Menu
[--mobilemenu--]
บราวเซอร์ของท่านไม่สนับสนุนหรือปิดการใช้งาน javascript ซึ่งจะไม่สามารถใช้งานไซต์บางส่วนเช่นการเข้าลิ้งค์ หรือโพสข้อความได้ตามปกติ, กรุณาเปิดการใช้งาน javascript เพื่อที่จะใช้งานเว็บ gconhubม หากมีปัญหาในการใช้งาน หรือต้องการสอบถามเพิ่มเติม กรุณาติดต่อ [email protected] หรือ [email protected]
เจมส์ คาเมรอน ติ Star Wars: The Force Awakens ว่าขาด "จินตนาการทาง��าพ"
FallsDowns at 2016-06-29 16:39:52 , Reads (30870), Comments (17) , Source :


ถึงแม้ว่า Star Wars: The Force Awakens จะประสบความสำเร็จทั้งในด้านของคำวิจารณ์และรายได้ทั่วโลก แต่ดูเหมือนว่านั้นก็ไม่ได้ทำให้ผู้กำกับชื่อดังอย่าง เจมส์ คาเมรอน ประทับใจซักเท่าไรนัก



โดยล่าสุดตัวเขาได้ถูกถามความคิดเห็นเกี่ยวกับ The Force Awakens ซึ่งเข้าฉายไปเมื่อปลายปีที่แล้ว

"ผมต้องพูดเลย ผมรู้สึกว่าภาพยนตร์ของ จอร์จ (ลูคัส) ทั้ง 6 เรื่องมีการริเริ่มจินตนาการทางภาพใหม่ๆมากกว่าอีก และหนังเรื่องนี้ก็มีหลายสิ่งหลายตัวละครที่คุณเคยเห็นมาก่อนแล้ว ส่วนตัวละครใหม่ก็มีเรื่องราวน้อยมาก"

เจมส์ คาเมรอน ในขณะนี้กำลังสร้างจักรวาลภาพยนตร์ Avatar ของตนเองขึ้นมา โดยเขาเคยกล่าวว่า Avatar จะให้ประสบการณ์การชมภาพยนตร์ที่ไม่เหมือนกับนั่งดูที่บ้าน จนต้องมาชมในโรงภาพยนตร์เท่านั้น



อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่าตัวเขาอาจจะไม่ชื่นชอบ The Force Awakens ซักเท่าไรนัก แต่เจ้าตัวก็ยอมรับว่าไม่อยากจะไปชนตารางฉายกับ Star Wars อย่างแน่นอน

"ผมไม่อยากจะเจอตัวต่อตัวกับ Star Wars หรอกนะ นั่นคงโง่มากๆ และผมหวังว่าพวกเขาก็ไม่อยากที่จะเจอตัวต่อตัวกับเราเช่นกัน"



Avatar 2 ในตอนนี้มีกำหนดฉายในเดือนธันวาคม 2018 ในขณะที่ทางด้าน Rogue One: A Star Wars Story กำหนดฉายบ้านเรา 15 ธันวาคม 2559 ครับ

ref: [Link]

แสดงความคิดเห็น
6 more comments >>
จอร์จ ลูคัสจะนำเอาเทคโนโลยีใหม่ๆ มาพร้อมกับหนัง STAR WARS เสมอ ไอ้ฉากเปิดเรื่องภาค IV ที่เห็นยานรบลำมหึมาแล่นมาจากด้านบนของจอ อันนั้นน่ะลูคัสคือผู้บุกเบิกสเปเชียลเอฟเฟ็กต์ยุคใหม่ให้ฮอลลีวู้ดยุคนั้นเลย และทุกภาค (1-6) จะมาพร้อมกับเทคโนโลยีใหม่เสมอ เพียงแต่ภาค I-III ลูคัสไปเล่นเรื่องระบบการฉายในโรงภาพยนตร์มากกว่าการนำเสนอภาพบนจอ อย่าง Episode I เอาระบบเสียงดิจิตอล Dolby Surround EX มาใช้ พอ Episode II ก็ใช้การถ่ายทำ-ฉายด้วยระบบดิจิตอลทั้งเรื่อง คือปฏิวัติอุตสาหกรรมภาพยนตร์กลายๆ

