กระแสรถ EV มาแรงมาก แต่ก็ยังคงโดนถ่มถุยจาก คนใช้รถเแบรนด์ญี่ปุ่น และรถน้ำมันอย่างรุนแรง

ในที่นี้มีใครคิดว่ารถคันต่อไปยังไงก็ต้อง EV100% บ้างไหมครับ

รอดู Model 3 Highland Performance ว่ามันจะคุ้มส่วนต่างจาก LR ไหม

ลองขับรถไฟฟ้ามาหลายรุ่นล่ะ ทั้งลองของเพื่อน และเช่ามาขับตอนไปเที่ยว รถไฟฟ้าขับมันกว่าเยอะ และที่ดีคือตอน เหยียบๆ ไปไม่รู้สึกว่ามันเปลืองแบบรถน้ำมัน (แน่นอนเปลืองไฟฟ้าขึ้น แต่มันรู้สึกดีกว่า)

คันที่ใช้อยู่ก็เป็น phev แต่ถึงตอนนี้ในการใช้งานของผมมันไม่มีเหตุผลไรที่จะซื้อรถน้ำมันแลิว (แต่ก็คงเก็บรถน้ำมันบางคันไว้ซักพัก)

คิดว่ารถคันต่อไปจะเป็น BEV แน่นอน แต่ตอนนี้ยังไม่มี segment ที่ต้องการเลยยังไม่ซื้อ

เงื่อนไขการใช้งานเคลียร์หมด
ปกติไม่ได้ขับออกต่างจังหวัด
มีที่จอดชาร์จในบ้าน
ขับเฉลี่ย 70 กม. ต่อวัน ถ้าไปส่งของวันนั้นก็วิ่งเยอะหน่อย

พอแบตเริ่มเสื่อมแกะแบตเตอรี่มาต่อกับ solar cell ได้อีก
แล้วซื้อรถใหม่เลย ไม่ต้องเปลี่ยนแบต

บ้านผม สมาชิกที่อยากมี คิดกันหลายตลบไปมา
ผมให้ไปสิงในกลุ่ม Fb พอเจอพวกบริการหลังการ
ขายเวลาเกิดอุบัติเหตุ, ค่าประกัน กับ สิ่งที่ต้องเป็น
ต้องรู้จักช่วยเหลือตัวเองในการใช้รถไฟฟ้า ก็หวั่นๆ
สุดท้ายใจยังไปที่ Hybrid กันอยู่ดี แบบว่ากลัวเรื่อง
เวลาขับทางไกลกัน เลยยังไม่กล้า EV 100% ครับ

ส่วนผม ตัวผมเองยังไม่คิดเปลี่ยนรถ ที่มองอยู่ตอนนี้
มองถึงรถที่จะขนทั้งครอบครัวนั่งกันสบายๆ+ขนของ
ซึ่งยังเป็นรถสันดาปอยู่ดี แต่เราไม่ได้คิดถ่มถุยรถ EV
เพียงแต่ Use Case ของบ้านเรา ยังไม่ตรงกับ EV ฮับ

ตอนนี้เลยได้ Good Cat 500 มาใช้
ด้วยโปรช่วยผ่อน 120,000 ส่วนลดวิชาชีพ 28,800 แถม 0% 48 เดือน

