Menu
[--mobilemenu--]
บราวเซอร์ของท่านไม่สนับสนุนหรือปิดการใช้งาน javascript ซึ่งจะไม่สามารถใช้งานไซต์บางส่วนเช่นการเข้าลิ้งค์ หรือโพสข้อความได้ตามปกติ, กรุณาเปิดการใช้งาน javascript เพื่อที่จะใช้งานเว็บ gconhubม หากมีปัญหาในการใช้งาน หรือต้องการสอบถามเพิ่มเติม กรุณาติดต่อ [email protected] หรือ [email protected]
Predestination ( 2014 ) บทวิจารณ์��าพยนตร์โดย FallsDownz
FallsDowns at 2015-03-06 22:34:55 , Reads (14306), Comments (7) , Source :

Predestination ( 2014 ) บทวิจารณ์ภาพยนตร์โดย FallsDownz

"นักมายากลที่ถูกกลของตัวเองเล่นงาน"



นี้ไม่ใช่ภาพยนตร์เรื่องแรก ที่นำแนวความคิดเรื่องของการย้อนเวลามาใช้ในภาพยนตร์ เอาเข้าจริงเร็วๆนี้ก็มีภาพยนตร์อย่าง Looper ที่นำเรื่องการย้อนเวลากลับไปแก้ไขอดีตเช่นเดียวกัน แถม Looper ก็ทำได้ค่อนข้างจะน่าประทับใจเสียด้วย งานนี้จึงเรียกได้ว่าไม่ใช่เรื่องง่ายนักเลย สำหรับภาพยนตร์เรื่องนี้ ที่จะสร้างความประทับใจแบบเดียวกับภาพยนตร์เรื่องก่อนได้ โดยเฉพาะถ้าหากสิ่งต่างๆยังคงเดิม ไม่มีอะไรแปลกใหม่ก็คงจะไม่ดีแน่


Predestination ( ไมเคิล สไพริก , ปีเตอร์ สไพริก ) ว่าด้วยเรื่องราวของเจ้าหน้าองค์กรคนหนึ่งที่สามารถข้ามเวลาและย้อนเวลากลับไปในอดีตได้ และในภารกิจสุดท้ายนี้ของเขา เขาจะต้องทำทุกวิถีทางที่จะหยุดวายร้ายที่กำลังสร้างความปั่นป่วนไปทั่ว ก่อนที่ทุกอย่างจะพังทลายไปเสียก่อน



ต้องพูดเลยว่า Predestination เป็นภาพยนตร์ที่มีปัญหาหลายข้ออยู่เหมือนกัน ซึ่งก็คือเมื่อตัวภาพยนตร์ได้เฉลยปมทุกอย่างแล้ว ทุกๆความน่าสนใจ และความน่าค้นหาต่อไปของตัวภาพยนตร์ ก็จบลงไปด้วยเลยในทันทีทันใด ทั้งๆที่เอาเข้าจริง ภาพยนตร์เรื่องนี้ก็จบลงในรูปแบบค่อนข้างจะปลายเปิดทีเดียว แต่ปัญหาก็คือ ตัวเนื้อหาของภาพยนตร์นั่น ไม่น่าสนใจมากเพียงพอ และเคยถูกพูดมาแล้วในภาพยนตร์แนวเดียวกันเรื่องอื่นๆ เช่นประเด็นของเส้นกั้นอันเบาบางระหว่างฆาตกรกับวีรบุรุษ


โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเรามานั่งสำรวจดูเนื้อหนังของตัวภาพยนตร์ที่เอาเข้าจริงก็ไม่ได้มีอะไรมากมายเท่าไรอยู่แล้วหลายๆสิ่งก็ยิ่งดูจืดชืดลงไปพอสมควร ซึ่งตัวภาพยนตร์ก็อาศัยการเล่นซ่อนแอบ สลับชิ้นส่วนไปมา เพื่อที่จะทำให้เราไม่สามารถเดาทิศทาง บทสรุป หรือจับไต๋ได้ในการพยายามทำให้ตัวภาพยนตร์น่าสนใจยิ่งขึ้น เฉกเช่นการแสดงภาพการกระทำของตัวละครต่างๆ แต่ถ่ายแบบไม่ให้เห็นหน้าของตัวละคร แล้วมาเฉลยในภายหลังเป็นต้น ซึ่งจริงๆวิธีการนี้ก็ไม่ได้ผิดแปลกอะไร