แต่งานภาพ I-III นี่ลูคัสเล่นกับ CGI มากเกินไป จนงานภาพมันดูแห้งแล้ง

Episode VII นี่ไม่มีอะไรใหม่ แต่ข้อดีคือกลับไปใช้เมคอัพ +ใช้หุ่นจำลอง เอาคนจริงไปใส่ชุด ใช้การสร้างฉากเนรมิตสถานที่จริง แต่ไม่มีอะไรใหม่ กลับไปเดินตามรอยภาคเก่า เรียกว่าตั้งแต่ฉากเปิดเรื่องที่ยานลำมหึมาแล่นมาจากด้านบนของจอ

VII สู้ I-VI ไม่ได้หรอก เอาจริงๆ VII มันไม่ได้เจ๋งอะไรถ้าไม่ใช่แฟนคงบอกว่ามันสนุกสูสีกับ Wrath of Titan, Gods of Egypt แต่เผอิญว่า STAR WARS มันเป็นหนังสาวกไง และถ้าจะดูให้สนุกต้องดูให้ครบทั้งไตรภาค ต้องรอ VIII กับ IX ก่อน
Like : Rajeedz
View all 2 comments >
บอกว่าสนุกสูสีกับ Wrath of Titan, Gods of Egypt อันนี้เกินไปนะครับ อิๆ อีกอย่างผมว่าท่านวิเคราะห์ผิดไปนิดว่าเป็นหนังสาวก ลองไปดูใน imdb นะครับ อายุ U18 ซึ่งพวกนี้เกิดไม่ทัน EP4-6 แน่นอน และ ตอน EP1-3 นี่ัยังเป็นเด็กน้อยไม่เกิน 8 ขวบ กลุ่ม U18 นี้ให้คะแนนความชอบหนังเรื่องนี้มากที่สุด เยอะกว่าพวก 30 40 50 ที่ทันดูภาคเก่าๆอีกครับ สถิตินี้ชี้นำว่าคนดูรุ่นใหม่ชอบหนังเรื่องนี้มากๆครับ ยกเว้นข้อมูลนี้จะโกงอายุมากดคะแนนกันนะ 55
Like : toranin, blackholesun, ejvijedl[wmfpw, topperioz
IV มีความเป็นหนังคัลท์เฉพาะกลุ่ม แบบหนังชอว์บราเดอร์ที่มีกลุ่มคนที่ชอบคอยติตตามผลงาน อย่างที่รู้กัน STAR WARS เป็นหนังลิเกอวกาศ space opera ได้แรงบัลดาลใจจากหนังซามูไร IV ใช้ทุนสร้างแค่ 10 ล้าน เป็นค่าเอฟเฟ็กต์ 2 ล้าน ขณะที่หนังฟอร์มยักษ์ยุคนั้นจะใช้ทุนสร้างประมาณ 20-30 ล้าน และหนังไม่ได้ฉายแล้วดังเลย หนังเริ่มเปิดตัววงแคบ มีโรงฉายไม่กี่โรง (หลังๆหนังยืนโรงนาน +ปากต่อปาก จึงขยายวงเพิ่มโรงฉาย)

IV-V นี่สร้างฐานแฟนๆ คนที่ชอบก็ชอบมาก คือเป็นสาวกนั่นแหละครับ เริ่มมีคนตามเก็บหนังสือการ์ตูน ของเล่น เพลง รูปโปสเตอร์

VI ปิดตำนาน แต่พูดถึงคนดูสมัยนั้น ผมทันนะครับ STAR WARS นี่คนสมัยนั้นมองว่าดูยาก คือต่างจากพวก MAD MAX, Alien, Back to the future

มาถึง I-III ฐานการตลาดมันขยายเรื่อยๆครับ มีการ์ตูนทีวีฉายหลังภาค VI นะครับ มีเกมส์ ฯลฯ ก่อนฉาย I ก็เอาไตรภาคเก่าเอามาทำใหม่ฉายใหม่ จะว่าไปก็สร้างสาวกใหม่ หลังจากนั้นก็ทั้งการ์ตูน เกมส์ออนไลน์ นิยาย สินค้า สารพัดสื่อSTAR WARS เกลื่อนตลาด

