Run All Night ( 2015 ) บทวิจารณ์��าพยนตร์โดย FallsDownz
Run All Night ( 2015 ) บทวิจารณ์ภาพยนตร์โดย FallsDownz
"พ่อจ๋าช่วยหนูด้วย"
ไม่น่าเชื่อเลยว่า สองเดือนที่แล้วนี้เอง ที่เราเพิ่งจะได้เห็น เลียม นีสัน กลับมาเปิดโหมดพระเจ้าไล่กระทืบชาวบ้านในภาพยนตร์ภาคต่อ Taken 3 อยู่หมาดๆ รอยเลือดยังไม่ทันจาง เขาก็กลับมาแสดงในภาพยนตร์แอ็คชั่นอย่าง Run All Night ต่อเสียแล้ว เรียกได้ว่าเขาเป็นอีกหนึ่งนักแสดงชายสูงวัยที่ค่อนข้างได้รับความนิยมในตลาดฮอลลีวูดตอนนี้เลยทีเดียว
โดยในภาพยนตร์เรื่องนี้ ลุงเลียมก็ได้กลับมาร่วมงานกับผู้กำกับ โจเม่ โคเลต-เซอร่า อีกครั้งหนึ่ง หลังจากที่เคยร่วมงานกันมาแล้วถึงสามเรื่องตั้งแต่ Unknown ( 2011 ) , Non-Stop ( 2014 ) และล่าสุด Run All Night ในปีนี้ ซึ่งจริงๆแล้ว ตัวผู้กำกับโจเม่ โคเลต-เซอร่า ก็เป็นผู้กำกับภาพยนตร์แอ็คชั่นที่มีฝีมือคนหนึ่งเลยทีเดียว โดยเฉพาะการให้ความสำคัญในการสอดแทรกข้อคิดต่างๆเอาไว้ในฉากแอ็คชั่นอันสนุกตื่นเต้น เช่นการเสียดสีระบบป้องกันประเทศที่มีช่องโหว่ของสหรัฐอเมริกา ในภาพยนตร์ Non-Stop ( 2014 ) ซึ่งแนวทางการกำกับนี้ ดูเหมือนจะเป็นที่หายากขึ้นทุกทีในภาพยนตร์ประเภทนี้ที่สมัยนี้แทบจะหาเนื้อดีจริงๆได้ยาก
Run All Night ( 2015 , โจเม่ โคเลต-เซอร่า ) ว่าด้วยเรื่องราวของ จิมมี่ ( เลียม นีสัน ) นักฆ่ามือฉกาจที่ดันไปฆ่าลูกชายของผู้มีอิทธิพล ( เอ็ด แฮร์รีส ) เข้าให้ การแก้แค้นจึงบังเกิดขึ้น จิมมี่จึงต้องทำทุกวิถีทางในการเอาชีวิตรอดทั้งตัวเขาและลูกชายของเขา ภายในคืนที่แสนโหดนี้ไปให้ได้ !!
