Menu
[--mobilemenu--]
บราวเซอร์ของท่านไม่สนับสนุนหรือปิดการใช้งาน javascript ซึ่งจะไม่สามารถใช้งานไซต์บางส่วนเช่นการเข้าลิ้งค์ หรือโพสข้อความได้ตามปกติ, กรุณาเปิดการใช้งาน javascript เพื่อที่จะใช้งานเว็บ gconhubม หากมีปัญหาในการใช้งาน หรือต้องการสอบถามเพิ่มเติม กรุณาติดต่อ [email protected] หรือ [email protected]
Mission Impossible: Rogue Nation (2015) บทวิจารณ์��าพยนตร์โดย FallsDownz
FallsDowns at 2015-07-31 18:10:39 , Reads (16869), Comments (10) , Source :


Mission Impossible : Rogue Nation ( 2015 ) บทวิจารณ์ภาพยนตร์โดย FallsDownz



"อร่อยไม่เคยเปลี่ยน"


ในโลกของภาพยนตร์ไม่ว่าจะในช่วงอดีตหรือปัจจุบันนั้น มีภาพยนตร์ซีรีส์หลากหลายชุดเกิดขึ้นมามากมาย เช่น Terminator ,Transformers , X-Men , Die Hard หรือ James Bond แต่ในเวลานี้ดูเหมือนว่าจะมีเพียงไม่กี่ซีรีส์เท่านั้นที่ยังคงรักษาระดับคุณภาพและเอกลักษณ์ของตนเองไว้ได้ ซึ่งปฏิเสธไม่ได้เลยว่าหนึ่งในนั้นก็คงจะหนีไม่พ้น ภาพยนตร์แอ็คชั่นสุดยอดสายลับที่มีอายุยาวนานถึงเกือบ 20 ปี อย่าง Mission Impossible


Mission Impossible: Rogue Nation ว่าด้วยเรื่องราวของกลุ่มสายลับมือฉกาจ ไอเอ็มเอฟ ที่กำลังถูกตามล่าตัวโดยกลุ่มลึกลับกลุ่มใหม่ที่ได้ชื่อว่า ซินดิเคท ทำให้สมาชิกกลุ่ม ไอเอ็มเอฟ จึงต้องหาทางเอาชีวิตรอดท่ามกลางสถานการณ์ที่ดูจะเป็นไปไม่ได้



ถึงแม้จะไม่น่าเชื่อ แต่ก็ต้องเชื่อ ว่า Rogue Nation ยังคงเป็นภาพยนตร์ภาคต่อของ Mission Impossible ที่ยังคงรักษาระดับคุณภาพของตนเองได้เป็นอย่างดี ท่ามกลางภาพยนตร์ซีรีส์ใหม่ที่ผุดขึ้นมาเป็นดอกเห็ด และภาพยนตร์ซีรีส์เก่าๆที่ต่างล้มหายตายจากและคุณภาพลดลงเข้าทุกวัน เช่น Terminator หรือกรณีหนักสุดอย่าง Die Hard


Rogue Nation ยังคงเป็นภาพยนตร์ที่เต็มไปด้วยฉากแอ็คชั่นไล่ล่าอันลุ้นระทึก ตื่นเต้น และมีการออกแบบฉากแอ็คชั่นและลำดับฉากต่างๆได้เป็นอย่างดี ซ้ำฉากเหล่านี้ยังถาโถมเข้ามาไม่หยุดหย่อน แทบไม่มีเวลาให้หยุดพัก จนทำให้แทบจะไม่มีช่วงใดที่รู้สึกเบื่อเลย จะว่าไปแล้ว ความคิดที่ว่า ภาพยนตร์เรื่องนี้คือภาพยนตร์ที่สนุก ตื่นเต้นและน่าติดตามมากที่สุดในปีนี้ ณ เวลานี้ ก็พุ่งเข้ามาในสมองระหว่างชมอยู่หลายต่อหลายครั้งเลยทีเดียว



ในด้านของตัวละครต่างๆ เหล่าสายลับไอเอ็มเอฟเจ้าเก่าก็ยังคงเป็นตัวละครที่เราคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี ยังคงสนุกสนาน น่าคอยเอาใจช่วยไม่เปลี่ยนแปลง ถึงแม้ว่าจะน่าเสียดายที่ตัวละครส่วนใหญ่ที่เราจะได้เห็นในภาคนี้ ดูจะเป็นตัว อีธาน ฮันท์ ซึ่งรับบทโดย ทอม ครูซ กับตัวละครใหม่อย่าง อิลซ่า ซะเกินครึ่งเรื่อง แต่จริงๆนั้นก็ไม่ใช่เรื่องแย่เสียทีเดียว เพราะตัวละคร อิลซ่า ซึ่งรับบทโดย รีเบ็คก้า เฟอร์กูสัน ก็โดดเด่นน่าสนใจ แอบแฝงเรื่องราวมุมมองของตัวละครที่น่าติดตามอยู่มากเลยทีเดียว ซ้ำการแสดงอันน่าทึ่ง และความเซ็กซี่ของเธอก็ยิ่งทำให้ตัวภาพยนตร์น่าดูชมเข้าไปอีก


น่าเสียดายที่ตัวละครร้ายหลักของเรื่องอย่าง โซโลมอน เลน ซึ่งรับบทโดย ฌอน แฮร์ริส ค่อนข้างจะจืดชืด แบนราบ และถูกบดบังรัศมีโดย อิลซ่า อยู่มาก ซึ่งจริงๆส่วนหนึ่งก็ต้องโทษเวลาบนจอหนังที่ให้กับตัวละครนี้น้อยมากๆจนแทบจะไม่มีโอกาสสร้างมิติหรือปูเรื่องราวให้กับตัวละครเท่าไรนัก ซึ่งถือว่าเป็นอะไรที่น่าเสียดาย



