Finding Dory ( 2016 ) บทวิจารณ์��าพยนตร์โดย FallsDownz
Finding Dory ( 2016 )
Director: Andrew Stanton, Angus MacLane
เป็นที่น่าแปลกใจว่าตัวภาพยนตร์ซึ่งห่างหายไปนานถึง 13 ปี กลับมาครั้งนี้ในนามของ Finding Dory ดันไม่ค่อยมีอะไรที่สดหรือแปลกใหม่เท่าไรนัก องค์ประกอบแทบทุกส่วนของ Finding Dory ไม่ว่าจะเป็นในด้านภาพซีจี การดำเนินเรื่อง ไปจนถึงประเด็นที่สอดแทรกอยู่ในภาพยนตร์บางส่วน ต่างให้ความรู้สึกเหมือนนั่งดู Finding Nemo อีกรอบหนึ่ง
อาจเรียกได้ว่าเป็นความซวยตั้งต้นของ Finding Dory ที่ต้องวิ่งไล่ตามความสำเร็จและความยอดเยี่ยมของ Finding Nemo ให้ได้ และในด้านของเรื่องราวซึ่งต่อจากภาคแรกแทบจะในทันที ในขณะที่ในโลกแห่งความเป็นจริงเวลาได้ผ่านไปกว่าสิบปีแล้ว ก็เป็นอีกหนึ่งสาเหตุที่ทำให้ภาพยนตร์เรื่องนี้รู้สึกว่าไม่ค่อยมีการพัฒนาหรือเปลี่ยนแปลงมากนัก
ในด้านของการเล่าเรื่องและกำกับ เห็นได้ค่อนข้างชัดว่าทั้งสองผู้กำกับพยายามใช้จุดเด่นของตัวละครหลักอย่างดอรี่ ซึ่งก็คือความขี้ลืมมาใช้เป็นเครื่องมือในการดำเนินเรื่องค่อนข้างมาก ปัญหาคือเทคนิคระลึกชาติหรือ Flashback เหล่านี้ มันถูกนำมาใช้บ่อยครั้งเกินไป จนให้ความรู้สึกเหมือนเป็นแค่กิมมิคๆหนึ่งในการดันเรื่องให้เดินหน้า มากกว่าที่จะเป็นเทคนิคที่โดดเด่นและน่าจดจำจริงๆ
แม้ต้นเรื่องของ Finding Dory จะค่อนข้างชวนหลับ โชคยังดีที่เหล่าตัวละครหน้าใหม่ทั้งหลายกระโดดเข้ามาช่วยได้ทัน ถึงแม้จะไม่ได้มีเรื่องราวที่แปลกอะไรมากมาย แต่ตัวละครเหล่านี้ก็มีเทคนิคและความสามารถเฉพาะตัวมากพอ ที่จะกลายเป็นจุดสร้างสีสันให้กับภาพยนตร์ได้ ไม่ว่าจะเป็นเจ้าฉลามวาฬเดสทินี่ วาฬเบลูก้าเบลลีย์หรือเจ้าปลาหมึกแฮงค์
เครดิตส่วนใหญ่ก็ต้องขอยกให้กับแฮงค์ค่อนข้างมาก การออกแบบตัวละคร ทัศนคติ และความสามารถของเขา เป็นเหตุที่ทำให้หลายส่วนของ Finding Dory ดำเนินเรื่องไปได้อย่างราบรื่นและสนุก กระทั่งให้ความรู้สึกเหมือนนั่งดูภาพยนตร์สายลับเลยทีเดียว เอาเข้าจริงแล้วในหลายต่อหลายครั้งเขากลับเป็นตัวละครที่น่าติดตามยิ่งกว่าเจ้าปลาขี้ลืมดอรี่เสียอีก
- ส่วนวิเคราะห์ บทความ Finding Dory (อาจมีสปอย) -
Final Score : [ 6.5 ]
Director: Andrew Stanton, Angus MacLane
เป็นที่น่าแปลกใจว่าตัวภาพยนตร์ซึ่งห่างหายไปนานถึง 13 ปี กลับมาครั้งนี้ในนามของ Finding Dory ดันไม่ค่อยมีอะไรที่สดหรือแปลกใหม่เท่าไรนัก องค์ประกอบแทบทุกส่วนของ Finding Dory ไม่ว่าจะเป็นในด้านภาพซีจี การดำเนินเรื่อง ไปจนถึงประเด็นที่สอดแทรกอยู่ในภาพยนตร์บางส่วน ต่างให้ความรู้สึกเหมือนนั่งดู Finding Nemo อีกรอบหนึ่ง
อาจเรียกได้ว่าเป็นความซวยตั้งต้นของ Finding Dory ที่ต้องวิ่งไล่ตามความสำเร็จและความยอดเยี่ยมของ Finding Nemo ให้ได้ และในด้านของเรื่องราวซึ่งต่อจากภาคแรกแทบจะในทันที ในขณะที่ในโลกแห่งความเป็นจริงเวลาได้ผ่านไปกว่าสิบปีแล้ว ก็เป็นอีกหนึ่งสาเหตุที่ทำให้ภาพยนตร์เรื่องนี้รู้สึกว่าไม่ค่อยมีการพัฒนาหรือเปลี่ยนแปลงมากนัก
