Menu
Home
News
Space
N
Market
Forum
Feed
ทั้งหมด
ทั่วไป
เกม
อนิเม / มังงะ
ซื้อขาย
บทสรุป
แจ้งปัญหา
[--mobilemenu--]
เข้าสู่ระบบ
สมัครสมาชิก
ขอลิ้งยืนยันใหม่
ลืมรหัส
บราวเซอร์ของท่านไม่สนับสนุนหรือปิดการใช้งาน javascript ซึ่งจะไม่สามารถใช้งานไซต์บางส่วนเช่นการเข้าลิ้งค์ หรือโพสข้อความได้ตามปกติ, กรุณาเปิดการใช้งาน javascript เพื่อที่จะใช้งานเว็บ gconhubม หากมีปัญหาในการใช้งาน หรือต้องการสอบถามเพิ่มเติม กรุณาติดต่อ
[email protected]
หรือ
[email protected]
ทั้งหมด
>
อนิเม / มังงะ
OT อัพเดทข่าวสารพูดคุย JoJo ��าค4 Diamond is Unbreakable
#Gconsole
#JoJo���าค4
Tweet
Reply
Vote
#
Mon 26 Dec 2016 : 11:34AM
Neo Kabuto
member
Since 25/1/2006
(10872 post)
ขอแบ่งปันสิ่งที่เราได้จากโจโจบ้างค่ะ หลังจากที่ดูภาค 4 จบ เราก็ได้คิดทบทวนในหลายๆอย่าง ของ "ฟิลโจโซฟี" นี้
คิระเคยพูดพูดไว้เมื่อครั้งนึง เมื่อไหร่สักเวลานึงว่า "มือของผู้หญิงที่จิตใจโหดร้าย และช่างพูด จะเรียว และสวยเป็นพิเศษ"...ไม่รู้ว่าเป็นกุสโลบายหมายถึงคนที่มือสวย(+ดูสะอาด?)กว่าใคร เพราะไม่ได้ต่อสู้ฟันฝ่าเอง แต่กลับใช้ความได้เปรียบและวาจาอย่างไร้ความสัตย์จริง จนชีวิตสบายได้ทั้งๆที่มือยังไม่ทันได้สัมผัสกับความลำบาก (มั้ง ? อันนี้มาจากการตีความส่วนตัวค่ะ
แต่นอกจากมือแล้ว คิระยังชอบ"ต้นคอที่เรียวสวย" ด้วย ผู้หญิงธรรมดาบนรถไฟ หรือชิโนบุซังเองก็เคยเกือบถูกย่ำยีเพราะจุดนี้มาแล้ว (ตอนที่คิระฝึกคัดลายมือ) แต่ความห่วงหาอาทรที่เริ่มก่อตัวขึ้นมาอย่างที่ท่านแบ๊งตูมว่าค่ะ "ค่อนข้างจะช้าไป" นี้ก็ไม่แรงพอที่จะทำให้จิตใจคิระเปลี่ยนแปลงได้...แต่คิระเองก็คงไม่อยากยอมรับการเปลี่ยนแปลงนี้ลึกๆ เพราะจะขัดกับ "ปรัชญาของการใชีชีวิตแบบผักหญ้า" ของเขา เพราะความรักทำให้คนเราเติบโต และการเติบโตคือการเปลี่ยนแปลง...และในวาระสุดท้ายคิระเองก็ไม่ได้นึกถึงชิโนบุ เพราะกรรมที่มาพบเจอกันนั้น ยังไม่แรงพอ (แรงดึงดูดของกรรมของเรมี่ซังสูงกว่า...ในฐานะคิระ ไม่ใช่โคซาคุ)