อีกสิ่งที่น่าผิดหวังอยู่บ้าง ก็คือบทภาพยนตร์อันสุดแสนจะธรรมดา ค่อนข้างจะจืดชืดและเดาทางง่ายอยู่มากของตัวภาพยนตร์ ถึงแม้ว่าจะพยายามพลิกไปมา ใส่จุดหักมุมซ้ำแล้วซ้ำเล่า ก็ไม่ค่อยจะได้ผลซักเท่าไรนัก จะมีก็เพียงฉากเปิดตัว ซินดิเคท และ โซโลมอน เลน ในช่วงต้นเรื่องด้วยวิธีที่คาดไม่ถึงแต่โคตรเท่ห์เท่านั้น ที่พอจะสร้างความน่าตื่นเต้นให้ได้บ้าง


นี่ยังไม่นับถึงตรรกะอันหลุดโลกของตัวภาพยนตร์ที่ดูจะออกนอกแกแล็คซี่เข้าไปทุกวินาที จนแทบจะปราศจากซึ่งเหตุผลหรือข้ออ้างใดๆ ได้แต่แถไปเรื่อยเปื่อย แต่นี้ดูจะเป็นสิ่งที่คงจะหลีกเลี่ยงไม่ได้ และเอาเข้าจริงก็คงจะพอให้อภัยได้ในบางโอกาส สำหรับภาพยนตร์ที่ใช้ชื่อว่า Mission "Impossible"



แต่สิ่งที่น่าประทับใจและน่านำไปครุ่นคิดมากที่สุดของ Rogue Nation อย่างแท้จริงเลย ไม่ใช่ฉากแอ็คชั่นไล่ล่าอันน่าตื่นเต้น หรือ เหล่าตัวละครที่น่าหลงใหล แต่เป็นการตั้งคำถามถึงศีลธรรมในการตัดสินใจของตัวละคร ที่ลุ่มหลงไปกับสิ่งที่อยู่ข้างหน้าและชัยชนะ โดยปราศจากซึ่งการคำนึงถึงความเดือดร้อน และภัยอันตรายที่จะส่งผลต่อผู้อื่น ของตัวละครเอกอย่าง อีธาน ฮันท์ ต่างหาก


หรือกระทั่งคำกล่าวของเหล่าตัวละครร้าย ที่หาว่าเหล่าตัวละครเอกของเราพึ่งแต่สิ่งที่เรียกว่า "โชค" ในการเอาชีวิตรอดสถานการณ์อันยากลำบากต่างๆ ก็เช่นกัน สุดท้ายแล้วทั้งสองสิ่งนี้ ก็เป็นอะไรที่ยากจะปฏิเสธ โดยเฉพาะความจริงที่ชะตากรรมของเหล่าตัวละครเอกที่หากวันใดอับโชค ก็อาจนำมาซึ่งความผิดพลาดอย่างใหญ่หลวงอันน่าหวาดกลัว แต่ไม่อาจจะหลีกเลี่ยงหรือหลีกหนีได้เลยเสียจริง


Final Score: [ 7.5 / 10 ]


(Click to expand)


แสดงความคิดเห็น
1 more comments >>
ขอบคุณสำหรับรีวิวครับ ไว้ว่างเดี๋ยวผมจะหาเวลาไปดู
Like : FallsDowns
" ฮันท์มันเป็นพวกนักพนัน" บทประมาณนี้ล่ะที่เซ็ง
ชอบฉากแอคชั่นโอเปร่า


วันนี้น่าจะได้ไปดูล่ะครับ ไม่รู้ว่าจะโค่นบัลลังค์หนังประจำปีของผมได้มั้ย
ตอนนี้ผมยกให้ Kingsman เป็นหนังประจำปีของผมอยู่ครับ
สนุกสุดๆ​ เหลือแต่เจมบอนด์​ที่ต้องมาแข่งกันในแนวเดียวกัน

ปล.Kingman1 สนุกกว่า Mi5 ภาคนี้นะ
ไคลแมกซ์เรื่องนี้สนุกจริงๆ พีคมาก บทมันหักเหลี่ยม เฉือนคมกันสนุกดี ชอบมาก

ปีนี้รวมหนังสายลับเลยนะเนี่ย แถมทำมาดีด้วย ตั้งแต่ Kingsman, MI5 ปลายปีมี Spectre อีก

แอ็คชั่นก็ทำมาดี แต่ยังไม่ท็อปเท่า Mad Max ซึ่งรายนี้ต้องยอมจริงๆ

ปล. ผมว่า Terminator มันหนักกว่า Die Hard นะ คนอึดมันเพิ่งมาเละเอาภาค 5 ส่วนคนเหล็กแป่วตั้งแต่ 3 แล้ว
Like : K.N.W., Rajeedz
ผมก็ว่าmad maxเจ๋งที่สุดน่ะ ถ้าไม่หลอกตัวเอง
Pry
ผมว่ามันยังเข้าอีหรอบว่า คิดฉากactionก่อน แล้วค่อยโยงเรื่องเข้าหา ซึ่งหลายฉากแถมากๆ แต่หยวนๆครับ ฉากactionยังดูสนุกเพลินๆได้เรื่อยๆ
ชอบฉากโอเปร่า


ดูมาแล้วสรุปยังสู้ Kingsman ไม่ได้ครับ แถมเมื่อคืนเอา MI:4 มาดูอีกรอบยิ่งตอกย้ำว่าสู้ภาค 4 ไม่ได้ด้วย
แต่ก็ถือว่าเป็นหนังสายลับที่สนุกอีกเรื่องหนึ่งของปีนี้