แตกประเด็นมาจากกระทู้เนฮูฒันร่าลามปามไปท้าสู้ครูแปรง




คุณพระช่วย : อาทมาฏ ดาบพระนเรศวร (ครูมาโนช)

คลุมไตรภพ ตลบสิงขร ย้อนฟองสมุทร ท่ารุกท่ารับท่าเดียวกัน (ฟัน-การ์ดท่าเดียวกันยกมือครั้งเดียว) และก็ท่าไม้ตายหนุมานเหินหาว กับมะพร้าวห้าวทิ้งดิ่ง ที่มีระยะสังหาร 6-7 ก้าว





ดาบอาทมาฏ นเรศวร โดย ครูแปรง

คลุมไตรภพ ตลบสิงขร ย้อนฟองสมุทร เทคนิคการใช้แม่ไม้ดาบตัดเอ็นข้อมือศัตรู




ดาบอาทมาฏ นเรศวร โดย ครูแปรง 2

แม่ไม้การควงไม้พลองแบบไทย




ดาบเจ้าราม โดย ครูแปรง




เพลงดาบ+ศิลปะการต่อสู้ของทางภาคเหนือ (ล้านนา)



เจิงดาบ ครูบอม

เป็นศิลปะการใช้ดาบ เพลงดาบของนักดาบทางภาคเหนือในสมัยก่อน ทุกวันนี้จะพบเห็นที่เป็นการฟ้อนเจิง ซะส่วนใหญ่



เจิง ศิลปะการต่อสู้ล้านนา สาธิต 1 (ครูบอม)

เจิงไม่ได้เป็นแม่ไม้มวยแบบปะทะด้านตรงเหมือนมวยไทย แต่ใช้วิธีผ่อนแรงหลีกเลี่ยงการปะทะ (คล้ายกับยิวยิตสู + ไทเก็ก)

ถ้าคนเหนือจะรู้จักคำนี้ดี เจิง ไอ่ห้านั่นเจิงนัก เจิงขนาด ที่หมายถึงลีลาเยอะ ก็มาจากคำว่า เจิง ที่เป็นวิชาการต่อสู้นี่แหละ

ผมถามอะไรอย่างนึงสิทหารไทยสมัยโบราณเค้าขัดดาบไว้ข้างหลังเวลาไปรบแบบในละครในหนังกันจริงๆหรอ ผมว่ามันไม่น่าจะสะดวกเวลาหยิบออกมาใช้หรือเก็บเข้าฝักเลยจริงๆนะ นักรบทั้งโลกจะเหน็บดาบไว้ที่เอวกันหมด (โรมัน กรีก จีน อังกฤษ ญี่ปุ่น มองโกล )เพราะมันสะดวกเวลาจะใช้งาน ทำไมของไทยถึงเอาไปขัดไว้ข้างหลัง

ผมเคยไปดูชุดนักรบโบราณ ผมว่าน่าจะไว้ข้างเอวสองดาบแบบซามูไรนะ

สะพายหลังอาจจะใช้เวลาเดินทางไกล ปีนเขา ปีนห้วย มากกว่า

ดาบอาทมาฏ หลักการเดียวกับ9กระบี่ต๊กโกเลย มีแต่รุกไม่มีรับ

เอาดาบไว้ข้างตัวมันเกะกะเวลาเดินอะครับ แกว่งไปแกว่งมา ไม่มีสมดุล

แล้วมันก็ไม่ได้ชักยากขนาดนั้น ยากตอนเก็บมากกว่า

วิชาดาบไทย มันเป็น job 2 ของมวยไทยน่ะครับ วิชามันใช้คู่กัน เรียนดาบไทยต้องเรียนมวยไทยก่อน
ผมว่าส่วนใหญ่จะเห็นเป็นภาพด้วยว่า ทหารไทยจะถือดาบทั้งฝัก เวลาจะสู้ก็ชักออกมาแต่ดาบ ฝักก็ทิ้งไว้ก่อน เพราะมันเกะกะ คิดว่าเวลาสะพายหลังคงใช้แค่ตอนเดินทางไกลแหละครับ

มวยไทยเป็นมวยที่ใช้จริงในสนามรบ (ไม่เหมือนกังฟูที่เอาไปสู้จริงในสนามรบยาก) สาเหตุเพราะดาบไทยมักจะหัก คือเนื้อเหล็ก วิธีการตี ความบางของดาบ ดาบมันจะไม่ทนมาก อย่างครูมาโนชก็บอกว่าดาบอาฏมาทใช้ช่วงโคนดาบรับ โคนดาบไทยจะหนาเป็นพิเศษ แต่ถึงเวลาดาบหักก็ต้องใช้มวยสู้กันทั้งๆดาบหักนั่นแหละ คืออาจจะไม่ต้องทิ้งดาบแต่สู้ระยะประชิดตัวมันเลยใช้ทั้งศอก,เข่า