ส่วนของโคซาคุนั้นแม้ชิโนบุจะเคยมีความสุขในชีวิตคู่มาช่วงนึง แต่ด้วยความที่โคซาคุเขาเป็น "ผักหญ้าโดยธรรมชาติ" เลยทำให้เกิดความเบื่อหน่ายขึ้น ชิโนบุเองก็ไม่ชอบในส่วนนั้น ส่วนทางโคซาคุที่ไปหาอายะซัง ก็น่าที่จะเพราะว่าอยากเปลี่ยนแปลง เพราะไม่พอใจในชีวิตที่เหมือนผักหญ้านั้นเหมือนกัน จนเป็นที่มาให้พบกับคิระ และกลายเป็นการเติมเต็มชีวิตคู่ของชิโนบุ...ชิโนบุนั้นแม้ไม่ได้รักอะไรโคซาคุมาก แต่ก็ไม่ได้เชิงเกลียดอะไรค่ะ แค่รู้สึกว่า "นายคนนั้นมันน่าเบื่อเหลือเกิน" และโคซาคุที่ลงทุนไปหาอายะซัง ก็คงเพราะ "อยากเปลี่ยนตัวเองเพื่อให้ครอบครัวมีความสุข" ... ตรงนี้ก็เหมือนกับคิระค่ะ ตรงที่ "ค่อนข้างจะช้าไป" เพราะมาประจวบเหมาะพบกับคิระเข้าพอดี...ในมิติของชิโนบุนั้นเราว่าเขามารู้สึกรักชอบในตอนนี้ เป็นเพราะเธอรู้สึกถึงว่า "เป็นโคซาคุที่เปลี่ยนไป" แม้จะไม่รู้ว่านั่นคือคิระ แต่ในใจของชิโนบุนั้น เราว่าเธอคงจะประทับใจในตัวสามีที่เปลี่ยนไปขนาดนี้ เข้าหาเธอมากขึ้น เล่นกับลูก(?) มากขึ้น...โชคดีที่ควรจะเกิดกับโคซาคุตัวจริง ตอนนี้คิระได้รับไปแล้ว เรารู้สึกว่าถ้าเป็นโคซาคุผู้เปลี่ยนจากผักหญ้าน่าเบื่อกลายเป็นสามีสุดฮ็อตแล้ว ชิโนบุกับฮายาโตะจะมีความสุขขนาดไหนกันนะ ?
ในส่วนของคิระนี้เราไม่ค่อยสงสารคิระเท่าไหร่ เพราะนิสัยเสียที่เขาเก็บงำมาตลอด เป็นนิสัยที่ทำร้ายคนอื่นอย่างอดใจไม่อยู่ โดยตั้งใจว่าจะแบกรับไปตลอดพร้อมกับหาชีวิตที่เหมือนผักหญ้า ไม่อยากให้ใครมาใกล้ชิด และไม่ต้องการความเปลี่ยนแปลงใดๆ ตรงนี้เราว่าเป็นเพราะความเป็นเหมือนวัวสันหลังหวะที่มีกรรมมีคดีติดตัว และตัวเองก็รู้ดีว่าชีวิตแบบนี้มันไม่ง่ายเลย กับการต้องอยู่อย่างรักษาปรัชญาส่วนตัว ควบคู่ไปกับนิสัยเสียๆเช่นนี้
อย่างที่โคอิจิบอกว่า "คงมีอีกหลายต่อหลายคน ที่ยังคงรอคอยคนสำคัญของเขาอยู่...รอคอยคนที่ไม่มีวันได้กลับมาอีกแล้ว"...นี่คือข้อแตกต่างที่ว่า คนที่คิระสังหารไปล้วนมีชีวิตที่ปกติ ดีบ้างไม่ค่อยดีบ้าง แต่ก็เป็นชีวิตของคนที่มีกันและกัน แต่ชีวิตของคิระนั้นตั้งใจให้เป็นเหมือนผักหญ้า ไร้ซึ่งความเปลี่ยนแปลงและการผูกสัมพันใดๆ ดังนั้นพอเขาตายไป จึงไม่เป็นที่คาดหวังและคิดถึงของใครๆที่ยังคงเหลืออยู่....ในทางกลับกันโคซาคุ ที่เปลี่ยนชีวิตไปแล้วนั้น ยังคงเป็นที่โหยหาของชิโนบุ และฮายาโตะ...เป็นสิ่งที่"คิระ"ไม่มี...ความโดดเดี่ยวนี้น่าสงสารก็จริง แต่เราว่ามีคนที่น่าสงสารกว่าอีกมากค่ะ อย่างเช่น พี่อายะ ที่เป็นนางฟ้าเปลี่ยนชีวิตให้ผู้คนอยู่ดีๆ ก็ต้องมาถูกสังเวยในคดีนี้ และโคซาคุตัวจริง ที่กำลังจะได้เปลี่ยนชีวิตครอบครัว ก็ถูกสวมรอยโดยคนอื่นไป
