The Imitation Game ( 2014 ) บทวิจารณ์��าพยนตร์โดย FallsDownz
The Imitation Game ( 2014 ) บทวิจารณ์ภาพยนตร์โดย FallsDownz
"The Imitation Game คือภาพยนตร์ชีวประวัติที่น่าติดตาม ลึกซึ้งและน่าจดจำมากที่สุดเรื่องหนึ่งแห่งปี 2014 "
ใกล้เข้ามาเรื่อยๆแล้วนะครับสำหรับวันประกาศผลรางวัลเวทีชื่อดังอย่างออสการ์ซึ่งจะประกาศผลในช่วงปลายเดือนกุมภาพันธ์นี้เอง ส่วนเดือนมกราคมที่ผ่านมานี้ก็มีการประกาศผลรางวัลมากมายทีเดียว ซึ่งแน่นอนว่าการแข่งขันปีนี้ยังคงดุเดือดทีเดียว ตั้งแต่ Boyhood , Birdman , Whiplash , American Sniper , Foxcatcher หรือ Selma แต่นอกเหนือจากนั้นแล้วยังมีภาพยนตร์สัญชาติอังกฤษอย่าง Theory of Everything และ The Imitation Game เข้ามาร่วมแข่งขันอีกด้วยซึ่งเรียกได้ว่าทำให้สนามแข่งขันครั้งนี้ดุเดือดและเดาได้ยากจริงๆ
The Imitation Game ว่าด้วยเรื่องราวของ อลัน ทัวริ่ง นักคณิตศาสตร์อัจฉริยะซึ่งพยายามหาทุกวิถีทางในการไขรหัสลับของนาซีในช่วงสงครามโลกครั้งที่สองซึ่งนี้อาจจะเป็นกุญแจชิ้นสำคัญที่สุดในการเอาชนะสงครามครั้งนี้ก็เป็นได้
ถือได้ว่าเป็นเรื่องที่ท้าทายมากทีเดียวสำหรับผู้กำกับชาวนอร์เวย์ มอร์เทน ไทล์ดัม ที่เคยมีผลงานหลักๆเป็นภาพยนตร์นอร์เวย์ แต่ต้องกระโดดข้ามมากำกับภาพยนตร์สัญชาติอังกฤษทันทีเลย แถมยังได้รับงานที่หนักหน่วงและท้าทายอย่างมากอีกด้วย จากบทภาพยนตร์ของ Imitation Game ซึ่งค่อนข้างจะซับซ้อน เพราะต้องถ่ายทอดทั้งในด้านของประวัติศาสตร์ สภาพสังคม และในด้านของจิตใจตัวละครที่ค่อนข้างจะลึกซึ้ง แถมยังต้องเจอพลังนักแสดงนำแถวหน้าตั้งแต่ เบเนดิกต์ คัมเบอร์แบตช์ , คีร์รา ไนท์ลีย์ , มาร์ก สตรอง และชาร์ลส์ แดนซ์ อีกด้วย จึงถือได้ว่าเป็นการทดสอบฝีมือครั้งใหญ่ของผู้กำกับท่านนี้ทีเดียว
ซึ่งถ้าหากนี้เป็นการทดสอบจริงๆแล้วล่ะก็ ผู้กำกับ มอร์เทน ไทล์ดัม ก็คงจะผ่านฉลุยอย่างไม่ต้องสงสัย ถึงแม้ว่าการตัดสลับเล่าเรื่องอาจจะยังไม่ลื่นไหลเต็มร้อยนัก แต่เขาก็ทำได้อย่างยอดเยี่ยมทีเดียว ไม่ว่าจะเป็นการเล่าเรื่องในด้านของประวัติศาสตร์สงครามโลกครั้งที่สองซึ่งส่งผลต่อประเทศอังกฤษและทั้งยุโรปหรือสร้างภาพลักษณ์ของสังคมในยุคนั้นเขาก็ถ่ายทอดออกมาได้อย่างน่าสนใจ น่าติดตาม