แต่ถ้าดาบแบบยุโรปมันหนาใหญ่มันก็หักยาก ดาบญี่ปุ่นวิธีการตีแล้วแผ่แล้วพับหลายๆครั้งเนื้อดาบมันจะเหนียวทน แต่ความพลิกแพลงของดาบจะน้อยกว่าของไทย คือดาบยุโรปก็ฟันแบบหนักๆเอาแรงเข้าว่า ประโยชน์คือมุ่งใช้ฟันชุดเกราะ เลยต้องใช้ดาบเล่มใหญ่ๆ ไม่ใช้ดาบแบบเล่มบางๆ ดาบญี่ปุ่นก็เน้นสู้กันตัวต่อตัวฟันแบบหวังผล เพราะเป็นดาบถือสองมือ ง้างเต็มวงสวิง ฟันพ้นตัวไปแล้วเปลี่ยนมาตั้งรับยาก พลิกแพลงยาก

คนจีนบอกดาบเป็นด้านมืด กระบี่เป็นด้านสว่าง หมายถึงดาบมีคมด้านเดียวฟันแล้วไม่ค่อยพลิกแพลง แต่กระบี่มีคมสองด้านพลิกแพลงท่าได้ง่าย ผมเคยดูสารคดีของดิสคัฟเวอรี่ แชนแนล ดาบคาตานะสู้กับกระบี่จีน ดาบคาตานะแพ้นะ วัดกันจากความเร็ว มันเอาเครื่องมือมาวัดเลย และก็คำนวณจากกระบวนท่า

คลิปของครูแปรงจะมีอันนึงที่ครูแปรงไปดูดาบญี่ปุ่น คือเป็นดาบญี่ปุ่นผสมกับดาบไทย ดาบญี่ปุ่นด้ามจับมันแบนเป็นลักษณะวงรี มันจับถนัดมือ แต่ควงดาบยาก ถ้าควงแบบดาบไทย ด้ามจับแบบญี่ปุ่นมันแบนจับยากไม่ถนัด แต่ถ้าดาบไทยด้ามจับมันกลม มันควงดาบพลิกแพลงไปมาง่าย คือข้อดีข้อด้อยมันไปกันคนละอย่าง คือการเน้นใช้งานมันต่างกัน แต่ดาบไทยมันสู้กันแบบชุลมุนหลายคนง่ายกว่าดาบแบบญี่ปุ่น,ยุโรป เพราะดาบไทยมันสองมือหรือไม่อีกมือก็ถือฝัก ลองนึกว่าเอาดาบสองมือแบบไทยไปสู้ตะลุมกับคนหลายคน มันฟันซ้ายกันขวาสะดวก แต่ถ้าเป็นดาบแบบญี่ปุ่นฟันซ้ายแล้วขวาก็โล่ง มีสิทธิ์โดนศัตรูด้านขวาสอยเอาได้

ของญี่ปุ่นถ้ารบถึงขั้นตะลุมบอนมันต้องใส่เกราะเต็มตัวเลยเพราะอาวุธระยะไกลก็มีครับแถมเอาเข้าจริงหอกทวนหรือดาบง้าวใช้ดีกว่าเพราะได้ระยะแถมใช้สองมือ,แรงฟาดมันแรงกว่าดาบเยอะไอ้ที่เห็นคาตานะไล่ฟันกันในหนังเพราะยามปกติมันพกดาบติดตัวแสดงฐานะกันมากกว่าแถมคู่ต่อสู้ก็ไม่ได้ใส่เกราะเต็มตัวด้วย

แต่ที่เห็นของยุโรปที่เป็นดาบสองมือพวกใช้แบบถือด้ามมือนึงอีกมือประคองกั่นดาบแล้ววิ่งพุ่งเข้าไปแทงเป็นท่าแรกเลยคือถ้าเป้าหมายมีเกราะส่วนใหญ่เขาเน้นแทงก่อนที่จะเอาดาบฟาดเพราะดาบฟาดโดนเกราะมันได้ไม่เต็มหรือแฉลบ

ไม่ได้มาtrollนะครับ แต่ผมคิดว่าพอถึงยุคหน้าไม้ เกราะหนาๆก็ลดความสำคัญลง
เพราะมันยิงทะลุได้แล้ว และพักหลังแทนที่จะใช้ดาบใหญ่ ก็หันมาใช้ดาบเล็กๆ
จิ้มจุดอ่อน และเท่าที่ดูสารคดี ธนูญี่ปุ่นประสิทธิภาพต่ำเพราะคันมันตรง
ไม่ได้โค้งแบบยุโรป