ถึงกระนั้นก็ตาม เมื่อจำนวนการใช้เทคนิคซ่อนแอบ สลับไปมา และความพยายามในการสร้างความแปลกใจให้กับผู้ชมมันก็เริ่มที่จะมากเกินไปจนล้นออกมา ทำให้ตัวภาพยนตร์ก็เริ่มที่จะส่อถึงปัญหาอยู่เหมือนกัน เพราะมันทำให้การเล่าเรื่องของทั้งสองผู้กำกับสไพริก กลายเป็นเสมือนการใส่ลูกเล่นเกินควรเสียมากกว่าการถ่ายทอดด้วยกลวิธีภาพยนตร์ด้วยจำนวนที่จำเป็นต่อการเล่าเรื่องจริงๆ ซ้ำจุดหักมุมทั้งหลายก็ไม่ได้น่าตกใจหรือเหนือความคาดหมายอะไรมากมายที่จะพอให้อภัยในส่วนนี้ได้ และเอาเข้าจริงนั่นก็ถือว่าเป็นเรื่องที่น่าเสียดาย


เพราะการเล่าเรื่องของสองพี่น้องสไพริกจริงๆก็ค่อนข้างจะดีเลยทีเดียว พวกเขาสามารถเชื่อมต่อการเล่าเรื่องแบบเรื่องซ้อนเรื่องได้อย่างน่าสนใจ น่าติดตามและไม่รู้สึกติดขัดเลยแม้แต่น้อย แต่คงจะดีกว่านี้ถ้าหากการเล่าเรื่องของพวกเขาหลายๆส่วน ไม่ถูกจำกัดลงอย่างมากเนื่องจากความจริงที่พวกเขาต้องมานั่งห่วงว่าจะเปิดเผยเนื้อหาสำคัญของภาพยนตร์รวดเร็วจนเกินไป เสมือนนักมายากลที่มัวแต่หมกหมุ่นอยู่กับกลของตัวเอง จนไม่ทันหันมาดูว่าผู้ชมได้เดินออกไปจากโรงละครหมดแล้ว


ซึ่งเหตุผลของการสับขาหลอกก็คงจะหนีไม่พ้นความจริงที่ว่าตัวเนื้อหนังของภาพยนตร์จริงไม่ค่อยจะมีอะไรมากมายซักเท่าไรนัก นอกเหนือจากตัวละครที่เป็นตัวดำเนินเรื่องทั้งหลาย ถึงแม้ว่าหลายๆประเด็นจะสอดแทรกมาได้น่าสนใจ แต่นั้นก็ไม่ได้เพียงพอต่อการเป็นข้ออ้างในการเล่าเรื่องวนซ้ำไปมาขนาดนี้ เพราะสุดท้ายแล้ว การทำเช่นนี้ก็ไม่ได้สามารถนำผู้ชมไปสู่ทัศนะใหม่ที่ไม่สามารถจะเข้าถึงได้นอกจากการใช้เทคนิคนี้เท่านั้นเลย





อีกส่วนหนึ่งในภาพยนตร์ที่ไม่พูดถึงไม่ได้เลย ก็คือนักแสดงนำของภาพยนตร์ ในด้านของอีธาน ฮอว์ค เขาก็ยังคงนำแสดงผลงานได้ดีเช่นเคย แต่นักแสดงคนที่น่าติดตามมากจริงๆเลย ก็คือนักแสดงหญิงชาวออสเตรเลีย ซาร่าห์ สนุค ผู้รับอีกหนึ่งบทนำในภาพยนตร์ ที่แสดงผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมมากๆทีเดียว ซึ่งการแสดงของเธอก็ทรงพลังและน่าเชื่อถือมากจนพาเรารู้สึกร่วมถึงเหตุการณ์ไปกับเธอเลยทีเดียว


นอกจากนั้นแล้ว ตัวละครของเธอ ก็ยังสะท้อนถึงเรื่องราวประเด็นต่างๆที่น่าสนใจมากทีเดียว ตั้งแต่ประเด็นเพศสตรีที่ถูกครอบงำและควบคุมทางอ้อมโดยสังคมชายเป็นใหญ่ หรือ ประเด็นสภาวะความแปลกแยกของเธอ ซึ่งเสียดสีสภาพสังคมในยุค 1940 ได้เป็นอย่างดี ถึงแม้ว่าบทสรุปของประเด็นอาจจะย้อนแย้งหันกลับมาจิกกัดตัวเองในตอนท้ายไปบ้าง แต่ก็ถือว่าน่าสนใจทีเดียว



สรุปแล้ว Predestination ก็ไม่ใช่ภาพยนตร์ที่ยอดเยี่ยมเสียทีเดียว เนื่องจากตัวมันอาศัยอยู่บนความพยายามในการสร้างความแปลกใจให้แก่ผู้ชมและการใช้เทคนิคหลบซ่อน สับขาหลอกไปมามากจนเกินไป รวมถึงตัวบทภาพยนตร์ที่สามารถไปได้ลึกกว่านี้ แต่ในอีกด้านหนึ่ง นี้ก็ไม่ใช่ภาพยนตร์ที่ใกล้เคียงคำว่าแย่แต่อย่างใด เพราะยังคงมีนักแสดงที่น่าทึ่ง การเล่าเรื่องซ้อนเรื่องที่น่าติดตาม และการสะท้อนสภาวะสภาพสังคมยุค 1940 - 1960 ได้อย่างน่าสนใจ จึงทำให้ภาพยนตร์เรื่องนี้ตกไปอยู่ในจุดของความไม่ยิ่งใหญ่ แต่กำลังพอดี