สารภาพเลยว่าตอนชมภาพยนตร์เรื่องนี้ ไม่รู้ว่าจะคาดหวังอะไรจากมันดี อาจจะเป็นเพราะว่าเนื่องจากผลงานล่าสุดของลุงเลียมใน Taken 3 เข้าขั้นเลวร้ายจนแทบจะไม่อยากนึก และรวมถึงตัวอย่างภาพยนตร์ที่ดูค่อนข้างจะธรรมดาอีกด้วย
แต่เมื่อได้ชมภาพยนตร์เรื่องนี้จบ ผู้เขียนก็เหมือนจะเริ่มกลับมามีความหวังในตัวภาพยนตร์ของลุงเลียม นีสันอีกครั้ง เพราะ Run All Night เป็นภาพยนตร์ที่น่าประทับใจไม่ใช่น้อยเลยทีเดียว
โดยเฉพาะในด้านการสร้างตัวละครต่างๆ ที่ผู้เขียนบท แบรด อิงเกิลสบี สร้างสรรค์ออกมาได้อย่างยอดเยี่ยมมากๆ เพราะตัวละครทั้งหลายในภาพยนตร์ มีมิติเสมือนมนุษย์จริงๆ ไม่ว่าจะเป็นทัศนะคติ บุคลิก ประสบการณ์ และเหตุผลในการมีตัวตน ตัวละครเหล่านี้เป็นฟันเฟืองสำคัญที่ทำให้ภาพยนตร์สามารถที่จะเดินไปข้างหน้าได้อย่างไม่ติดขัด
แต่ตัวละครที่ดูจะโดดเด่นเหนือคนอื่นๆ ก็คงจะหนีไม่พ้นตัวละครของสองนักแสดง เลียม นีสัน กับ เอ็ด แฮร์ริส ที่มีสถานะของความเป็นพ่อในภาพยนตร์เหมือนๆกัน แต่กลับต้องมาปะทะกัน และตัวภาพยนตร์ก็นำจุดเด่นนี้มาใช้ได้อย่างยอดเยี่ยม จนทำให้ความสัมพันธ์ของสองตัวละครนี้มันกลายเป็นอะไรที่ช่างน่าติดตามเหลือเกิน ซึ่งส่วนหนึ่งก็ต้องขอชมการแสดงของทั้งคู่ที่ค่อนข้างจะดีทีเดียว
กระทั่งการเล่าเรื่องของผู้กำกับ โจเม่ โคเลต-เซอร่า ก็ตื่นเต้นน่าติดตามอยู่ตลอดเวลา และการให้ความสำคัญต่อเรื่องราวในภาพยนตร์ของเขา ตั้งแต่การเล่าถึงจุดเหมือน จุดแตกต่าง และความสัมพันธ์ของตัวละคร ซึ่งสุดท้ายนำมาสู่ปมขัดแย้งใหญ่ของเรื่อง ก็ทำให้ตัวภาพยนตร์รู้สึกว่ามีอะไรให้คิดตลอดเวลา รวมถึงบทสรุปของเรื่อง ที่นำมาสู่ข้อคิดของภาพยนตร์ซึ่งมีน้ำหนักเหตุผลอันน่าเชื่อถือ ถ้าหากจะมีข้อติถึงการกำกับของเขาซักข้อ ก็คงจะเป็นเรื่องการใช้ข้อแม้ "เอาชีวิตรอดภายในคืนเดียว"ในภาพยนตร์ให้เป็นประโยชน์กว่านี้ เพราะในภาพยนตร์เรื่องนี้ ยังไม่รู้สึกถึงความจำเป็นที่เพียงพอในการนำเงื่อนไขหรือข้อแม้ชุดนี้ออกมาใช้เลย นอกจากมันดูน่าตื่นเต้นดี
สุดท้ายแล้ว Run All Night ก็ไม่ได้เป็นแค่เพียงภาพยนตร์แอ็คชั่นสนุก ตื่นเต้นธรรมดา แต่เป็นภาพยนตร์แอ็คชั่นเนื้อดีอีกด้วย ซึ่งก็ต้องขอชมผู้กำกับ และผู้เขียนบทภาพยนตร์ที่สามารถถ่ายทอดชุดความคิดนี้ออกมาได้อย่างยอดเยี่ยม
ซึ่งตัวละครต่างๆในภาพยนตร์ก็ทำหน้าที่เป็นฟันเฟืองตัวสำคัญ จนนำมาสู่ชุดความคิดที่พูดถึง ความรักของผู้เป็นพ่อที่มีต่อลูก ไม่ว่าลูกของพวกเขาจะชั่วช้าเลวทราม หรือโกรธเกลียดตนเองเท่าไร คนเป็นพ่อก็พร้อมที่จะให้อภัยและพร้อมที่จะช่วยเหลือลูกของตนเสมอ ถึงแม้ว่านั่นอาจจะต้องแลกมาด้วยชีวิตของพวกเขาก็ตาม..