มันพัฒนาเป็นยุคไปครับคือจะเหมารวมว่าอาวุธอะไรดีกว่าเกราะจนไม่ใช้เกราะแล้วไม่ได้เพราะด้านธนูมันมีกระทั่งหัวเจาะเกราะที่เรียกว่าบอดกิ้น,แต่เกราะก็มีถึงเกราะคอมโพสิทที่กันได้ถึงหน้าไม้,ปืนคาบศิลา

แต่สถานะการณ์จริงเกราะที่ทนสุดมันหนักสุดด้วยหรืออาวุธที่ยิงแรงๆอย่างหน้าไม้ก็ยิงได้ช้าสุดๆอีกความคล่องตัวมันก็มีผลกับการเลือกใช้ระดับหนึ่งเหมือนกัน

สมมุติเหตุการณ์บุกปราสาทที่ฝั่งเรายืนกันแออัดเพื่อเดินเข้าบุกปราสาทแล้วฝั่งรีบมันใช้หน้าไม้คอยดักยิงถ้าเราคิดว่าจะเอาพริ้วๆหลบลูกดอก,ธนูเพราะใส่เกราะไปก็โดนยิงทะลุ แต่ความจริงยืนเรายืนอัดกันแน่นเลยมันจะมีช่องว่างให้เราหลบไหมล่ะสุดท้ายก็ต้องใส่เกราะอยู่ดี

พูดถึงเพลงดาบแบบผสมมวยถ้ามันเป็นยุคโบราณมันก็น่าจะได้เกิดอยู่นะแต่สมัยนั้นมันมีอาวุธยิงเข้ามาให้ใช้กันแล้วเคยฟังอ.สุเนตรเล่าให้ฟังสมัยนั้นหลักๆเค้าไม่ได้วิ่งไปไล่ฟันกันแบบในหนังนะมันเป็นสงครามป้อมค่ายประชิดคือปลูกค่ายแล้วเอาปืนใหญ่ยิงกันใครอึดกว่าก็ชนะส่วนการรบในระยะประชิดจะไม่ค่อยมีจะมีแค่เวลาจะหักค่ายในกรณีที่เอาปืนใหญ่นวดจนช้ำแล้วและก็โจมตีนิดๆหน่อยๆ

น่าจะมีแข่งกีฬาดาบไทยนะครับ เป็นการส่งเสริมด้วย

เหมือนญี้ปุ่นยังมีเคนโด้เลย

ผมว่าปัญหามันจะอยู่ที่กติกาน่ะสิครับ เพราะขนาดมวยไทยถ้าให้จัดเต็มคงมีพิการ
ดาบนี้ก็ไม่รู้จะตั้งว่ายังไงให้ปลอดภัย

^
ทำแบบเคนโด้ไงครับ เคนโด้ก็ดัดแปลงมาจากวิชาดาบสมัยโบราณนั่นแหละ แต่ใช้ท่าที่ง่ายขึ้นและไม่อันตราย เพราะงั้นถึงฝึกเคนโด้ก็จะไม่ได้แปลว่าจะเทพเท่าซามูไร แต่เค้าทำเป็นการอนุรักษ์วิชาดาบไว้เฉยๆ
เปลี่ยนไปใช้ดาบไม้ หรืออะไรก็ได้ที่ไม่ทำให้บาดเจ็บ มีอุปกรณ์ป้องกันแบบของญี่ปุ่นเลย
ถ้าดาบไทยทำแบบเคนโด้ ผมก็อยากเล่นดูนะน่าสนุกดี แต่ที่เคยอ่านๆมา เค้าว่า ดาบไทยมันเป็นท่าประกอบมวยไทยน่ะครับ ใช้คู่กัน ก็อย่างว่าที่มวยไทยมันเป็นมวยสงคราม ใช้สู้จริงในสนามรบ ถ้าจะเอามาเล่นเป็นกีฬา มันก็คงจะอันตรายพอดู ต้องระดมคนมาคิดท่าใหม่ให้ง่ายขึ้น แล้วปลอดภัยขึ้น

^
^
^
เคนโด้เขามีเกราะไม่ใช้หรอครับ เพราะตามจริงซามูไรก็ใส่เกราะ
แต่ของไทย เราไม่มีเกราะ ถ้าทำให้มีเกราะมันก็จะเป็นว่าเหมือนมวยไทย
ใส่เกราะ ใส่head guard จำกัดการเครื่อนไหว
(คือมันไม่เป็นธรรมดาดั้งเดิม)
แต่ผมว่า ถ้าใส่เกราะแล้วทำจริงๆจัง ก็ดีนะครับ
ซึ่งก็ดีกว่าปล่อยให้เวลาทำให้มันสาบสูญไป
ไม่ใช่ปล่อยไว้ ให้เป็นเพียงตำรา
(ถ้ามีประโยคใหนทีดูแย่ๆ ก็ขอโทษนะครับ สำนวนการเขียนผมไม่ค่อยดี)