แต่สิ่งที่น่าสนใจมากที่สุดในภาพยนตร์เรื่องนี้ก็แน่นอนว่าหนีไม่พ้นตัวละครอย่าง อลัน ทัวริ่งเอง ด้วยการถ่ายทอดเรื่องราวในด้านของบุคลิก นิสัยอันแปลกแยกและถูกสังคมรังเกียจของเขา แต่ที่สำคัญเลย ก็คือการถ่ายทอดประเด็นรักร่วมเพศของเขา ซึ่งเป็นเหตุส่งผลทำให้การใช้ชีวิตและการทำงานของเขาเต็มไปด้วยความยากลำบาก ยิ่งผนวกเข้ากับการแสดงที่น่าจดจำและยอดเยี่ยมที่สุดในตอนนี้ของ เบเนดิกต์ คัมเบอร์แบทช์ ก็ยิ่งทำให้ผู้เขียนอดไม่ได้ที่จะคอยเอาใจช่วยตัวละครเอกนี้ให้ผ่านพ้นภัยอันตรายและวิกฤตทั้งหลายที่เขาประสบเจอไปได้
เป็นที่น่าตกใจไม่ใช่น้อยสำหรับตัวผู้เขียน ที่ประเด็นรักร่วมเพศนี้เอง กลายเป็นประเด็นหลักที่ตัวภาพยนตร์พยายามสื่อถึงและให้ความสำคัญมากที่สุด แทนที่จะเป็นเรื่องราวประวัติศาสตร์อย่างที่ผู้เขียนคาดเอาไว้ตอนแรก เพราะถึงแม้ว่าในด้านหนึ่ง The Imitation Game จะเป็นภาพยนตร์ที่ค่อนข้างจะเชิดชูประเทศอังกฤษ แต่ในอีกด้านหนึ่งตัวภาพยนตร์ก็เสียดสีกฏหมายรักร่วมเพศในช่วงยุคนั้นของประเทศอังกฤษ ตั้งคำถามและเสียดสีสังคมเกี่ยวกับประเด็นคนรักร่วมเพศและทัศนะคติรักร่วมเพศว่าเป็นสิ่งที่ผิดมากจนสังคมจะต้องเมินหน้าหนีรวมถึงลงโทษอย่างหนักหน่วงหรือไม่ ซึ่งข้อความนี้ก็ถูกถ่ายทอดออกมาได้อย่างทรงพลังและน่าจดจำมากทีเดียว เนื่องจากการเล่าเรื่องที่น่าติดตามของผู้กำกับ มอร์เทน ไทล์ดัม และการนำแสดงอันยอดเยี่ยมของ เบเนดิกต์ คัมเบอร์แบตช์
ถึงแม้ว่าในการประกาศผลรางวัลลูกโลกทองคำที่ผ่านมา The Imitation Game อาจจะพลาดไปเสียทุกสาขาก็ตาม แต่นั้นก็ไม่ได้ทำให้ภาพยนตร์ที่ยอดเยี่ยมเรื่องนี้น่าจดจำน้อยลงไปเลยแม้แต่น้อย ด้วยบทภาพยนตร์ที่ยอดเยี่ยม การเล่าเรื่องที่น่าติดตาม ประเด็นที่น่าคิด ตัวละครที่น่าสนใจและการแสดงของ เบเนดิกต์ คัมเบอร์แบตช์อันน่าจดจำ เป็นผลทำให้ภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นภาพยนตร์ที่ไม่ควรพลาดด้วยประการทั้งปวง
Final Score : [ A ]
ถ้าหากท่านชอบบทวิจารณ์ก็อย่าลืมเข้าไปกดไลค์แฟนเพจและอย่าลืมบอกเพื่อนๆต่อไปด้วยนะคร้าบ :)