Final Score : [ B + ]
"พ่อจ๋าช่วยหนูด้วย"
ไม่น่าเชื่อเลยว่า สองเดือนที่แล้วนี้เอง ที่เราเพิ่งจะได้เห็น เลียม นีสัน กลับมาเปิดโหมดพระเจ้าไล่กระทืบชาวบ้านในภาพยนตร์ภาคต่อ Taken 3 อยู่หมาดๆ รอยเลือดยังไม่ทันจาง เขาก็กลับมาแสดงในภาพยนตร์แอ็คชั่นอย่าง Run All Night ต่อเสียแล้ว เรียกได้ว่าเขาเป็นอีกหนึ่งนักแสดงชายสูงวัยที่ค่อนข้างได้รับความนิยมในตลาดฮอลลีวูดตอนนี้เลยทีเดียว
โดยในภาพยนตร์เรื่องนี้ ลุงเลียมก็ได้กลับมาร่วมงานกับผู้กำกับ โจเม่ โคเลต-เซอร่า อีกครั้งหนึ่ง หลังจากที่เคยร่วมงานกันมาแล้วถึงสามเรื่องตั้งแต่ Unknown ( 2011 ) , Non-Stop ( 2014 ) และล่าสุด Run All Night ในปีนี้ ซึ่งจริงๆแล้ว ตัวผู้กำกับโจเม่ โคเลต-เซอร่า ก็เป็นผู้กำกับภาพยนตร์แอ็คชั่นที่มีฝีมือคนหนึ่งเลยทีเดียว โดยเฉพาะการให้ความสำคัญในการสอดแทรกข้อคิดต่างๆเอาไว้ในฉากแอ็คชั่นอันสนุกตื่นเต้น เช่นการเสียดสีระบบป้องกันประเทศที่มีช่องโหว่ของสหรัฐอเมริกา ในภาพยนตร์ Non-Stop ( 2014 ) ซึ่งแนวทางการกำกับนี้ ดูเหมือนจะเป็นที่หายากขึ้นทุกทีในภาพยนตร์ประเภทนี้ที่สมัยนี้แทบจะหาเนื้อดีจริงๆได้ยาก
Run All Night ( 2015 , โจเม่ โคเลต-เซอร่า ) ว่าด้วยเรื่องราวของ จิมมี่ ( เลียม นีสัน ) นักฆ่ามือฉกาจที่ดันไปฆ่าลูกชายของผู้มีอิทธิพล ( เอ็ด แฮร์รีส ) เข้าให้ การแก้แค้นจึงบังเกิดขึ้น จิมมี่จึงต้องทำทุกวิถีทางในการเอาชีวิตรอดทั้งตัวเขาและลูกชายของเขา ภายในคืนที่แสนโหดนี้ไปให้ได้ !!
สารภาพเลยว่าตอนชมภาพยนตร์เรื่องนี้ ไม่รู้ว่าจะคาดหวังอะไรจากมันดี อาจจะเป็นเพราะว่าเนื่องจากผลงานล่าสุดของลุงเลียมใน Taken 3 เข้าขั้นเลวร้ายจนแทบจะไม่อยากนึก และรวมถึงตัวอย่างภาพยนตร์ที่ดูค่อนข้างจะธรรมดาอีกด้วย
แต่เมื่อได้ชมภาพยนตร์เรื่องนี้จบ ผู้เขียนก็เหมือนจะเริ่มกลับมามีความหวังในตัวภาพยนตร์ของลุงเลียม นีสันอีกครั้ง เพราะ Run All Night เป็นภาพยนตร์ที่น่าประทับใจไม่ใช่น้อยเลยทีเดียว
โดยเฉพาะในด้านการสร้างตัวละครต่างๆ ที่ผู้เขียนบท แบรด อิงเกิลสบี สร้างสรรค์ออกมาได้อย่างยอดเยี่ยมมากๆ เพราะตัวละครทั้งหลายในภาพยนตร์ มีมิติเสมือนมนุษย์จริงๆ ไม่ว่าจะเป็นทัศนะคติ บุคลิก ประสบการณ์ และเหตุผลในการมีตัวตน ตัวละครเหล่านี้เป็นฟันเฟืองสำคัญที่ทำให้ภาพยนตร์สามารถที่จะเดินไปข้างหน้าได้อย่างไม่ติดขัด
