X-Men: Apocalypse (2559) บทวิจารณ์��าพยนตร์โดย FallsDownz
X-Men: Apocalypse (2559) บทวิจารณ์ภาพยนตร์โดย FallsDownz
ดำเนินกันมาถึงจุดไตรภาคเป็นที่เรียบร้อยสำหรับแฟรนไชส์ X-Men ฉบับใหม่ของ ไบรอัน ซิงเกอร์ ที่ถูกปลุกขึ้นมาในปี 2011 กับภาค First Class ซึ่งอาจจะยังคงเรียกได้ว่าเป็นภาคที่ยอดเยี่ยมที่สุดภาคหนึ่งไม่ใช่แค่เฉพาะของแฟรนไชส์ X-Men แต่รวมไปถึงภาพยนตร์ซุปเปอร์ฮีโร่ทั้งหมดในขณะนี้
น่าเสียดายที่ภาคที่สอง Days of Future Past ไม่สามารถที่จะคงความยอดเยี่ยมเอาไว้ได้ ผสมผสานกับตลาดภาพยนตร์ซุปเปอร์ฮีโร่ปัจจุบันที่ค่อนข้างมีตัวเลือกที่เยอะ ยังไม่นับถึงคะแนนเปิดตัวจากฝั่งนักวิจารณ์ของภาคนี้ที่ดูค่อนข้างน่าเป็นห่วง จนเป็นเหตุทำให้เราไม่รู้สึกตื่นเต้นกับการมาของภาคที่สาม Apocalypse ซักเท่าไรนัก
X-Men: Apocalypse ถ้าสังเกตุและวิเคราะห์ในหลายๆด้าน ก็อดที่จะแอบเปรียบเทียบกับ Avengers: Age of Ultron ของทางฝั่ง Marvel ไม่ได้ เนื่องจากมันมีความคล้ายคลึงกันพอสมควร เช่น ตัวร้ายที่ทรงพลังสามารถกำราบทีมฮีโร่ของเราได้อย่างราบคาบ ฮีโร่หรือตัวละครใหม่ที่เข้าไปสวามิภักต่อเหล่าร้าย วิธีการเรียนรู้ประวัติศาสตร์ของโลกปัจจุบัน ไปจนถึงการสอดแทรกประเด็นเทคโนโลยีไร้สายในยุคปัจจุบัน
แต่ถ้าหากเทียบกันกับ Age of Ultron แล้ว สิ่งที่ Apocalypse ดูจะเป็นต่อกว่าก็หนีไม่พ้นด้านตัวร้ายอย่าง อะพอคคาลิปส์ ซึ่งดูร้ายกาจและทรงพลังมากกว่าอัลตรอนที่เอาแต่พล่ามแล้วพล่ามอีก
ในด้านฉากแอ็คชั่นของ Apocalypse ถ้าหากท่านใดคาดหวังว่ามันจะมีตลอดทั้งเรื่องก็คงจะต้องปาดน้ำตากันไปตามระเบียบ แต่ฉาก Climax ท้ายเรื่องที่ค่อนข้างอลังการ ก็น่าจะเป็นตัวช่วยเกาให้หายคันกันได้อยู่บ้าง
จุดหนึ่งที่ต้องขอยกเครดิตให้อย่างเต็มใจในความเทพอย่างสุดขีดของเขา ก็คือเจ้าหนุ่มวัยรุ่น ควิกซิลเวอร์ ซึ่งยังคงโคตรเทพ โคตรฮาและเป็นตัวขโมยซีนระดับมาสเตอร์พีซอย่างแท้จริง ในมิติหนึ่งอาจเรียกได้ว่า เขาเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้ช่วงต้นเรื่องอันแสนอืดชืดของ Apocalypse มีสีสันขึ้นมาได้อย่างทันตาเห็น และยังคงเป็นจุดที่ Marvel ยังคงไม่สามารถลอกเลียนแบบได้ในขณะนี้
