลยครับผม พอดีแฟนผมเค้าไปหาหมอมาที่โรงพยาบาลมณารมก็ได้รู้ว่าเค้าเป็นโรคซึมเศร้านี้แหละ แต่มาหลังๆผมแค่สังเกตุว่าเค้ามีอาการโรคไบโพลานิดๆ สงสัยกระแสช่วงนี้ในเฟสด้วยมั้งครับเลยทำให้ผมได้อ่านรายละเอียด
ยังไงก็ขอบคุณมากๆเลยนะครับได้เป็นแนวทางเยอะเลย
ยังไงก็ขอบคุณมากๆเลยนะครับได้เป็นแนวทางเยอะเลย
# Sat 25 Aug 2018 : 1:22PM
ยืนยันว่ามีจริงๆ แต่ก็ไม่แปลกใจที่คนบางคนยังคิดว่าไม่มีจริง เพราะมันเป็นเรื่องที่มองไม่เห็นจริงๆ เอาเป็นว่าจะเล่าเรื่องให้ส่วนตัวเกี่ยวกับโรคนี้ให้อ่านแล้วกัน
ผมมีคนใกล้ตัวเป็นโรคซึมเศร้า เขาเป็นคนร่างเริงเมื่อตอนอยู่กับเพื่อนๆ แต่ถ้าหากอยู่คนเดียวจะจิตตกขึ้นมาทันที่
จนเขาเองเป็นคนที่บอกว่าอยากไปหาหมอจิตแพทย์ ตอนแรกๆผมเองก็ไม่แน่ใจว่าต้องไปหาจิตแพทย์จริงๆหรอ แต่อาการของเขามันหนักมากจริงๆ
หนักขนาดแบบว่าให้อยู่คนเดียวไม่ได้เลย จะร้องไห้ตลอดและมีความคิดที่ะฆ่าตัวตายด้วย
ก็เลยพาไปหาหมอที่ศรีธัญญาเพราะใกล้บ้านที่สุดและถูกที่สุด ตอนไปหาหมอก็ถามอาการและก็จ่ายยา(เหมือนกับโรงบาลที่รักษาคนไข้ทั่วๆไปเลย)
หลังจากที่กินยาไปครั้งแรก มันเห็นผลทันทีเลยว่ามันดีขึ้นมากริงๆ มีสติกลับมาอีกครั้ง ตัวเขาเองบอกเลยว่า หลังจากกินแล้วโลกมันเปลี่ยนไปคนละสีเลย
แต่วันไหนที่ลืมกินหรือไม่ได้กินยา อาการจะกลับมาทันที และหนักกว่าเดิมด้วย การกินยานั้นสำคัญมากๆ
รักษามาเกือบ4ปีแล้ว ตลอดสี่ปีก็ปรับยาไปเรื่อยๆตามอาการ บอกได้เลยว่าอาการดีขึ้นมากๆ(ๆๆๆ) และเริ่มมีความหวังว่าจะหายขาดได้ ภูมิใจในตัวเขามากๆครับ
ผมมีคนใกล้ตัวเป็นโรคซึมเศร้า เขาเป็นคนร่างเริงเมื่อตอนอยู่กับเพื่อนๆ แต่ถ้าหากอยู่คนเดียวจะจิตตกขึ้นมาทันที่
จนเขาเองเป็นคนที่บอกว่าอยากไปหาหมอจิตแพทย์ ตอนแรกๆผมเองก็ไม่แน่ใจว่าต้องไปหาจิตแพทย์จริงๆหรอ แต่อาการของเขามันหนักมากจริงๆ
หนักขนาดแบบว่าให้อยู่คนเดียวไม่ได้เลย จะร้องไห้ตลอดและมีความคิดที่ะฆ่าตัวตายด้วย
ก็เลยพาไปหาหมอที่ศรีธัญญาเพราะใกล้บ้านที่สุดและถูกที่สุด ตอนไปหาหมอก็ถามอาการและก็จ่ายยา(เหมือนกับโรงบาลที่รักษาคนไข้ทั่วๆไปเลย)
หลังจากที่กินยาไปครั้งแรก มันเห็นผลทันทีเลยว่ามันดีขึ้นมากริงๆ มีสติกลับมาอีกครั้ง ตัวเขาเองบอกเลยว่า หลังจากกินแล้วโลกมันเปลี่ยนไปคนละสีเลย
แต่วันไหนที่ลืมกินหรือไม่ได้กินยา อาการจะกลับมาทันที และหนักกว่าเดิมด้วย การกินยานั้นสำคัญมากๆ
รักษามาเกือบ4ปีแล้ว ตลอดสี่ปีก็ปรับยาไปเรื่อยๆตามอาการ บอกได้เลยว่าอาการดีขึ้นมากๆ(ๆๆๆ) และเริ่มมีความหวังว่าจะหายขาดได้ ภูมิใจในตัวเขามากๆครับ
[Edited 1 times Jeff_Warit - Last Edit 2018-08-25 13:23:30]
# Wed 29 Aug 2018 : 11:28AM
<<
<
1
2
3
4
Reply
Vote
Popular Thread
1 online users
Logged In :
Logged In :
member
Since 2014-11-04 11:54:10
(1659 post)