ปรัชญาของโจโจ้ "ฟิลโจโซฟี" ที่ อ.อารากิใส่มาในทุกภาค ก็เชื่อมโยงกันตั้งแต่ภาค 1-7เลย นั่นคือปรัชญาที่ว่าด้วย "การหาความจริงแห่งชีวิต"
ในภาค 1 ดิโอที่อยู่ในสภาพแวดล้อมที่ตรงข้ามกับโจนาธาน เกิดความริษยาและต้องการแย่งชิงทุกสิ่ง แต่ก็กะจะใช้ทางลัดโดยการเลิกเป็นคน และสร้างกองกำลังผีกะจะครองโลก นี่คือการ"กระโดดอย่างรีบร้อนไปสู่เป้าหมายในทันที" นี่คือการกระทำที่ทำให้ไม่ได้พบกับความจริงของชีวิต นั่นการค่อยๆฝ่าฟันสร้างตัว พบพาน และลาจาก และพัฒนาสายสัมพันทำให้จิตใจของคนเราเติบโตขึ้น นั่นคือสิ่งที่โจนาธานได้ดำเนินไปตามวิถีแห่งปุถุชน ตรงนี้ทำให้โจนาธานได้พบกับ "ความจริง" ความจริงของชีวิตและสิ่งที่มีคุณค่าในชีวิตนั้น...ซึ่งดิโอได้เฝ้ามองอยู่ตลอด แต่ก็รู้ว่าตนเองนั้นไม่มี
ในภาค 2 ที่โจเซฟปะทะกับนักรบเสาหินที่แข็งแกร่งมาหลายคน และแต่ละคนก็เป็นนักรบที่ทรงเกียรติ์ เช่นวามู แม้แต่ฮิโรชิ เอ้ย เอซีดิซี ที่ยังกัดไม่ปล่อยจนนาทีสุดท้ายเอง ก็เป็นนักรบที่มีเกียรติ์ในแบบของตน ในขณะที่คาซที่เป็นนาย กลับมองข้าม"ชีวิต"ของพวกเขา ดูถูกความมุ่งมั่นของนักสู้ และตั้งมั่นเฉพาะ "แค่ชนะก็พอแล้ว" ตรงนี้เองที่ทำให้แพ้ต่อโจเซฟ ที่เก็บเรื่องราวทุกอณูไว้ เป็นวิญญาณที่สืบทอดผ่านนักสู้คนหนึ่ง สู่อีกคนหนึ่ง "ความมุ่งมั่นแต่เพียงชัยชนะคือกับดักของผู้มีพลัง ที่ทำให้มองข้ามความจริง และลืมคุณค่าแห่งชีวิต" ...กับดักที่แม้จะมีไอคิวถึง 300 ก็ยังไม่พัฒนา
ในภาค 3 ดิโอได้ตื่นจากการหลับไหลพร้อมกับคารีสม่าแห่งราชันย์ แต่นั่นคือการหลอกใช้ และการครอบงำ เขาใช้ประโยชน์จากชีวิตของคนหลายต่อหลายคนเพื่อเป้าหมายของตน โดยยังคงไม่เห็นคุณค่าของชีวิตอยู่เช่นเดิม โดยที่ก็ยังมองข้ามความเป็นจริงอย่างนึงของชีวิต คือทุกคนต่างมีเรื่องราว และการพัฒนา ในตอนท้ายที่ดวลกับโจทาโร่ ที่ต่างคนต่างพีค เขาก็ทิ้งศักดิ์ศรีของราชันย์ที่เคยเชื่อมั่นโดยการประกาศว่า "แค่ชนะซะอย่าง จะยังไงก็ช่าง" เป็นการทิ้งโอกาศที่จะสัมผัสกับความจริงของชีวิต กลับไปสู่ตัวตนเดิมของเขาที่สนแต่ชัยชนะ แม้ไม่มีหลักประกันใดๆว่าถ้าดิโอสู้อย่างขาวสะอาดจนหยดสุดท้ายแล้วเขาจะชนะ แต่การจบชีวิตของเขา คงเป็นไปในอีกอารมณ์นึงแทนแน่ๆ
