เงิน หวังรายได้

ผู้สร้างเองก็รู้ว่าหนังของตัวเองไม่ได้หวังโล่ห์ เอาจริงๆหนังสือมันก็ไม่ได้มีเนื้อหามีประเด็นอะไรมากมายนะครับ จริงๆหนังสือมันกากนะ แต่มันดัง มันขายดี มันเป็นเรื่องของการตลาดด้วย (เหมือนอันดับหนังสือขายดี ที่ร้านหนังสือบ้านเราแนะนำให้ซื้อกันนั่นแหละ ไม่ได้หมายความว่าเป็นหนังสือที่ดี) เรื่องนี้พอๆกับแฮรี่ แฟนๆแฮรี่กับแคทนิสอาจจะโกรธนะ อาจจะมีคนมาดราม่า บลาๆๆๆ บรรยายความดีของหนังสือ แต่เอาเป็นว่าหนังสือพวกนี้มันเป็นกระแสครับ มาแล้วก็ไป ดังก็ได้สร้างเป็นหนัง สร้างกลุ่มแฟนๆเดนตายได้ แต่ถ้าเอาคุณค่าทางวรรณกรรม ทั้งแฮรี่กับแคทนิสตอนที่ดัง ตอนที่เริ่มนำมาสร้างเป็นหนัง หนังสือมันยังไม่จบเลยนะครับ จะดีจะห่วยก็ไปตายเอาดาบหน้า คือไม่ต้องพูดถึงคุณค่าทางวรรณกรรม พูดถึงถึงคุณค่าทางการตลาดแค่นั้นพอ นี่แหละที่นายทุนผู้สร้างหนังมอง แต่นายทุนพร็อพพากันดาคนดูให้เชิดชูหนังกับหนังสือ คือออกมาห่วยยังไงสาวกมันก็จะบอกว่าดีเลิศ

เอ่อจริงหรอครับนั้นเขาออกมาพูดแบบนั้นจริงๆ = = หนังมันแต่ละเรื่องก็วิจารณ์แต่ละเรื่องไปสิครับ มาบอกว่าดู Part 2 ก่อนสินี้ก็คงไม่ใช่แล้วมั้ง เพราะในหลายด้านในบางตอนเขาทำได้แย่กว่าบางตอนก็ต้องวิจารณ์กันไปมันไปเกี่ยวอะไรกับต้องไปดู Part 2 ก่อนแบบว่าผมงง ยกเว้นจะวิจารณ์แบบมัดรวม Part 1 + Part 2 ก็อาจจะพอได้ แต่สุดท้ายผมว่ามันก็ต้องไปติ Part 1 อยู่ดีต่อให้ไปดู Part 2 มา (แต่แปลกตอน Harry Potter ผมชอบ Part 1 มาก แต่ Part 2 กลับผิดหวัง)

ส่วนเรื่องการหั่นเป็นสอง Part นี้ผมก็ไม่ค่อยจะเห็นด้วยครับ แล้วถามบางท่านที่อ่านหนังสือเขาก็บอกว่าไม่เห็นด้วย เพราะเห็นว่าตัวหนังสือเองก็อ่อนที่สุดในสามภาคแล้ว แถมหนังสือยังไม่หนามาก พอหั่นปุ๊ปมันก็ไม่เหลืออะไรน่าสนใจเลย ถึงแม้ว่าจะมีประเด็นเรื่องการเมืองและการ propaganda มาเสริมแต่ส่วนตัวผมว่าในจุดนี้มันก็คือยังถือว่าไม่ได้โดดเด่นพอที่จะอุ้มหนังทั้งเรื่อง สุดท้ายหนังก็เลยเนือยๆอืดๆไป (ส่วนหนึ่งต้องยอมรับว่าการเล่าเรื่องของฟรานซิส ลอวเรนซ์ตกลงเพราะอืดมาก) แต่ก็นะการตลาดคงต้องทำใจน่ะครับ