ในด้านของการเล่าเรื่องและกำกับ เห็นได้ค่อนข้างชัดว่าทั้งสองผู้กำกับพยายามใช้จุดเด่นของตัวละครหลักอย่างดอรี่ ซึ่งก็คือความขี้ลืมมาใช้เป็นเครื่องมือในการดำเนินเรื่องค่อนข้างมาก ปัญหาคือเทคนิคระลึกชาติหรือ Flashback เหล่านี้ มันถูกนำมาใช้บ่อยครั้งเกินไป จนให้ความรู้สึกเหมือนเป็นแค่กิมมิคๆหนึ่งในการดันเรื่องให้เดินหน้า มากกว่าที่จะเป็นเทคนิคที่โดดเด่นและน่าจดจำจริงๆ
แม้ต้นเรื่องของ Finding Dory จะค่อนข้างชวนหลับ โชคยังดีที่เหล่าตัวละครหน้าใหม่ทั้งหลายกระโดดเข้ามาช่วยได้ทัน ถึงแม้จะไม่ได้มีเรื่องราวที่แปลกอะไรมากมาย แต่ตัวละครเหล่านี้ก็มีเทคนิคและความสามารถเฉพาะตัวมากพอ ที่จะกลายเป็นจุดสร้างสีสันให้กับภาพยนตร์ได้ ไม่ว่าจะเป็นเจ้าฉลามวาฬเดสทินี่ วาฬเบลูก้าเบลลีย์หรือเจ้าปลาหมึกแฮงค์
เครดิตส่วนใหญ่ก็ต้องขอยกให้กับแฮงค์ค่อนข้างมาก การออกแบบตัวละคร ทัศนคติ และความสามารถของเขา เป็นเหตุที่ทำให้หลายส่วนของ Finding Dory ดำเนินเรื่องไปได้อย่างราบรื่นและสนุก กระทั่งให้ความรู้สึกเหมือนนั่งดูภาพยนตร์สายลับเลยทีเดียว เอาเข้าจริงแล้วในหลายต่อหลายครั้งเขากลับเป็นตัวละครที่น่าติดตามยิ่งกว่าเจ้าปลาขี้ลืมดอรี่เสียอีก
- ส่วนวิเคราะห์ บทความ Finding Dory (อาจมีสปอย) -
Final Score : [ 6.5 ]
Related News
แสดงความคิดเห็น
ตัวหนังสนุกดีมากสำหรับผม พอๆกับภาคแรก แต่ไม่ตื่นตาตื่นใจเท่า
ประทับใจสุดที่การ์ตูนสั้นแปะหน้าเรื่อง Piper โชว์กราฟฟิกเม็ดทรายได้สุดยอดมากขอคาราวะเลย
คือดูไปแล้วมันไม่มีอะไรจริงๆ ถ้าแบบวอลอีนี่ว่าไปอย่าง
ไม่ความชอบคนละแบบกันก็นักวิจารณ์นอกอวยหนังดิสนีย์แน่ๆอวยกันจนเป็นนิจละสงสัย ฮาา
แต่เอาจริงมันก็เป็นเรื่องความชอบแหละครับ คือในเชิงลึกจริงๆหนังอนิเมชั่นพวกนี้ส่วนใหญ่มันมีเนื้อหา เมสเสจ การสะท้อนแนวความคิดต่างๆที่ค่อนข้างลึกมากนะ ไม่แพ้หนังซีเรียสๆเลยแหละ เพียงแต่ด้วยวิธีนำเสนอที่ต้องให้เด็กดูด้วย มันก็เลยค่อนข้างขึ้นอยู่กับคนดูพอสมควรว่าจะชอบหรือไม่ชอบ เพราะมันส่งผลถึงความอินกับการตีความลงไปด้วย
อย่างคุณ FallDown เนี่ย แกก็เขียนไว้ในสปอยเลอร์ถึงประเด็นที่น่าสนใจของเรื่องนี้เพราะแกมองเห็นมันในขณะที่หลายๆคนอาจจะมองข้ามตรงนี้ไป แต่ผมเดาจากประสบการณ์ที่เคยถกกับแกเรื่อง inside out ว่าโทนของเรื่องที่มันคิดบวกโลกสวยมากๆน่าจะไม่ถูกจริตแกเท่าไหร่ เพราะแกมีประสบการณ์ดูหนังเยอะและได้เจอกับหนังที่สามารถถ่ายทอดหรือสะท้อนเรื่องในลักษณะเดียวกันได้จริงกว่า มีมิติให้ขบคิดมากกว่า ในขณะที่ถ้ามองโดยทั่วๆไปและคิดถึงผลลัพธ์ต่อเด็กหรือคนที่มีชุดความคิดอีกแบบนั้นมันก็จะให้ผลลัพธ์ต่อความอินได้ไม่เหมือนกัน(แต่ถ้าผมเดาผิดก็ขอโทษนะท่าน ฮ่าๆ)
อย่างผมนี่ถือว่าเรื่องสไตล์นี้ถูกจริตมากๆ และชอบมากๆ แต่ไม่ดีเท่านีโม่ที่ทำได้สุดลิ่มทิ่มประตู แต่ก็เข้าใจกับคะแนนและมุมมองของคุณ FallDown ครับ