แต่ตัวละครที่ดูจะโดดเด่นเหนือคนอื่นๆ ก็คงจะหนีไม่พ้นตัวละครของสองนักแสดง เลียม นีสัน กับ เอ็ด แฮร์ริส ที่มีสถานะของความเป็นพ่อในภาพยนตร์เหมือนๆกัน แต่กลับต้องมาปะทะกัน และตัวภาพยนตร์ก็นำจุดเด่นนี้มาใช้ได้อย่างยอดเยี่ยม จนทำให้ความสัมพันธ์ของสองตัวละครนี้มันกลายเป็นอะไรที่ช่างน่าติดตามเหลือเกิน ซึ่งส่วนหนึ่งก็ต้องขอชมการแสดงของทั้งคู่ที่ค่อนข้างจะดีทีเดียว
กระทั่งการเล่าเรื่องของผู้กำกับ โจเม่ โคเลต-เซอร่า ก็ตื่นเต้นน่าติดตามอยู่ตลอดเวลา และการให้ความสำคัญต่อเรื่องราวในภาพยนตร์ของเขา ตั้งแต่การเล่าถึงจุดเหมือน จุดแตกต่าง และความสัมพันธ์ของตัวละคร ซึ่งสุดท้ายนำมาสู่ปมขัดแย้งใหญ่ของเรื่อง ก็ทำให้ตัวภาพยนตร์รู้สึกว่ามีอะไรให้คิดตลอดเวลา รวมถึงบทสรุปของเรื่อง ที่นำมาสู่ข้อคิดของภาพยนตร์ซึ่งมีน้ำหนักเหตุผลอันน่าเชื่อถือ ถ้าหากจะมีข้อติถึงการกำกับของเขาซักข้อ ก็คงจะเป็นเรื่องการใช้ข้อแม้ "เอาชีวิตรอดภายในคืนเดียว"ในภาพยนตร์ให้เป็นประโยชน์กว่านี้ เพราะในภาพยนตร์เรื่องนี้ ยังไม่รู้สึกถึงความจำเป็นที่เพียงพอในการนำเงื่อนไขหรือข้อแม้ชุดนี้ออกมาใช้เลย นอกจากมันดูน่าตื่นเต้นดี
สุดท้ายแล้ว Run All Night ก็ไม่ได้เป็นแค่เพียงภาพยนตร์แอ็คชั่นสนุก ตื่นเต้นธรรมดา แต่เป็นภาพยนตร์แอ็คชั่นเนื้อดีอีกด้วย ซึ่งก็ต้องขอชมผู้กำกับ และผู้เขียนบทภาพยนตร์ที่สามารถถ่ายทอดชุดความคิดนี้ออกมาได้อย่างยอดเยี่ยม
ซึ่งตัวละครต่างๆในภาพยนตร์ก็ทำหน้าที่เป็นฟันเฟืองตัวสำคัญ จนนำมาสู่ชุดความคิดที่พูดถึง ความรักของผู้เป็นพ่อที่มีต่อลูก ไม่ว่าลูกของพวกเขาจะชั่วช้าเลวทราม หรือโกรธเกลียดตนเองเท่าไร คนเป็นพ่อก็พร้อมที่จะให้อภัยและพร้อมที่จะช่วยเหลือลูกของตนเสมอ ถึงแม้ว่านั่นอาจจะต้องแลกมาด้วยชีวิตของพวกเขาก็ตาม..
Final Score : [ B + ]
Popular News
แสดงความคิดเห็น
11th Dimension
สนุกและซึ้งครับเรื่องนี้ แอบแฝงข้อคิดด้วย
ChocolaSama
ฉากสุดท้ายผมแทบร้องไห้ เรื่องนี้มันสมเป็น taken ยิ่งกว่า taken 3 ซะอีก สุดยอดคุณพ่อ ;__;
CannabiZs
สนุกดีครับ มีครบทุกอารมณ์เรื่องนี้ คุ้มค่าตั๋วเข้าชมแน่นอนครับ