[Link]
[Link]
"The Imitation Game คือภาพยนตร์ชีวประวัติที่น่าติดตาม ลึกซึ้งและน่าจดจำมากที่สุดเรื่องหนึ่งแห่งปี 2014 "
ใกล้เข้ามาเรื่อยๆแล้วนะครับสำหรับวันประกาศผลรางวัลเวทีชื่อดังอย่างออสการ์ซึ่งจะประกาศผลในช่วงปลายเดือนกุมภาพันธ์นี้เอง ส่วนเดือนมกราคมที่ผ่านมานี้ก็มีการประกาศผลรางวัลมากมายทีเดียว ซึ่งแน่นอนว่าการแข่งขันปีนี้ยังคงดุเดือดทีเดียว ตั้งแต่ Boyhood , Birdman , Whiplash , American Sniper , Foxcatcher หรือ Selma แต่นอกเหนือจากนั้นแล้วยังมีภาพยนตร์สัญชาติอังกฤษอย่าง Theory of Everything และ The Imitation Game เข้ามาร่วมแข่งขันอีกด้วยซึ่งเรียกได้ว่าทำให้สนามแข่งขันครั้งนี้ดุเดือดและเดาได้ยากจริงๆ
The Imitation Game ว่าด้วยเรื่องราวของ อลัน ทัวริ่ง นักคณิตศาสตร์อัจฉริยะซึ่งพยายามหาทุกวิถีทางในการไขรหัสลับของนาซีในช่วงสงครามโลกครั้งที่สองซึ่งนี้อาจจะเป็นกุญแจชิ้นสำคัญที่สุดในการเอาชนะสงครามครั้งนี้ก็เป็นได้
ถือได้ว่าเป็นเรื่องที่ท้าทายมากทีเดียวสำหรับผู้กำกับชาวนอร์เวย์ มอร์เทน ไทล์ดัม ที่เคยมีผลงานหลักๆเป็นภาพยนตร์นอร์เวย์ แต่ต้องกระโดดข้ามมากำกับภาพยนตร์สัญชาติอังกฤษทันทีเลย แถมยังได้รับงานที่หนักหน่วงและท้าทายอย่างมากอีกด้วย จากบทภาพยนตร์ของ Imitation Game ซึ่งค่อนข้างจะซับซ้อน เพราะต้องถ่ายทอดทั้งในด้านของประวัติศาสตร์ สภาพสังคม และในด้านของจิตใจตัวละครที่ค่อนข้างจะลึกซึ้ง แถมยังต้องเจอพลังนักแสดงนำแถวหน้าตั้งแต่ เบเนดิกต์ คัมเบอร์แบตช์ , คีร์รา ไนท์ลีย์ , มาร์ก สตรอง และชาร์ลส์ แดนซ์ อีกด้วย จึงถือได้ว่าเป็นการทดสอบฝีมือครั้งใหญ่ของผู้กำกับท่านนี้ทีเดียว
ซึ่งถ้าหากนี้เป็นการทดสอบจริงๆแล้วล่ะก็ ผู้กำกับ มอร์เทน ไทล์ดัม ก็คงจะผ่านฉลุยอย่างไม่ต้องสงสัย ถึงแม้ว่าการตัดสลับเล่าเรื่องอาจจะยังไม่ลื่นไหลเต็มร้อยนัก แต่เขาก็ทำได้อย่างยอดเยี่ยมทีเดียว ไม่ว่าจะเป็นการเล่าเรื่องในด้านของประวัติศาสตร์สงครามโลกครั้งที่สองซึ่งส่งผลต่อประเทศอังกฤษและทั้งยุโรปหรือสร้างภาพลักษณ์ของสังคมในยุคนั้นเขาก็ถ่ายทอดออกมาได้อย่างน่าสนใจ น่าติดตาม