ถึงกระนั้นก็ตาม Apocalypse ก็ยังคงมีปัญหาที่คอยรุมเร้าตัวภาพยนตร์ให้ไม่สามารถที่จะไปไกลได้มากนักอยู่หลายจุด จุดใหญ่ๆที่ต้องพูดถึงก็คงจะหนีไม่พ้นด้านบทภาพยนตร์ และตัวผู้กำกับ ไบรอัน ซิงเกอร์
จุดที่เป็นปัญหาของ ไบรอัน ซิงเกอร์ หลักๆแล้วก็หนีไม่พ้นการเล่าเรื่อง การวางปมขัดแย้ง และการผูกปมแต่ละตัวละครนั้นค่อนข้างขาดชั้นเชิง ตรงไปตรงมาจนเกินไป ยิ่งพอผนวกกับบทภาพยนตร์ ที่ขาดความสดใหม่ และค่อนข้างเชยมากๆแล้ว ยิ่งทำให้รู้สึกเหมือนนั่งดูภาพยนตร์เมื่อ 5 ถึง 10 ปีที่แล้วอย่างมาก ที่แปลกยิ่งกว่าก็คือการสอดแทรก 'พลังแห่งผองเพื่อน' เข้ามาจนตกใจ นึกว่านั่งอ่านมังงะหรือดูอนิเมะอะไรซักอย่างอยู่
โชคยังดีที่ทีมนักแสดงทั้งหลายไม่ว่าจะเป็นหน้าเก่าอย่างเช่น ไมเคิล ฟาสเบนเดอร์ เจนนิเฟอร์ ลอว์เรนซ์ หรือหน้าใหม่อย่าง ออสการ์ ไอแซค ผู้รับบทเป็นอะพอคคาลิปส์ และไท เชอริแดน ผู้รับบทเป็นไซคลอปส์ สามารถที่จะทำผลงานได้อย่างดีเยี่ยม จนทำให้อย่างน้อย ตัวละครของพวกเขาก็น่าสนใจและน่าติดตามขึ้นมาบ้าง
เมื่อพิจารณาองค์ประกอบต่างๆที่มีทั้งล้มเหลวและประสบผลสำเร็จแล้ว ผลสรุปการผสมผสานสิ่งต่างๆเข้าด้วยกันของ X-Men: Apocalypse ก็คือภาพยนตร์ที่ดูจะสอบผ่านเพียงในด้านของความบันเทิงชนิดเส้นยาแดงผ่าแปด ซึ่งเพียงเท่านี้อาจไม่เพียงพอสำหรับตลาดภาพยนตร์ซุปเปอร์ฮีโร่ที่กำลังแข่งขันกันอย่างเอาเป็นเอาตายและได้ก้าวล้ำหน้าแฟรนไชส์อันล้าหลังนี้ไปแล้วหลายก้าว
Final Score: [ 6.5 ]
ดำเนินกันมาถึงจุดไตรภาคเป็นที่เรียบร้อยสำหรับแฟรนไชส์ X-Men ฉบับใหม่ของ ไบรอัน ซิงเกอร์ ที่ถูกปลุกขึ้นมาในปี 2011 กับภาค First Class ซึ่งอาจจะยังคงเรียกได้ว่าเป็นภาคที่ยอดเยี่ยมที่สุดภาคหนึ่งไม่ใช่แค่เฉพาะของแฟรนไชส์ X-Men แต่รวมไปถึงภาพยนตร์ซุปเปอร์ฮีโร่ทั้งหมดในขณะนี้
น่าเสียดายที่ภาคที่สอง Days of Future Past ไม่สามารถที่จะคงความยอดเยี่ยมเอาไว้ได้ ผสมผสานกับตลาดภาพยนตร์ซุปเปอร์ฮีโร่ปัจจุบันที่ค่อนข้างมีตัวเลือกที่เยอะ ยังไม่นับถึงคะแนนเปิดตัวจากฝั่งนักวิจารณ์ของภาคนี้ที่ดูค่อนข้างน่าเป็นห่วง จนเป็นเหตุทำให้เราไม่รู้สึกตื่นเต้นกับการมาของภาคที่สาม Apocalypse ซักเท่าไรนัก