Final Score : [ B ]


ถ้าหากท่านชอบบทวิจารณ์ก็อย่าลืมเข้าไปกดไลค์แฟนเพจและอย่าลืมบอกเพื่อนๆต่อไปด้วยนะคร้าบ

[Link] [Link]



(Click to expand)


แสดงความคิดเห็น
สนุกนะเรื่องนี้ ดาร์คแล้วก็ลึกลับดี ผมชอบการเล่าเรื่องกับการแสดง เปิดมาก็พีคเลย ปูเรื่องด้วย back story จนอินกับตัวละคร
ส่วนตัวผมว่าพล็อทหนังมันแปลกใหม่ดีนะ ไม่พยายามเล่นกับ time travel มากเกินไป วาปไปมาจนน่ารำคาญ แต่โฟกัสหลักๆไปที่ตัวละครมากกว่า นักแสดงนำหญิงเล่นได้ดีมากๆ ต้องชมเลย Ethan ก็ดีอยู่แล้ว ดูจบก็มีอะไรให้คิดต่อ
หนังเขาไม่ได้พยายามสร้างความแปลกใจหรอกครับ เขาวางคอนเซป วางโครงสร้างมาเรียบร้อยดี
ไม่ได้แค่เอาไทม์ทราเวลเป็นเซตติ้ง ให้มาบู้สร้างความตื่นเต้นกัน อันนั้นมันแนวทางหนังแอคชั่นแบบลูปเปอร์

อันนี้มันหนังปริศนา ถึงปริศนาจะง่ายไปหน่อย แต่ time paradox คิดมาสะใจมาก
(คุยในบาร์จบ ผมว่าส่วนใหญ่น่าจะเดาทางถูกแล้วนะ ว่าหนังจะเล่นอะไร)


หนังเรื่องนี้มันเป็นหนังเกรด เอ ในการเล่าเรื่อง ให้ 10 เต็ม ความแปลกใหม่ในการเล่าเรื่องแบบ ไม่อยากสปอยมากครับ ความสนุกเรื่องนี้ไม่ได้อยู่ที่แกนเรื่องหรือ ไดอาร้อคเท่ๆตอนจบ แต่มันอยู่ที่การเล่าเรื่อง ที่ฉีกกฎ time travel ไปอีกแบบ จริงๆไม่อยากสปอย ว่าเป็นหนังข้ามเวลาได้แต่ดันมีคนสปอยไปแล้วสิ ปกติหนังข้ามเวลา วัตถุเอกะเอมาเจอกัน ต้องมีบางอันหายไป อันนี้เป็นอีกแบบ เป็นไงไปดูเอง
เกรดเอครับสนุกไม่ใช่หนัง action วางพล็อตลงตัวแล้วครับ
โดยส่วนตัวผมชอบนะ การนำเสนอเนื้อเรื่องดี ได้ใช้ความคิดตาม :)
ผมชอบนะครับ ผมให้ A
ถ้าจะไปเทียบกับ Looper คงไม่ใช่เพราะ แก่นเรื่องมันคนละทางเลย ยิ่งฉากแอคชั่นไม่ต้องพูดถึงเรื่องนี้น้อยกว่ามาก

predestination มันสนุกที่การเล่าเรื่องครับ แม้คนดูจะเดาได้ว่าตอนจบจะเป็นยังไง แต่การสับขาหลอกในเนื้อเรื่องหรือดึงความสนใจให้คนดูคิดไปทางอื่นมันเจ๋งมาก คือไมไ่ด้ไปเน้นที่เครื่องไทม์แมชชีน หรือเรื่องเวลามากนัก แต่เน้นที่ความสัมพันธ์ของตัวละคร และความเป็นรู้สึก สามัญสำนึกของมนุษย์ ว่าทุกๆคนล้วนมีด้านมืดและสว่างด้วยกันทั้งนั้น

ซึ่งเส้นทางเหตุการณ์ที่เปลี่ยนไปก็มาจากการตัดสินใจของตัวละครนี่แหละเป็นสำคัญ เหมือนคำโปรยของหนัง
"ถ้าผมสามารถพาเขามาอยู่ต่อหน้า... คนที่ทำลายชีวิตคุณ"
"คุณจะฆ่าเขาไหม?"
นี่คือจุดที่หนังตีโจทย์แตกและเน้นย้ำให้เข้าใจว่าคุณต้องตัดสินใจเพื่อเปลี่ยนแปลงบางสิ่งบางอย่าง
เปิดดู บนรถทัวร์ นั่งดูจนจบไม่ได้นอนเลย (-_-) ผมว่าหนังสนุกดีนะ ดูแล้วลุ้นว่ามันจะจบยังไง