VII นี่มาในฐานะวัฒนธรรมของอเมริกันเลย สามารถเป็นหนังตลาดวงกว้างแบบจริงจังซะที
อันนี้เห็นด้วยเฮียแกนะ ภาค VII เหมือนทำมาแค่ให้คิดถึงวันเก่าๆ ของภาค 4-5 เฉยๆ หลายๆอย่างเรียกได้ว่าไม่มีอะไรแปลกใหม่ ที่เจ๋งของภาคนี้คือเข้าถึงตลาดแมสแบบจริงจังได้แล้วเท่านั้น
Like : toranin
ภาค7 ทำให้ทุกอย่างง่ายขึ้น ย่อยง่าย เนื้อเรื่องเบาๆ ไม่ซับซ้อน สำหรับแฟนหนังรุ่นใหม่ มันเลยง่ายๆแบบนี้
เห็นด้วยว่าภาค VII มันแมสขึ้นแบบจริงจัง จากเดิมที่ถูกมองว่าเป็นหนังสำหรับสาวก แต่ความดีความชอบมันเป็นของการตลาดมากกว่าตัวหนัง คือถ้าพูดถึงหนังที่มีอะไรใหม่ๆให้คนดูเข้าไปดูในโรง เพราะโรงยุคนี้ต้องหากลยุทธ์ไปแข่งกับการดูหนังที่บ้าน ตั้งแต่จัดวางบิลบอร์ด จัดรอบพิเศษเอาดารามาเปิดตัว คือโรงก็หาลูกเล่นเสริมทั้งโรงแบบ 4DX หรือล่าสุดก็ ScreenX แต่ตัวหนังมันกลับเดิมๆไม่มีอะไรใหม่ๆที่สร้างสรรค์ที่ทำให้คนไปดูในโรง ถ้าพูดถึงเรื่องนี้ผมยกให้ Dead pool ถึง STAR WARS มันจะทำเงินมากกว่า โอเค DP ก็ใช้การตลาดเหมือนกัน แต่ตัวหนังมันมีอะไรแปลกใหม่ มันแหกขนบ มันสร้างขนบใหม่ถึงขั้นที่ว่าถึงจะเป็นเรตR ก็ทำให้คนเข้าไปดูในโรง หนังจะเรตR จะฟอร์มเล็ก ก็ทำเงินได้ถ้ามันสร้างสรรค์ และทำให้คนดูสนใจ ส่วนSW:VII มันเป็นหนังฟอร์มใหญ่แบบยังไงก็ต้องเกิดปรากฏการณ์คนเต็มโรง ซึ่งหนังแบบนี้มันไม่ได้มีฉายทั้งปี
ผมว่ามันก็ทำออกมาดีเพียงแต่ ประวัติตัวละคร ในเรื่องมันบางเกินไป อย่างแม่ทัพ ที่เท่ห์ๆ ก็ไม่ได้มีประวัติอะไรที่ทำให้เราชอบเวลาตัวละครนี้โผล่ออกมา เราไปอินกับประวัติตัวละครเก่า ๆ มากกว่า แต่ส่วนตัวผมไม่ได้รู้สึกอยากติดตาม เหมือนดูสตาร์วอร์สภาคของ คุณ ลูคัสครับ
ภาคที่ผมชอบสุดๆเลยก็ 3 กับ 5 นี่แหละตำนานสุดละ
สตาร์วอร์สชอบภาค IV กับ ภาค I

ภาค IV อะไรๆมันแปลกใหม่ทุกอย่าง ภาคหลังๆก็ต่อยอดเอา

ภาค I นี่ก็อัพภาพขึ้นมามาก มีแอคชั่นลุงเลียมเท่ๆ บู๊ดุเดือดดี

แต่ภาค VII ดูงั้นๆมาก งานภาพดีนะ แต่ไม่ค่อยมีอะไรน่าจดจำเท่าไหร่ ยิ่งตัวเอกหญิงมาดำเนินเรื่อง แล้วไม่มีตัวเอกชายสายบู๊มันส์ๆมาแจม มันเลยดูนุ่มนิ่มไปเลยเหมือนนั่งดูแฮรี่พอตเตอร์ตะลุยอวกาศ