แต่สิ่งที่น่าสนใจมากที่สุดในภาพยนตร์เรื่องนี้ก็แน่นอนว่าหนีไม่พ้นตัวละครอย่าง อลัน ทัวริ่งเอง ด้วยการถ่ายทอดเรื่องราวในด้านของบุคลิก นิสัยอันแปลกแยกและถูกสังคมรังเกียจของเขา แต่ที่สำคัญเลย ก็คือการถ่ายทอดประเด็นรักร่วมเพศของเขา ซึ่งเป็นเหตุส่งผลทำให้การใช้ชีวิตและการทำงานของเขาเต็มไปด้วยความยากลำบาก ยิ่งผนวกเข้ากับการแสดงที่น่าจดจำและยอดเยี่ยมที่สุดในตอนนี้ของ เบเนดิกต์ คัมเบอร์แบทช์ ก็ยิ่งทำให้ผู้เขียนอดไม่ได้ที่จะคอยเอาใจช่วยตัวละครเอกนี้ให้ผ่านพ้นภัยอันตรายและวิกฤตทั้งหลายที่เขาประสบเจอไปได้
เป็นที่น่าตกใจไม่ใช่น้อยสำหรับตัวผู้เขียน ที่ประเด็นรักร่วมเพศนี้เอง กลายเป็นประเด็นหลักที่ตัวภาพยนตร์พยายามสื่อถึงและให้ความสำคัญมากที่สุด แทนที่จะเป็นเรื่องราวประวัติศาสตร์อย่างที่ผู้เขียนคาดเอาไว้ตอนแรก เพราะถึงแม้ว่าในด้านหนึ่ง The Imitation Game จะเป็นภาพยนตร์ที่ค่อนข้างจะเชิดชูประเทศอังกฤษ แต่ในอีกด้านหนึ่งตัวภาพยนตร์ก็เสียดสีกฏหมายรักร่วมเพศในช่วงยุคนั้นของประเทศอังกฤษ ตั้งคำถามและเสียดสีสังคมเกี่ยวกับประเด็นคนรักร่วมเพศและทัศนะคติรักร่วมเพศว่าเป็นสิ่งที่ผิดมากจนสังคมจะต้องเมินหน้าหนีรวมถึงลงโทษอย่างหนักหน่วงหรือไม่ ซึ่งข้อความนี้ก็ถูกถ่ายทอดออกมาได้อย่างทรงพลังและน่าจดจำมากทีเดียว เนื่องจากการเล่าเรื่องที่น่าติดตามของผู้กำกับ มอร์เทน ไทล์ดัม และการนำแสดงอันยอดเยี่ยมของ เบเนดิกต์ คัมเบอร์แบตช์
ถึงแม้ว่าในการประกาศผลรางวัลลูกโลกทองคำที่ผ่านมา The Imitation Game อาจจะพลาดไปเสียทุกสาขาก็ตาม แต่นั้นก็ไม่ได้ทำให้ภาพยนตร์ที่ยอดเยี่ยมเรื่องนี้น่าจดจำน้อยลงไปเลยแม้แต่น้อย ด้วยบทภาพยนตร์ที่ยอดเยี่ยม การเล่าเรื่องที่น่าติดตาม ประเด็นที่น่าคิด ตัวละครที่น่าสนใจและการแสดงของ เบเนดิกต์ คัมเบอร์แบตช์อันน่าจดจำ เป็นผลทำให้ภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นภาพยนตร์ที่ไม่ควรพลาดด้วยประการทั้งปวง
Final Score : [ A ]
ถ้าหากท่านชอบบทวิจารณ์ก็อย่าลืมเข้าไปกดไลค์แฟนเพจและอย่าลืมบอกเพื่อนๆต่อไปด้วยนะคร้าบ :)
[Link]
[Link]
Popular News
แสดงความคิดเห็น