ยังลังเลว่าจะขายคันไหนดี ปาเจโร่ 2011 หรือ ซีวิค 2017

ผมยังรอดูให้มีรุ่นที่อยากได้จริงๆก่อน

อย่าง BYD ที่ได้ลองขับ ยังรู้สึกว่า handling และช่วงล่างของรถทำได้ไม่ค่อยดีเท่าไหร่เมื่อเทียบกับรถน้ำมัน
โดยเฉพาะ Seal ตัว 500 แรงม้าแต่ช่วงล่างค่อนข้างแย่ พอใส่ยาง Conti comfort contract ลอง emergency lane change ที่ความเร็ว 90 รถออกอาการท้ายหวิวๆชัดเลย
เทียบกับรถญี่ปุ่น c-segment ที่ผมใช้ประจำ ทำแบบเดียวกันยังนิ่งสนิท
กับโค้งแถวบ้านผมที่ใช้ลองรถ ทั้ง Dolphin กับ Seal สาดเข้าไป 90 ก็รู้สึกถึงลิมิตแล้ว Dolphin นี่อาการ under steer มาแบบไม่เตือนเลย
ส่วนรถบ้านผมโค้งเดียวกัน เคยเข้าได้ 115 อาการยังไปแบบนิ่งๆ ยางยังไม่ดังด้วยซ้ำ
คือถ้าให้ซื้อก็ซื้อได้ แต่ผมคงจับเปลี่ยนยางเปลี่ยนโช้คก่อนเป็นอับดับแรก ซึ่งพอเปลี่ยนยางแล้ว range ที่วิ่งได้คงหายไปพอสมควรเลย

นอกนั้นก็มี MG4 ที่ผมชอบช่วงล่างและการขับขี่มากกว่า BYD แต่รับไม่ได้กับระบบ infotainment ในจอกลาง
พวกตัวอักษรและ UI มันเล็กมาก เล็กเหมือนจอมือถือเลย จะเข้าไปตั้งค่าอะไรทีนึงต้องเพ่งนานมาก แถมเน้นใช้เป็นตัวอักษรมากกว่าไอค่อน
บวกกับเรื่องคุณภาพตัวรถและการบริการหลังการขาย ยังเป็นน่ากังวลอยู่

GWM นี่ตัวรถผมก็ไม่ได้ชอบเท่าไหร่ แถมการบริการน่าเป็นห่วงกว่า MG กับ BYD ซะอีก

Tesla ผมไม่ชอบที่มันเป็นเหมือนเครื่องใช้ไฟฟ้าติดล้อมากกว่ารถยนต์ พวกพื้นฐานความเป็นรถยังทำได้ไม่ดี
การเอาทุกอย่างไปยัดไว้ในจอกลางอย่างเดียวนี่แย่มาก ถ้าขับรถไปเล่นมือถือไปอัตรายแล้ว การใช้ touchscreen ระหว่างขับรถก็ไม่ต่างกัน เอาจริงๆมีวิจัยออกมาว่ามัน distracting กว่าใช้มือถือด้วยซ้ำ
พวกหน้าปัดตัดออกไปแต่ดันไม่มี HUD มาให้อีก ต้องดูจอกลางอย่างเดียว
ยิ่งตัว facelift จะเปลี่ยนเกียร์ก็ต้องสไลด์เอาในจอ ก้านไฟเลี้ยวก็ตัดออกไปไว้บนพวงมาลัยแทน (คือจะอ้างว่า Ferrari เป็นแบบเดียวกันก็ไม่ถูก เพราะเจ้านั้นจำเป็นต้องไว้บนพวงมาลัยเพราะติด paddle shift แบบ fix ที่อยู่หลังพวงมาลัย)
ถ้าคนที่รู้เรื่องรถยนต์จะรู้ว่านี่คือการลดต้นทุน แต่ tesla มักจะอ้างเสมอว่ามันคือ innovation (พ่อง)
และที่สำคัญคือ ตอนนี้ทั้งประเทศมีศูนย์อยู่แค่ที่เดียว รวมถึงพวกงานประกอบที่ห่วยแตก งานพ่นสีหยาบๆแบบส้นตีนที่สุดยี่ห้อนึงตั้งแต่เคยเห็นมาในรถยนต์
คือต่อให้มันขายแค่ล้านเดียวผมก็ไม่ซื้ออะ

รถ BEV ที่ชอบสุดในตอนนี้น่าจะเป็น Hyundai Ioniq 5 ละมั้ง แต่มันนำเข้ามาขายทั้งคันจากเกาหลี ราคาเลยไม่ได้น่าดึงดูดแบบรถจีน
ก็รอดูต่อไปว่ามีโอกาสจะประกอบอินโดไหม หรือประกอบในประเทศไหม ราคาจะลงมาอีกไหม
รวมกับรอดูตัวที่ผมอยากได้มากๆคือ Ioniq 5 N ซึ่งมันเป็นรถไฟฟ้าสำหรับคนที่บ้ารถและชอบขับรถแบบผมนี่แหละ