X-Men: Apocalypse ถ้าสังเกตุและวิเคราะห์ในหลายๆด้าน ก็อดที่จะแอบเปรียบเทียบกับ Avengers: Age of Ultron ของทางฝั่ง Marvel ไม่ได้ เนื่องจากมันมีความคล้ายคลึงกันพอสมควร เช่น ตัวร้ายที่ทรงพลังสามารถกำราบทีมฮีโร่ของเราได้อย่างราบคาบ ฮีโร่หรือตัวละครใหม่ที่เข้าไปสวามิภักต่อเหล่าร้าย วิธีการเรียนรู้ประวัติศาสตร์ของโลกปัจจุบัน ไปจนถึงการสอดแทรกประเด็นเทคโนโลยีไร้สายในยุคปัจจุบัน
แต่ถ้าหากเทียบกันกับ Age of Ultron แล้ว สิ่งที่ Apocalypse ดูจะเป็นต่อกว่าก็หนีไม่พ้นด้านตัวร้ายอย่าง อะพอคคาลิปส์ ซึ่งดูร้ายกาจและทรงพลังมากกว่าอัลตรอนที่เอาแต่พล่ามแล้วพล่ามอีก
ในด้านฉากแอ็คชั่นของ Apocalypse ถ้าหากท่านใดคาดหวังว่ามันจะมีตลอดทั้งเรื่องก็คงจะต้องปาดน้ำตากันไปตามระเบียบ แต่ฉาก Climax ท้ายเรื่องที่ค่อนข้างอลังการ ก็น่าจะเป็นตัวช่วยเกาให้หายคันกันได้อยู่บ้าง
จุดหนึ่งที่ต้องขอยกเครดิตให้อย่างเต็มใจในความเทพอย่างสุดขีดของเขา ก็คือเจ้าหนุ่มวัยรุ่น ควิกซิลเวอร์ ซึ่งยังคงโคตรเทพ โคตรฮาและเป็นตัวขโมยซีนระดับมาสเตอร์พีซอย่างแท้จริง ในมิติหนึ่งอาจเรียกได้ว่า เขาเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้ช่วงต้นเรื่องอันแสนอืดชืดของ Apocalypse มีสีสันขึ้นมาได้อย่างทันตาเห็น และยังคงเป็นจุดที่ Marvel ยังคงไม่สามารถลอกเลียนแบบได้ในขณะนี้
ถึงกระนั้นก็ตาม Apocalypse ก็ยังคงมีปัญหาที่คอยรุมเร้าตัวภาพยนตร์ให้ไม่สามารถที่จะไปไกลได้มากนักอยู่หลายจุด จุดใหญ่ๆที่ต้องพูดถึงก็คงจะหนีไม่พ้นด้านบทภาพยนตร์ และตัวผู้กำกับ ไบรอัน ซิงเกอร์
จุดที่เป็นปัญหาของ ไบรอัน ซิงเกอร์ หลักๆแล้วก็หนีไม่พ้นการเล่าเรื่อง การวางปมขัดแย้ง และการผูกปมแต่ละตัวละครนั้นค่อนข้างขาดชั้นเชิง ตรงไปตรงมาจนเกินไป ยิ่งพอผนวกกับบทภาพยนตร์ ที่ขาดความสดใหม่ และค่อนข้างเชยมากๆแล้ว ยิ่งทำให้รู้สึกเหมือนนั่งดูภาพยนตร์เมื่อ 5 ถึง 10 ปีที่แล้วอย่างมาก ที่แปลกยิ่งกว่าก็คือการสอดแทรก 'พลังแห่งผองเพื่อน' เข้ามาจนตกใจ นึกว่านั่งอ่านมังงะหรือดูอนิเมะอะไรซักอย่างอยู่