นักวิจารณ์หลายๆท่านในต่างประเทศก็ติเรื่องนี้เหมือนกันครับสำหรับภาพยนตร์เรื่องนี้ เรื่องค่อนข้างจะเดาง่าย เป็นเส้นตรง และสูตรสำเร็จ
แต่สิ่งที่น่าชื่นชมคือ จังหวะการเล่าเรื่องที่ตัดสลับไปมาระหว่าง ช่วงทัวริ่งเป็นเด็ก-ตอนทำงานที่สถานีวิทยุ-และช่วงสอบปากคำ ความไหลลื่นของบท และการทำให้คนดูเข้าถึงอารมณ์ของหนังมันทำได้ยอดเยี่ยมมากกว่า คือดูหนังเรื่องนี้ไป 2 ชั่วโมง มันไม่ได้รู้สึกยืดเยื้อเลย
ผม่วาต้องชม นักแสดงนำ เบเนดิกซ์ ด้วยแหละ แกแสดงดีมาก ทำให้หนังโดยรวมดูไม่น่าเบื่อ และเป็นกระบอกเสียงอย่างดีให้กับ อลัน ทัวริ่ง ที่สมควรได้รับการยกย่องให้เป็นวีรบุรุษ หารู้ไม่ว่าบั้นปลายชีวิตเขามีชีวิตที่น่าสงสารขนาดไหน
คงเป็นเพราะมันมีโครงจากเรื่องจริงมากกว่าเลยรู้ว่าเรื่องจะเป็นยังไง
จุดที่ผมชอบมากที่สุดคือบทหนังที่เขียนได้ฉลาดน่าสนใจน่าติดตามมากๆ
บทพูดดีแบบมีอะไรให้คิดต่อได้เยอะมากในหลายๆประเด็นเลยครับ ทั้งเรื่องความแตกต่างของคนในสังคม การเหยียดเพศ การใช้ความรุนแรง เรื่องของความรัก ประโยคเด็ดน่าคิดๆจากหนังเรื่องนี้นี่เต็มไปหมดเลยครับ!
การกำกับ: ผมชอบที่การใช้ดนตรีประกอบได้สุดยอดมากๆ ทำให้อินไปกับบทบาท และบรรยากาศของเรื่องสุดๆ เพลงเข้ากับบรรยากาศของหนัง และบุคลิกตัวละครมากๆครับ ช่วยสื่อและเสริมได้เยอะเลย
การแสดง: นับว่าสุดๆเหมือนกันครับ นอกจากตัวเอกจะถ่ายทอดอารมณ์ และนำเรื่องได้อย่างไม่มีที่ติแล้ว ตัวประกอบยังเสริมกันได้ไม่มีตกหล่น ไม่มีใครดึงให้การแสดงโดยรวมแย่ลงเลยครับ
ข้อดีที่ผมคิดว่าค่อนข้างหาได้ยาก และหนังเรื่องนี้ทำได้คือ
นอกจากหนังเรื่องนี้เป็นหนังที่บทดีมากกก และการแสดงก็เด่น การกำกับดีจนเข้าชิงรางวัลได้แล้ว (และเหมาะสมมาก) ยังพูดได้เต็มปากว่าสนุกอีกด้วยครับ ทำให้ผมคิดว่าน่าจะดูได้ในกลุ่มคนดูที่กว้างมากกว่าหนังออสการ์ทั่วไปมากเลยครับ
โดยรวมผมก็ให้ A ครับ แนะนำให้ไปดูกันเยอะๆนะคร้าบบบบ
จุดที่ผมชอบมากที่สุดคือบทหนังที่เขียนได้ฉลาดน่าสนใจน่าติดตามมากๆ
บทพูดดีแบบมีอะไรให้คิดต่อได้เยอะมากในหลายๆประเด็นเลยครับ ทั้งเรื่องความแตกต่างของคนในสังคม การเหยียดเพศ การใช้ความรุนแรง เรื่องของความรัก ประโยคเด็ดน่าคิดๆจากหนังเรื่องนี้นี่เต็มไปหมดเลยครับ!
