สิ้นสุดการรอคอยกับงานใหม่จากอาจารย์ อ. มาโคโตะ ชินไค เรื่องล่าสุดที่มีชื่อว่า 『すずめの戸締り』(”Suzume no Tojimari”) เข้าคิวฉายที่ญี่ปุ่นช่วงฤดูใบไม้ร่วง ปีหน้า (2022)

<Credit>
Original Story / Screenplay / Director: Makoto Shinkai
Character Designs: Masayoshi Tanaka
Animation Director: Kenichi Tsuchiya
Art Director: Takumi Tanji

[Link] ทวิต
[Link] เว็บไซต์อนิเมะ

เครดิต Phoenix Next

ปีหน้าเอง มาไวอยู่

ประตูมิติโดเรม่อน?

สำหรับผมเนื้อเรื่องTenki no Ko มันไม่ค่อยสุดเท่าไหรยังสู้ Your Name ไม่ได้ ขอให้เรื่องนี้สูสี ส่วนเพลงนี้RADWIMPSเจ้าเก่าไหมเนี้ย

ผมว่าเรื่อง Suzume นี่ดีมากๆ เลยนะ โดยเฉพาะประเด็นความสูญเสียและความหมายของชีวิต หนังมันละมียดอ่ะ

แต่ประเด็นแบบนี้มันอาจจะไม่อินเท่าเรื่องความรักของหนุ่มสาว สำหรับคนดูเด็กๆ หรือผู้ใหญ่ที่อายุน้อย

การออกแบบตัวละครนี่ก็สุดมาก ดนตรีประกอบก็ลงตัวกว่าทุกเรื่องที่ผ่านมา คือหาที่ติได้ยาก ก็อยู่ที่ว่าอินกับมันแค่ไหน ซึ่งอันนี้แต่ละคนคงต่างกันไป ส่วนตัวนี่ผมว่าอิมแพคด้านอารมณ์มันแรงพอๆ กับ your name เลย

ใครยังไม่ดูแนะนำให้ไปดูด่วนๆ

ผมพึ่งไปดูมาวันอาทิตย์ที่ผ่านมาเอง โรงที่ดูคือ central rama 9 เซ็งมากเสียงหนังจากโรงข้างๆแทรกเข้ามา2-3 กับฉากระเบิดจากโรงข้างๆสะเทื่อนเข้ามาในโรงที่ผมดูทำเอาหงุดหงิดมากกกกกกกกกอยากไปด่าSF cinema มากๆ

สำหรับเรื่องนี้ผมชอบพอๆกับ Your Name เลยเพราะโทนมันซีเรียสตลอดกับความดราม่าเยอะมากทำให้ดูแล้วติด

พอเข้าช่วงท้ายนี้น้ำตาไหลไม่หยุดเลยจบเครดิตโรลจบเลยชอบมากครับ แต่เพลงไม่ยังไม่ค่อยติดหูพอถึงแม้จะ Radwimp เจ้าเดิมก็ตาม

ถ้าดูหนังจากมุมของเด็กที่เสียครอบครัวไปตอน 4 ขวบ ที่ยังโชคดีที่มีคนรอบตัวดีๆ และเรื่องราวการผจญภัยที่เจอแต่คนดีๆ ที่ผ่านเข้ามาผมว่าจะรับแรงกระแทกระหว่างดูได้ตลอดทั้งเรื่อง

เป็นหนังที่มีความเป็นมนุษย์นิยม และให้ความหวัง

เข้าตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย ไปดูเย็นนี้เลยละกัน

สนุกน่ะ ถ้าไม่ได้บอกว่า ชินไค ทำก็เชื่อ เพราะ

- รักใคร่ หนุ่มสาวจางมาก แต่เพิ่มครอบครัว รอบตัวแทน
- Spam เพลง เมื่อม๊โอกาส ไม่มีแล้ว
- จังหว่ะ MV เพลงต่าง ก็ ไม่มี

แต่ได้ ความลื่นไหลของเนื้อเรื่องมาแทน แทบไม่มีหยุดพัก ฉับๆๆ แล้ว ก็ Cool down แล้วก็เร่งเครื่องตอนจบ

สรุป ถ้าหวัง สไตล์ เก่า คงไม่มี แต่จะ ได้ อีกสไตล์มาแทน

สมควรดูในโรง เพราะ ภาพและเสียง นี้ คุณภาพจริงๆ

ไปดูละ ยังไม่ได้วิเคราะห์อะไรมากแค่วัดจากความรู้สึกหลังดูจบล้วนๆ เรื่องนี้รู้สึกอิมแพคน้อยกว่า 2 เรื่องแรกแหะ
ไว้มานั่งค่อยๆคิด+ดูคนอื่นวิเคราะห์แล้วค่อยตัดสินอีกที 2 เรื่องแรกนี่เหมือนกับโฟกัสแค่คู่ตัวเอก แต่เรื่องนี้ต้องโฟกัสไปกับทุกคนเลยถึงจะตีความได้ถูกต้องมากกว่า

ปล.เพื่อนพระเอกแมร่งโคตรรรรขโมยซีน
ปล2.ดูกลางๆเรื่องนี่ลุ้นอยู่อย่างเดียวเลย...

ปล3.งงแมว...