ส่วนเรื่องความคุ้มค่า การประหยัดค่าน้ำมันอะไรพวกนี้
ผมลองคำนวณแล้ว ยังไงผมก็ไม่คุ้ม เพราะผมใช้รถตัวเองแค่ประมาณปีละ 10,000 km
เจอค่าประกัน ev แต่ละปีเข้าไป บวกกับราคาขายต่อ (ปกติผมใช้รถยาว 10ปี+) สุดท้ายแล้วผมจ่ายค่าน้ำมันน้อยกว่าอีก
เหตุผลเดียวในการซื้อ ev สำหรับผมคือ ชอบอัตราเร่งแค่นั้นเลย

จากใจ คนที่มีรถน้ำมันสองคันในบ้าน
เมื่อสองปีที่แล้ว ซื้อรถไฟฟ้า MG EP มาลองเล่นๆ ปรากฏว่าขับอยู่คันเดียว เป็นคันหลักของที่บ้านเลย รถน้ำมันจอดทิ้งจนสตาร์ทไม่ติด ตัดสินใจขายไปคันนึง

พอเทสล่าไทยเปิดตัว จองตั้งแต่วันแรกเลย ทุกวันนี้ขับ Tesla Model Y LR (ส่วน EP เป็นรถของภรรยาไว้รับส่งลูก) รถน้ำมันขายทิ้งทั้งบ้าน

มันไม่ใช่แค่เรื่องความประหยัดอย่างเดียว(ถ้าประหยัดคงหา Ecocar มาแทนแล้ว)

แต่ฟีลลิ่งรถไฟฟ้าหลายๆอย่าง รถน้ำมัน มันให้ไม่ได้จริงๆครับ ทั้งอัตราเร่ง ความสมู๊ทของคันเร่ง ความง่ายของชีวิต(คือบางคนกลัวสถานีชาร์จไม่พอ แต่จะบอกให้ว่า ชีวิตผม 95% คือชาร์จที่บ้านครับ มีเพียง 5% ที่จะไปใช้ด้านนอก ซึ่งมันก็คือ แค่5% อะ เลยไม่ซีเรียสอะไร)

รถคันต่อไป หันหลังกลับไปน้ำมันไม่ได้แล้วครับ เหมือนคนทึ่เคยใช้โทรศัพท์ปุ่มกดมาโดยตลอด เจอเทคโนโลยีทัชสกรีนแล้ว จะกลับไปใช้ปุ่มกดคงไม่ได้แล้วครับ ยังไงยังงั้น

ออกรถใหม่ตอนนี้คงหันไปรถ ไฟฟ้าล้วนกันหมดแล้วครับ ตอนนี้ผมมี 4 คัน

1.Accord G10 1.5 turbo อายุ 4 ปี ครึ่ง ก่อนนี้เมียใช้ประจำเป็นรถสุดรัก บอกให้ขายทิ้งก็ไม่ยอมขาย

2.ISUZU 1.9 all new แคป อายุ 4 ปี คันนี้ ผมใช้ขับไปทำงานบ้าง บรรทุก ของส่งลูกค้า วัตถุดิบบ้าง นิดหน่อย

3.CRV G6 turbo เพื่อบรรทุกอุปกรณ์ขี่ม้าของลูก ใช้แค่ ส- อ อายุ 4 เดือนยังต้องผ่อนอีก 19 งวด

4. BYD ATTO3 เพิ่งซื้อได้แแปปเดียว เอา HRV อายุ 8 ปี กว่าไปขายแล้วดาน์วมาลองขับ ผ่อนอีกเกือบ 4 ปี เพื่อให้เมียใช้เป็นรถหลัก แต่คนใช้ไม่ชอบ เพราะโคลง แอร์ไม่ค่อยเย็น Handering ไม่ดี แถมมัน แรงแบบหลอนๆอีก คิดว่าเซทคันเร่งมาไม่ดี