การกำกับ: ผมชอบที่การใช้ดนตรีประกอบได้สุดยอดมากๆ ทำให้อินไปกับบทบาท และบรรยากาศของเรื่องสุดๆ เพลงเข้ากับบรรยากาศของหนัง และบุคลิกตัวละครมากๆครับ ช่วยสื่อและเสริมได้เยอะเลย
การแสดง: นับว่าสุดๆเหมือนกันครับ นอกจากตัวเอกจะถ่ายทอดอารมณ์ และนำเรื่องได้อย่างไม่มีที่ติแล้ว ตัวประกอบยังเสริมกันได้ไม่มีตกหล่น ไม่มีใครดึงให้การแสดงโดยรวมแย่ลงเลยครับ
ข้อดีที่ผมคิดว่าค่อนข้างหาได้ยาก และหนังเรื่องนี้ทำได้คือ
นอกจากหนังเรื่องนี้เป็นหนังที่บทดีมากกก และการแสดงก็เด่น การกำกับดีจนเข้าชิงรางวัลได้แล้ว (และเหมาะสมมาก) ยังพูดได้เต็มปากว่าสนุกอีกด้วยครับ ทำให้ผมคิดว่าน่าจะดูได้ในกลุ่มคนดูที่กว้างมากกว่าหนังออสการ์ทั่วไปมากเลยครับ
โดยรวมผมก็ให้ A ครับ แนะนำให้ไปดูกันเยอะๆนะคร้าบบบบ
แต่สิ่งที่น่าชื่นชมคือ จังหวะการเล่าเรื่องที่ตัดสลับไปมาระหว่าง ช่วงทัวริ่งเป็นเด็ก-ตอนทำงานที่สถานีวิทยุ-และช่วงสอบปากคำ ความไหลลื่นของบท และการทำให้คนดูเข้าถึงอารมณ์ของหนังมันทำได้ยอดเยี่ยมมากกว่า คือดูหนังเรื่องนี้ไป 2 ชั่วโมง มันไม่ได้รู้สึกยืดเยื้อเลย
ผม่วาต้องชม นักแสดงนำ เบเนดิกซ์ ด้วยแหละ แกแสดงดีมาก ทำให้หนังโดยรวมดูไม่น่าเบื่อ และเป็นกระบอกเสียงอย่างดีให้กับ อลัน ทัวริ่ง ที่สมควรได้รับการยกย่องให้เป็นวีรบุรุษ หารู้ไม่ว่าบั้นปลายชีวิตเขามีชีวิตที่น่าสงสารขนาดไหน
เรื่องสูตรสำเร็จเป็นข้อเสียหรือไม่อันนี้ส่วนตัวผมว่าก็ขึ้นอยู่กับมุมมองของแต่ละคนนะครับ นักวิจารณ์บางคนก็คิดว่ามันเป็นเรื่องที่สำคัญเหมือนกัน อย่างที่ว่าครับมุมมองของแต่ละคนต่อภาพยนตร์ไม่เหมือนกัน แต่เรื่องภาพยนตร์ชีวประวัติเกิดขึ้นจริงแล้วแต่งแหวกแนวไม่ได้นี้ผมว่าอาจจะไม่จริงร้อยเปอร์เซ็นนะครับ อย่าง Foxcatcher นี้ก็ภาพยนตร์ชีวประวัติแต่ผู้กำกับเอาไปตีความใหม่จนตัวจริงออกมาพูดว่าไม่พอใจเลยครับผม
คือโดยส่วนตัวถ้าหนังจากชีวประวัติ หรือจากเหตุการณ์จริง ผมชอบการเล่าเรื่องที่อิงมาจากเหตุการณ์จริงมากกว่าแต่งขึ้นเพื่อความบันเทิงครับ ทีนี้มันก็ขึ้นอยู่กับ คนสร้าง ผกก. คนเขียนบทดัดแปลง แล้วว่าจะมีสไตล์การเล่าเรื่องยังไงไม่ให้น่าเบื่อ แน่นอนว่าทุกอย่างใน Imitation Game ก็ไม่ได้เกิดขึ้นจริง แต่สิ่งที่แต่งขึ้นก็เป็นประเด็นย่อยนั้น แต่โครงหลักๆก็เป็นตามที่เกิดขึ้นจริงอยู่
นอกจากว่าหนังเรื่องนั้น ทำขึ้นเพื่อจุดประสงค์ในการเสียดสีสังคมแรงๆอย่าง Foxcatcher อันนั้นก็เป็นอีกประเด็นหนึ่งครับ
เอ๊ะหรือว่าเป็นเกย์อยู่แล้ว