ภาค 4 คิระได้ก่อคดีมามากมาย และได้ความสามารถ BTD มา ตรงนี้คือสิ่งชีชัดที่สุดของความปรารถนาลึกๆ และปรัชญาของเขา รวมทั้งฟิลโจโซฟีของ อ.อารากิ หาก "การโจนสู่เป้าหมายทันที" คือการมองข้ามความจริงของชีวิต ความสามารถนี้ก็มีไว้เพื่อให้คิระได้กลับมาไล่ย้อนศึกษาดูว่าเกิดอะไรขึ้นในช่วงเวลาที่ก่อนจะบรรลุเป้าหมายนั้น เพราะเป็นช่วงเวลาที่เขาไม่รู้ หากแต่มีเพียงเครื่องมือของเขาเท่านั้นที่รู้ (ฮายาโตะ) แปลว่าช่วงเวลาของการต่อสู้ไปจนกระทั่งบรรลุเป้าหมายนั้นต่างคือความจริงที่แท้ของชีวิต เช่นเดียวกับปรัชญาของชีวิตแบบผักหญ้าที่เขามุ่งหวัง นั่นคือสิ่งที่ขัดแย้งกันในทางปฏิบัติ ผักหญ้าเองก็มีบทบาทในวงจรอันยิ่งใหญ่ ไม่มีอะไรที่ไร้คุณค่าและว่างเปล่า การพยายามฝืนชีวิตแบบวัวสันหลังหวะ โดยการอยากเป็นผักหญ้านี้เอง ที่ทำให้กลายเป็นคนที่เหมือนจะพยายามหาความจริง แต่ก็ไม่ได้หาอะไร โดนสั่งให้ย้อนกลับมาภายใต้กฏแห่งความสามารถตน แต่ก็ไม่ได้พบกับอะไรเลยนอกจากผลกรรมที่ตามทัน
ภาค 5-6-7 นี่ยิ่งชัดมากค่ะ
ภาค 5 ก็เกี่ยวกับตำรวจที่เคยคุยกับอาบัคคีโอ้ ที่ว่าด้วยการไล่ตามความจริง และเดียโบโร่ที่มีความสามารถลบเวลา ให้เหลือไว้เพียงผลลัพท์เป้าหมายสุดท้ายที่คาดหวัง และนั่นคือการละทิ้งสาระสำคัญ ความจริงของชีวิต เลยทำให้โดนขังอยู่ในวังวลแห่งเรเควี่ยม ในขณะที่โจรูโน่ที่เห็นทุกอย่างของการต่อสู่และได้สืบทอดจิตวิญญาณนั้นต่อ นั่นคือความจริงที่ได้มา และกำลังจะส่งต่อไป...ส่วนทาสที่หลับไหลนั้นกล่าวถึงคนที่เดินไปตามชะตากรรมในแบบที่ยังไม่รู้สึกถึงว่าเขาควรสู้เพื่ออะไร เมื่อทาสนั้นลืมตาตื่นขึ้น เขาจะค้นพบความหมายของชีวิต และเป็นอิสระ เช่นบูจาราตี้
ภาค 6 หลวงพ่อพุซซี่ที่ต้องการทำตามเจตนารมณ์ของดิโอให้สำเร็จ ตั้งแต่ภาคแรกแล้วที่ดิโอเห็นว่า "การก้าวข้ามความลังเลหวาดกลัวทั้งหลายนี่แหละคือความสุขที่สุด เป็นหนทางสู่ความความจริงของชีวิตที่แท้จริง" จึงเป็นที่มาของการพยายามขจัดความกังวลของผู้คนในแบบของเขา เช่นภาคแรก ก็เปลี่ยนคนให้กลายเป็นผีไร้สมองไร้หัวใจไปเสียจะได้ทำได้ทุกอย่าง แม้แต่ทำให้แม่กินลูกตัวเองอย่างไม่ลังเล และภาค 3 ที่ใช้คารีสม่าและก้อนเนื้อในการขจัดความลังเลสงสัยของลูกน้อง แต่ทั้งหมดนี่คือวิธีที่ไม่ยั่งยืน และดิโอก็รู้ อุดมคติของดิโอคือชีวิตที่ไร้กังวล...