ที่พลาดคือ การซื้อ CRV G6 turbo และ ATTO3 มา ตอนนั้น Tesla Model Y มัน 1.9 ลบ เลยไม่ซื้อ เลยซื้อATTO3 มา ตอนนี้ Model Y มันลดเหลือ 1.7 ลบ แล้วอยากได้ Model Y มาก ตอนนี้เลยไปต่อไม่ถูก เลยครับ

กลุ้มใจคนอยากได้ MY มาก

ถ้าดูจากข้อมูลในกระดาษอย่างเดียว
รถที่คนในบ้านลงความเห็นว่าโอเคโดยพร้อมเพรียงกันจะเป็น vv ex90 น่ะครับ ซึ่ง ....... ไม่รู้อีกกี่ปีจะเป็นตัวเป็นตน
...
ช่วงนี้ก็เลยแอบไปเอาnetaมาขับคนเดียวแก้อยากไปก่อน
แต่ถ้าถามว่า คันต่อไปจะซื้ออะไร หากex90ยังไม่มาก็อาจจัยังเป็น iceอยู่ล่ะมั๊งครับ พอดีบ้านคนเยอะต้องการรถใหญ่ orz

เมืองไทยภายในห้าปีรถยนต์ส่วนบุคคลควรจะเป็นไฟฟ้าทั้งหมด แต่กากเกลือแบบไทยๆก็อาจจะสิบปีเพราะบริษัทรถยนต์บางยี่ห้อ ไม่ขอเอ่ยชื่อนะ

ทุกอย่างย้อนกลับไม่ได้แล้ว อนาคตพวกค่าใช้จ่าย ภาษี ประกัน มันจะวิ่งไปทางรถยนต์ไฟฟ้าหมด แล้วเครื่องสันดาปจะโดนขึ้นภาษีแทนจนหายไปจากระบบ

แต่ผมว่าทุกคนใครทดลองขับสักอาทิตย์จะเข้าใจ เวลาเราใช้ของสะอาดมันรู้สึกดีแปลกๆครับ อธิบายไม่ถูก

ใช้​ Neta​ ครับ(มีงบเท่านี้แหล่ะ​ 555)​ รถคันแรกของตัวเองแต่คันที่​ 3 ของบ้าน ผลัดกันใช้ตามความเหมาะสม​ แต่ส่วนมากเจ้าของรถไม่ค่อยได้ใช้หรอก​ เพราะผมเองยังเป็นมือใหม่หัดขับ​+คุณพ่อขับรถไป-กลับทำงาน​ กรุงเทพฯ-ฉะเชิงเทรา​ด้วยฟอร์จูนเนอร์รุ่นก่อนปรับโฉมทุกวัน​ เลยให้ท่านเอาใช้แทนประหยัดค่าน้ำมัน​ ส่วนตัวผมขับในบางทีที่มีโอกาส

ต้องบอกว่าตั้งแต่ได้​ Neta​ มาฟอร์จูนเนอร์แทบจอดตายไม่ได้แตะเลยล่ะครับ​ ไอ้เราจะเอาไปขับเองก็รถใหญ่ไม่ชินอีก

ส่วนตัวไม่ชอบแนวคิดการปกครองของจีนก็จริงแต่ก็ไม่ได้ต่อต้านเทคโนโลยีหรือผลิตภัณฑ์​จีน​ เลยไม่ได้อคติกับรถจีนอะไร​แบบบางคนที่ของจีนคือต่อต้านเลย

ถ้าสิ่งที่จ่ายไปให้ผลลัพธ์กลับมา​ตามระดับที่คาดหวัง+ระดับความเสี่ยงพอรับได้ก็กล้าลอง​ สุดท้ายเลยจัด​ Neta​ มาตามงบที่มีนี่แหล่ะ