avatar งานภาพนี่ยอมรับว่าเทพ แต่เรื่องมันดูเนิบๆน่าเบื่อเกินไป มัวแต่จะโชว์ภาพ ไม่มีจุดบีบคั้นอารมณ์เท่าที่ควร แบบหลายๆเรื่องที่คาเมรอนเคยทำมา
เจ๊คาเมร่อน ไปทำอวาตาลให้เสร็จๆ ซักทีเหอะ เลื่อนฉายหลายรอบละ เลื่อนไม่พอ ยังจะมีหน้าประกาศทำภาค 2345 บลาๆ อีก คือไม่ใช่ไม่เชื่อในฝีมืออะนะ แต่รีบๆ ทำซักทีได้มั๊ยยยยยย กลัวว่าได้ไปอยู่กับ เอวา ก่อนได้ดูจริงๆ
ผมเข้าใจที่หลายคนเฉยๆกับภาคนี้นะ แต่ผมว่าเอาไปเทียบพวก wrath of titan นี่ผมว่าหนักข้อไปมากครับ

คือยอมรับว่าการกำกับและความครีเอทมันไม่ได้หวือหวามาก เห็นด้วยที่บอกว่ามันเข้าสู่ความเป็นแมส การตลาดส่งเสริมความนิยมมากกว่าตัวคุณภาพหนังมันก็จริง แต่ในแง่บทเกี่ยวกับความสัมพันธ์ตัวละครเก่าๆ มันยังเชื่อมโยงและทำออกมาได้ดี มันมีมิติที่ของบทที่เห็นได้ชัด ซึ่งหลายคนอาจจะมองว่ากินบุญเก่า แต่ผมก็ถือว่ามันก็คิดมา จะมีก็บทตัวละครใหม่นี่แหละที่ยังลอยๆเลยไม่รู้ว่ามันจะมีอะไรเซอร์ไพรส์รึเปล่า นอกจากนี้อาร์ตไดเรกชั่นก็ถือใช้ได้

แต่ไอ้พวกตระกูล Titan นี่มันแบนแบบแบ๊นแบน ไม่ได้มีมิติอะไรมากไปกว่าหนังแอคชั่นดูเอาจบเลย ซึ่งฉากแอคชั่นมันก็ไม่ได้ดีเด่อะไรด้วย ถึงจะบอกว่าหนังมันแอบเก่าแล้วแต่ผมว่าแม้แต่ในยุคของมันเองก็ยังล้าหลังอยู่ดี

จริงๆมาติงเรื่องยิบย่อยแบบนี้อาจจะดูเป็นแฟนสตาร์วอส์ขี้ดิ้นอ่ะนะ ผมก็เป็นแค่แฟนขาจร แบบว่าติ่งเฉพาะตอนัมนใกล้ๆเข้าอะไรแบบนั้น เพียงแต่เห็นความเห็นที่มันสุดโต่งไปแล้วอดแย้งไม่ได้อ่ะครับ

ปล. อนึ่ง wrath กับ clash นี่ผมได้ดูแค่อันเดียวนะ จำไม่ได้ว่าอันไหน แต่เป็นอันที่มาทีหลังอ่ะ ฮ่าๆ
ปล.2 กลับกัน DP นี่ถ้าไม่มองเรื่องทุนน้อยผมว่ามันก็เฉยๆพอสมควรนะ มิติเรื่องมันไม่ค่อยมีอะไรเท่าไหร่ ฉากแอคชั่นทำได้ดีแต่เป็นก้อนแห้งๆสองก้อน ดูจนจะจบแล้วนึกว่าจะมีก้อนใหญ่อีกก้อน ที่ไหนได้ จบแล้วจ้า
หนังมันก็โอนะ แต่ตัวร้ายเห่ยไปหน่อย กับฉาก Force ที่ไร้จินตนาการ ให้คนดูคิดเอง ทั้งที่มีเอฟเฟคให้ใช้เต็มไปหมด ยังดีที่ไม่มีเลนแฟหนักๆ ให้ปวดตาเล่น