ไปดูมาละครับ

ผมว่าคนจะอินเรื่องนี้มาก ต้องเคยเจอ ภัย กับตัวนะครับ

คนต่างชาติน่าจะเข้าไม่ถึงอารมณ์พอสมควรอยู่

ดูละ ให้ 8.8 คะแนน แค่เรื่องภาพอย่างเดียวให้ 10 ภาพสวยมาก ความรู้สึกน่าจะสวยกว่า 2 เรื่องก่อนหน่อยๆ
เนื้อหาเรื่องนี้เหมือนมาโคโตะเค้าจะเปลี่ยนแนวบ้าง คือปกติเค้าจะใส่ความเป็นแฟนตาซีหน่อยๆ เรื่องนี้นี่คือแบบแฟนตาซีจ๋าๆ เลย แต่ก็ยังมีเรื่องรักๆใคร่ๆใส่เข้ามาให้หวานชื่น เนื้อหาเน้นดูทุกเพศทุกวัย มีใส่แมวใส่เก้าอี้เพื่อให้เด็กดูแล้วจำได้
ช่วงแรกๆจะหลับ มาสนุกตอนนางเอกเดินทางร่วมกับพระเอก ดูแล้วฟินๆ


ฉากที่พีคสุดก็คือฉากสุดท้ายเลย ส่วน MVP มผให้คุณน้า เป็นยอดคุณน้าจริงๆ รับนางเอกมาเลี้ยงแทนพี่สาวตัวเองเป้นเวลา 10กว่าปี พูดถึงบทสรุปคุณน้า



เรื่องปวดตับนี่ไม่มีเลยดูได้สบายๆ ใครกลัวเรื่อวปวดตับก็ไม่ต้องห่วง

เริ่มตกผลึก+อ่านเมนท์ชาวบ้าน ok เลยฮะ
หนัง Message ดีจริงๆนั่นแหละ แต่คนที่ไม่ใช่ชาวเกาะนี่คงอินน้อยกว่าชาวเกาะเยอะ

จุดที่ขัดหลักๆตอนดูจบ พอคิดทวนอีกทีก็พอมีคำตอบละ

อยากแนะนำให้ไปหาดู Q&A ตอนรอบพิเศษที่ ผกก แกมาตอบคำถามที่ไทย น่าจะมีลงตามเว็บมั้ง
สิ่งที่แกตอบไว้น่าจะช่วยให้เห็นหลายๆประเด็นที่ตีความจากหนังไม่ได้
ผมไปนั่งดูรอบที่พารากอน ไม่รู้ว่าของ SF ที่จัดหลังจากนั้นมีตอบอะไรเพิ่มเติมอีกมั้ย

เอาจริงๆผมสงสารแกเหมือนกันเพราะอ่านรีวิวตามเว็บหรือจากทีคนรอบข้างไปดู
เห็นโดนเอาหลายอย่างไปเทียบกับคิมิโนะ/เท็งคิหมด อาจจะเพราะด้วยคนสตาร์ทที่ 2 เรื่องนี้เยอะ
แล้วมันมาแนวเดียวกันทั้ง 2 เรื่อง จนคนคงนึกว่ามันเป็นอัตลักษณ์ของแก
แต่ใน Q&A แกตอบชัดเจนมากว่าแก "เบื่อ" ทำหนังรักๆแล้ว และสึซึเมะนี่แกไม่ได้จะสโคปเรื่อง ค.รัก
อยากเน้นไปที่การเติบโตของตัวละครในเรื่องผ่านอุปสรรคมากกว่า
ลึกๆแกก็คงอยากเป็นเหมือนมิยาซากิ ฮายาโอะ ที่ไม่ได้จำกัดว่าต้องกำกับเฉพาะแฟนตาซี
แต่ได้หมดทั้งดราม่า โรแมนติก ผจญภัย เพียงแต่มีช่วงนึงแกก็บอกเหมือนกันว่ามีโปรดิวเซอร์คุมบังเหียนแกอีกที
คงได้แต่เอาใจช่วยให้แกได้ทำหนังที่อยากทำ แต่หนังแบบแนวยุคต้นๆของแกคงยากแล้ว ตราบที่ไม่ได้ควักทุนสร้างเอง

ส่วนตัวก็ไปดูแบบเฉยๆ ที่ซื้อตั๋วแพงเพราะอยากเจอแกตัวเป็นๆมากกว่าตัวหนังด้วยซ้ำ
สำหรับผมถือว่าดีกว่าที่คาด ถ้าเทียบกับตอนเท็งคิที่รู้สึกเฉยมาก
อาจจะด้วยความคลุกคลีกับชาตินี้มาเยอะเลยพอเข้าใจเซนส์ของประชากรชาตินี้อยู่
อีกอย่างคือไม่เห็นโฆษณาแฝงเยอะจนทุเรศลูกตาเหมือนเรื่องก่อน
ส่วนใครจะไม่อินอันนี้ผมก็เข้าใจเหมือนกัน แต่เห็นพวกเม้นท์บ่นแนวเพลงไม่จัดเต็มเหมือนเรื่องก่อนหน้า
ก็เห็นใจแกเหมือนกัน หวังว่าจะล้างภาพจำจาก 2 เรื่องก่อนหน้าได้เร็วๆ