ไม่ได้ ถ่มถุย นะครับ

แค่ ยังมีความสงสัยกับ รถไฟฟ้า อยู่ + ไม่มีเงิน

คือความคิดเห็นส่วนตัวคือ รถไฟฟ้า ถ้าจะซื้อจริงๆ ตอนนี้ เหตุผลเดียวคือ ฟีลลิ่ง+ประสิทธิภาพของการขับขี่ เท่านั้นเลยครับ

เพราะ ในแง่การรักษ์โลก ส่วนตัว มองว่ามันไม่ใช่ เพราะ ปลายทางคือ ขยะอเล็คโทรนิค (ผมไม่รู้ว่าจะมีอายุกี่ปี หรือว่าจะขับจนแบตเสื่อมไปเลย)

ในแง่การประหยัด ก็คงไม่ประหยัดขึ้นเท่าไร เพราะผมไม่ได้วิ่งเยอะ เทียบค่าน้ำมันกับค่าไฟ มันคงประหยัดขึ้นแหละ ขึ้นอยู่กับระยะทาง ถ้าใช้เยอะ น่าจะยิ่งเห็นตัวเลข

แล้วในการขับระยะไกลๆ ต้องวางแผนกันดีๆ ถ้าออกนอกเส้นทางก็ต้องปรับแผนใหม่ หาที่ชาร์จ รอคิว ตู้เสีย


ยิ่งผมเป็นมนุษย์เงินเดือน ฐานะไม่ได้ร่ำรวย มีรถส่วนตัวได้คันเดียว ตอนนี้ขับ อีโคคาร์ (วิ่ง ตจว ได้ 20km/L up)
ยังไม่มีความจำเป็นต้องเปลี่ยน หรือสนใจมาใช้ EV ด้วยไลฟ์สไตล์ ที่ขับไม่เยอะ ออกต่างจังหวัดไกลๆแคมปิ้ง
เดินทางสะดวก น้ำมันหมดก็แวะเติม ไม่ต้องมาวางแผนเส้นทางรถที่ต้องดูสถานนีชาร์จ (วางแผนแค่เรื่องเที่ยว ก็พอ)


แต่ถ้าตอนนี้ อยากได้ฟีลขับขี่ รถไฟฟ้าบ้างและยังสะดวกในการเดินทาง ตอนนี้ e power นิสสันคิก ดูท่าน่าจะตอบโจทย์ผมในตอนนี้มากกว่า EV 100%
แต่ นิสสัน ไม่ได้ตอบโจทย์ เรื่องการบริการ การเทลูกค้า เลยตัดนิสสันทิ้งไปก่อนเลยครับ (ขายไม่ดี อยู่ๆก็ลด 1-2แสน แล้วคนที่ซื้อราคาเต็มไปก่อนหน้านี้ล่ะ หน้าชาเลย)

แต่ถ้าผมเป็นคนรวย แน่นอนครับว่า ผมซื้อ EV แน่นอน ซื้อมาขับในเมือง ขับ ตจว ไม่ไกลมาก
แต่แน่นอนว่า คนส่วนใหญ่ไม่ได้รวย มีรถได้แค่ 1คัน ผมขอเพลเซพ เลือกรถน้ำมันที่ไว้ใจได้ ไว้ก่อน
( นับถือใจ คนที่มีรถคันเดียวที่เป็น EV โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าซื้อรถคันแรกและคันเดียวก็เลือก EVเลย เพราะถ้ามีปัญหาอะไร เท่าที่ได้ยินมาว่า รอนานมาก ถ้ามีรถหลายคัน ยังไปใช้คันอื่นระหว่างรอได้)


สุดท้ายนี้ ขอดูยาวๆครับ สัก 5-10ปี ของใหม่ๆ ก็ค่อยๆปรับปรุงกันไป
ถ้ามันดีมีอนาคต ถึงตอนนั้นก็น่าจะได้ข้อสรุปกันละ ตอนนั้นผมค่อยลงมาเล่นมันก็ได้ ปลอดภัยไว้ก่อนครับ

