Menu
[--mobilemenu--]
บราวเซอร์ของท่านไม่สนับสนุนหรือปิดการใช้งาน javascript ซึ่งจะไม่สามารถใช้งานไซต์บางส่วนเช่นการเข้าลิ้งค์ หรือโพสข้อความได้ตามปกติ, กรุณาเปิดการใช้งาน javascript เพื่อที่จะใช้งานเว็บ gconhubม หากมีปัญหาในการใช้งาน หรือต้องการสอบถามเพิ่มเติม กรุณาติดต่อ [email protected] หรือ [email protected]
Review : Wonder Woman (ดี่แดดี๊แดวแดวแดว ดีแดวแดวแดว ดีแด๊วแด๊วแด๊ว ดีแด๊วแด๊วแด๊ว)

Reply
Vote
# Mon 12 Jun 2017 : 11:14PM

toranin
member

Since 19/8/2008
(10420 post)
ล่าสุดยังครองอันดับ 1 เอาชนะเดอะ มัมมี่ได้ รายได้รวม Worldwide: $435,202,503 น่าจะจบประมาณ 600-700 ล้าน ซึ่งถือว่าหรูหรามากแล้วสำหรับหนัง Origin ภาคแรกที่เพิ่งเริ่มเปิดตัว (มัมมี่เองก็ไม่น่าเกลียดนะ สำหรับรายรับรวมทั่วโลก)



ส่วนตัวที่ประทับใจ ที่ดูแล้วรู้สึกชอบหนัง Wonder Woman คือ Theme ของเรื่องดี จับต้องได้ (กับประเด็นเรื่องสงครามและสันติภาพ) และสามารถเข้าใจได้ง่าย แบบเด็กก็ดูได้ พอๆกับหนังของพิกซาร์ ถึงจะไม่ล้ำลึกเท่า Inside Out แต่ Theme ของ Wonder Woman น่าจะเข้าใจง่ายกว่า อันนี้ต้องปรบมือให้ผกก.แพ็ทตี้ เจนกินส์ ที่นำเสนอถ่ายทอดเรื่องราวออกมาได้แข็งแรงมีพลัง นอกจากทำให้คนดูตามดูจนจบแล้ว ยังได้รับข้อความที่เธออยากบอก

คือหนังที่ดีมันไม่ใช่แค่เอามันส์ เอาสนุกอย่างเดียว ดูจบแล้วก็จบเลย ไม่รู้ว่าหนังบอกอะไร ไม่มีคุณค่าอะไรให้จับต้องได้ ผ่านไปสักพักก็ลืม แม้จะเป็นหนังจากการ์ตูนคอมิกส์ก็ไม่จำเป็นว่าจะต้องขายเนื้อเรื่องตัวละครอย่างเดียว

เจนกินส์ใช้การเล่าเรื่องแบบง่ายๆไม่ซับซ้อน การเล่าเรื่องแบบ 3 องก์ของเจนกินส์ ทำได้ดี และนำเสนอ Theme ของเรื่องให้คนดูเข้าใจตั้งแต่ช่วง Set Up ที่ปูเรื่องราวเกริ่นให้คนดูเข้าใจ


บทหนังออกแบบมาดี เข้ากับตัวละคร Wonder Woman
- การออกแบบตัวละคร การนำตัวละครตัวนี้ออกมาจากคอมิกส์ ผ่านการวิเคราะห์ ออกแบบนิสัยตัวละคร ให้เข้ากับ Theme ของเรื่อง ทัศนคติของตัวละครก็แข็งแรงและมีความความลึกซึ้ง เด่นชัด

- การสร้างบุคลิกของตัวละครทุกตัวให้ขับเน้น Theme แม้แต่ตัวละครสมทบ อย่างดร.พอยซั่น อินเดียนแดง มือซุ่มยิง (ที่หลายคนบอกแค่เดินไปเดินไปมา ไม่มีประโยชน์) ก็ช่วยขับเน้นแก่นของเรื่องให้โดดเด่นออกมา


ส่วนลาสบอส ในองก์ที่ 3 Resolution นี่ออกมาเป็นการสรุป Theme ของเรื่อง ซึ่งมันเป็นแนวปรัชญา บทสนทนา+งานภาพมันเลยจัดวางออกมาแนวแฟนตาซี แต่ด้วยความที่เนื้อเรื่องมันเป็นเทพเป็นจินตนาการมันเลยดูแล้วไม่ลิเกเท่าไหร่ คือมีสรุปซ้อน 2 ครั้ง ตรงนี้ก็เลยอาจดูเหมือนจับยัดที่อยู่ๆตัวละครก็โผล่ออกมา ก็เพราะอารมณ์มันเว้นช่วงนานไม่ได้ แต่มาเล่าเรื่องแบบแฟนตาซีจ๋าสุดขั้วกันดื้อๆในตอนจบมันเลยดูประดักประเดิด


สรุปขุ่นแม่มีดีที่ Theme ของเรื่อง กับการเอาเรี่องแฟนตาซีมาซ้อนกับประวัติศาสตร์จริงได้โดยไม่เคอะเขิน กล้าเล่น ส่วนตัวชอบแนวนี้แบบ กิมย้ง, หวงอี้, แดน บราวน์ ตรงนี้เลยทำให้หนัง Wonder Woman มีมิติ +ดูเรียลกว่าหนังซูเปอร์ฮีโร่เรื่องอื่น คือมันเรียลไปคนละแบบกับ The Dark Knight (แต่ด้านอื่นก็ยังมีติดๆขัดๆบ้าง อย่างการจัดวางคอมโพสที่ยังไม่เนี๊ยบ ยิ่งเปรียบเทียบกับหนัง DC ก่อนๆหน้านี้ของอีตาแซ็ค)

ปล.ในหนังไม่มีการเจรจาสงบศึกนะ คือการเจรจาสงบศึกในหนังไม่น่าจะเกิดขึ้น คือหนังไม่ได้บอกตรงนี้

Reply
Vote




1 online users
Logged In :