โชคยังดีที่ทีมนักแสดงทั้งหลายไม่ว่าจะเป็นหน้าเก่าอย่างเช่น ไมเคิล ฟาสเบนเดอร์ เจนนิเฟอร์ ลอว์เรนซ์ หรือหน้าใหม่อย่าง ออสการ์ ไอแซค ผู้รับบทเป็นอะพอคคาลิปส์ และไท เชอริแดน ผู้รับบทเป็นไซคลอปส์ สามารถที่จะทำผลงานได้อย่างดีเยี่ยม จนทำให้อย่างน้อย ตัวละครของพวกเขาก็น่าสนใจและน่าติดตามขึ้นมาบ้าง
เมื่อพิจารณาองค์ประกอบต่างๆที่มีทั้งล้มเหลวและประสบผลสำเร็จแล้ว ผลสรุปการผสมผสานสิ่งต่างๆเข้าด้วยกันของ X-Men: Apocalypse ก็คือภาพยนตร์ที่ดูจะสอบผ่านเพียงในด้านของความบันเทิงชนิดเส้นยาแดงผ่าแปด ซึ่งเพียงเท่านี้อาจไม่เพียงพอสำหรับตลาดภาพยนตร์ซุปเปอร์ฮีโร่ที่กำลังแข่งขันกันอย่างเอาเป็นเอาตายและได้ก้าวล้ำหน้าแฟรนไชส์อันล้าหลังนี้ไปแล้วหลายก้าว
Final Score: [ 6.5 ]
Related News
Popular News
แสดงความคิดเห็น
เป็นภาคที่ดีที่สุดแล้ว มุมกล้องสวยๆ เยอะมาก
ปล. ไซล็อค แฮ่กๆๆ
เป็นปกติของซีรี่นี้อยู่แล้วไช่ไหมcgห่วยเนี่ย
แบบไม่รู้สึกว่ามันสวยซักภาค
มันรุ้สึกเหมือนดูcgของยุค2000ต้นๆอะ
ส่วนตัวให้ 7.5/10
ส่วน End Credit ไม่ได้ดู ใครก็ได้ช่วยสปอยล์หน่อย
ส่วนตัวให้ 7.5/10
ส่วน End Credit ไม่ได้ดู ใครก็ได้ช่วยสปอยล์หน่อย
แต่องค์ประกอบทุกสิ่งทุกอันมันต้องมีเสน่ห์หน่อย
ซึ่งสำหรับ x-men ชุดนี้ พูดได้สั้นๆ ว่า คิดผิดอย่างแรง
คิวบู๊นี่ผมว่าแย่เข้าขั้นหนัก คือล้าหลังมากๆเมื่อเทียบกับฝั่ง MCU หรือ DC ที่เค้าหาแนวทางตัวเองได้แล้ว(ส่วนใครจะชอบไม่ชอบก็อีกเรื่อง) นี่ยังยิงพลังใส่กันทื่อๆ ตัวละครนึกจะเก่งจะกากก็อะไรไม่รู้โดยไม่มีเทคนิคไม่มีสุนทรียอะไรอยู่เลย ถ้าเป็น 10 ปีที่แล้วคงไม่รู้สึกแย่มาก แต่นี่มันสมัยไหนแล้ว
สุดท้ายได้ไมเคิล แฟสเบนเดอร์ ฉากควิกซิลเวอร์ ฉากสู้ในจิตใจของเซเวียร์ และฉากระเบิดพลังของจีน แค่สี่อย่างนี้เท่านั้นที่ทำให้พอเฉือนมาจนพอดูได้เพลินๆ นอกนั้นคือพังหมด
แต่รวมๆก็ถือว่าสนุกดีผมให้ 8.5/10 ผมให้พอๆกับ civil war เลยล่ะ
บอสก็สมราคาคุย ถ้าไม่รุม 5 ต่อ 1 ยังไงก็ไม่ชนะ ตัวต่อตัวตายแน่นอน
แต่ดันคิดไม่ถึงว่า mutant จะมีเยอะขนาดนี้ เลยดันไปเอา angel มาเป็น 4 horsemen