ใช้ Volvo V60 อยู่ เป็น PHEV วิ่งไฟฟ้าล้วนได้ 65-90 กิโล (อัตราบริโภคไฟขึ้นอยู่กับว่า Kickdown มากน้อยแค่ไหน)
ปกติขับไปรับส่งลูก + ไปทำงานที่บริษัท วิ่งในแต่ละวัน จะไม่เกินวันละ 60 กิโล น้ำมันเลยแทบไม่ลดเลยสักนิด
น้ำมันจะลดเฉพาะตอนไปเที่ยว ตจว ไกลๆอย่างเดียวเลย
ตอนนี้วิ่งไป 25,000 กิโลแล้ว เติมน้ำมันเต็มถังไป 5 ครั้งได้ (เฉลี่ยวิ่งถึง 5000 กิโล ถึงจะเติมน้ำมันเต็มถังครั้งนึง)

ถ้าซื้อรถใหม่อีกคัน คงเป็น BEV ล้วนแล้วล่ะ
รอ XC60 (PHEV) มาเป็น EX60 ก่อนละมั้ง แต่ไม่รู้ว่าอีกกี่ปี (จะซื้อมาใช้แทน Subaru Forester ตอนนี้)

ของผมคันหน้าคงออกเป็น EV แน่ ๆ แต่คงอีกนานเพราะเพิ่งออก Honda City Hatchback ehev ไปเมื่อปีที่แล้ว ถ้ายังไม่ออกตอนนี้คงซื้อ BYD Dolphin ไปละ แต่ City ก็ใช้ดีและคิดถูกที่เลือก Hybrid ไม่เจอปัญหาเกียร์พังแบบรุ่น Turbo

ส่วนน้องชายผมย้ายจาก Camry ไป BYD Seal เรียบร้อยประหยัดค่าน้ำมันได้เยอะมาก ตอนใช้ Camry ค่าน้ำมัน 30k มาใช้ Seal เหลือ 3-4k

ผมอยู่ในกลุ่ม BYD ATTO3 thailand มีเมือวานพี่ ผญ เค้าใข้ Collola Cross ถามว่าจะขายมาใช้รถน้ำมันคุ้มไหม โคตรจะไม่คุ้มครับ รถไฮบริดประหยัดมากอยู่แล้ว (แต่ส่วนตัวผมไม่ชอบรถไฮบริดนะครับ ผมชอบขับรถเครื่องเทอร์โบมากกว่า )

คนที่จะใช้รถไฟฟ้า

1. คนที่จะเปลี่ยนรถพอดี รถคันเก่าอาจจะสัก 7-8 ปี แล้ว มองหารถใหม่ก็ลองรถไฟฟ้าได้

2. คนที่มีรถน้ำมันอยู่แล้วจะหาซื้อเพิ่มเพราะสมาชิกในบ้านเพิ่มขึ้น และหารถใช้

3. พวกมีรถหลายคันอยู่แล้ว แล้วอยากลองอะไรใหม่ๆ


คนที่มีรถน้ำมัน รถไฮบริดอยู่แล้ว และอายุไม่เกิน 7 ปี และชีวิตปกติดี ผมว่าไม่มีความจำเป็นต้องเปลี่ยนครับ

ต้องขอบคุณรถไฟฟ้าจีน อย่าง BYD ที่ทำให้กระแสรถไฟฟ้าบ้านเรามันบูมเร็วขนาดนี้ เมื่อ 4-5 เดือนก่อน ตอนผมซื้อรถน้ำมันกระแสรถไฟฟ้าจีนยังไม่บูมเท่านี้ Tesla ยังขายแพงอยู่แล้ว

แต่สุดท้ายไม่ว่าเราจะชอบหรือไม่ชอบรถไฟฟ้า รถน้ำมันมันก็คงเลิกผลิตในเร็ววันนี้แหละครับ

ล่าสุดค่าย รถญี่ปุ่น ประกาศ MOU ลงทุนในไทย ผลิตรถยนต์ EV แล้ว น่ายินดีที่ไทยจะเป็น hub ในการผลิตรถยนต์ในภูมิภาคอยุ่ดี ทั้้งจีน BYD MG NETA GM และญี่ปุ่น