ชีวิตแบบปุถุชนที่มีความสุขสงบทางใจ อันเป็นผลให้หลวงพ่อฯได้เคารพเทิดทูญทั้งตัวบุคคล และแนวคิดนี้ แต่ก็ต้องปะทะกับพวกโจลีน เพราะนั่นคือการบังคับให้คนเข้าสู่อุดมคติ เป็นการ "บังคับให้คนโดดไปสู่เป้าหมายของชีวิต"...แต่มาถึงตรงนี้แล้วแม้พวกโจสตาร์จะพ่ายแพ้ต่อการดิ้นรน แต่ก็ถือว่าได้รับรางวัลของความมุ่งมั่นฟันฝ่าในท้ายที่สุด
ภาค 7 นั้นคือการหาหลักประกันความเจริญทางลัดของ ปธน. แต่สิ่งที่ไจโรสอนโจนี่ในบทเรียนคือ "การให้ความเคารพธรรมชาติ และ ทางที่ยากลำบากยาวไกลนั้น คือทางที่ลัดที่สุด" เราตีความว่า การให้ความเคารพคือการให้ความสนใจ และตอนนั้นคนจะได้เรียนรู้เติบโต ทางที่ยากลำบากนั้นจะช่วยขัดเกลาคนให้เข้มแข็ง และพัฒนาตัวเองได้ดีและเร็วกว่าคนที่ใช้ทางลัดอันแสนสบาย...ชีวิตคนตรงนี้ก็เหมือนกับประเทศชาติค่ะ การพัฒนาที่ยั่งยืนและการรักษาอำนาจนั้นต้องมีบารมี บารมีก็มาจากการสั่งสมและฝ่าฟันในทางที่ดี ที่ต้องใช้เวลา และความพยายาม...แม้ในท้ายที่สุดซากศพนั้นจะตกไปอยู่ในการดูแลของรัฐ แต่โจนี่ก็ได้พบสิ่งที่มีคุณค่า ตามที่เพื่อนได้ฝากไว้ บทเรียนแห่งรูปทรงทองคำ
สรุปคือ โจโจ้ เป็นการ์ตูนที่เขียนขึ้นเพื่อปลูกฝังให้ผู้อ่านมีความพยายามไม่ย่อท้อ รับมือกับอุปสรรค์อย่างชาญฉลาด และไม่ละทิ้งซึ่งอุดมคติอันมีค่า...ค่ะ
สอนได้ดีกว่าหนังสือเรียนบางเล่มอีก
Reply
Vote
Related Thread
อัพเดทข้อมูล Netoge no Yome wa Onna no Ko ja nai to Omotta? ฉบับทีวีอนิเมะ
PV แรกของ Flying Witch ฉบับทีวีอนิเมะ
" Orange " ประกาศฉบับทีวีอนิเมะพร้อมฉาย Summer 2016
PV character songs ของ 3 นางเอกจาก Hai to Gensou no Grimgar
10 อันดับตัวละครชาย หญิงที่แฟนๆอยากจะแต่งงานด้วยจากเวป Charapedia
Popular Thread
ประกาศ Danmachi ss5
Like a Dragon Gaiden: The Man Who Erased His Name คะแนนรีวิว
ยังอยากหากินกับบุญเก่าเหมือนเดิม Blizzard เผย มีความคิดจะนำ World of Warcraft ลงเครื่องเกมคอนโซล
KOF XV DLC|HINAKO SHIJO|Trailer
7 online users
Logged In :
member
Since 25/1/2006
(10872 post)