กระทู้คุยข่าวสารบ้านเมืองไทย ที่เราเลี่ยงคุยเรื่องสถาบันกัน V3
<<
<
553
554
555
556
557
558
Reply
Vote
View all 6 comments >
Sun 27 Oct 2024 : 8:47AM
เขาไม่ได้มีนโยบายแบ่งแยกดินแดนนะ
Like : marcust
Sun 27 Oct 2024 : 10:47AM
เป็นความคิดที่ดีครับ เดี๋ยวถ้าลูกจ้างคุณรวมหัวกันยึดพื้นที่ในบ้านคุณไปสัก1ใน4 คุณมาร์คัสก็ควรยอมๆเค้าไปนะ
Sun 27 Oct 2024 : 11:06AM
morroc wrote:
เป็นความคิดที่ดีครับ เดี๋ยวถ้าลูกจ้างคุณรวมหัวกันยึดพื้นที่ในบ้านคุณไปสัก1ใน4 คุณมาร์คัสก็ควรยอมๆเค้าไปนะ
ถามจริง บ้านคุณอยู่แถวนั้นไหม เดือดร้อนแบบเค้าไหม? เค้าแยกออกไป ชีวิตคุณจะทำมาหากินไม่ได้เหรอ?
Sun 27 Oct 2024 : 11:14AM
suede wrote:
morroc wrote:
เป็นความคิดที่ดีครับ เดี๋ยวถ้าลูกจ้างคุณรวมหัวกันยึดพื้นที่ในบ้านคุณไปสัก1ใน4 คุณมาร์คัสก็ควรยอมๆเค้าไปนะ
ถามจริง บ้านคุณอยู่แถวนั้นไหม เดือดร้อนแบบเค้าไหม? เค้าแยกออกไป ชีวิตคุณจะทำมาหากินไม่ได้เหรอ?
มั่นใจมากเลยใช่ไหมครับ ว่าสมมุติถ้าให้แยกไปได้ แล้วชาวไทยพุทธจะไม่เดือดร้อน พระสงฆ์ไม่ถูกลอบฆ่า
Sun 27 Oct 2024 : 12:30PM
morroc wrote:
เป็นความคิดที่ดีครับ เดี๋ยวถ้าลูกจ้างคุณรวมหัวกันยึดพื้นที่ในบ้านคุณไปสัก1ใน4 คุณมาร์คัสก็ควรยอมๆเค้าไปนะ
ที่บ้านผมเป็นของผมนะครับ คนละประเด็นกัน
กรณีผมศึกษามาพอสมควรนะครับ แต่เก่าก่อนมันก็พื้นที่ของเขาหละครับ เราไปยึดเค้ามา และเค้าก็ฝังใจด้วย
การจะปล่อยให้เค้าไปรัฐต้องบริหารคนไทยในพื้นที่ให้ดีให้ได้ก่อน อพยพมาอยู่ที่ไหนชดเชยยังไงก็ว่ากัน
เพื่อนผมมีที่ดินอยู่ทางนั้นเยอะเป็นสวนยางทุกวันนี้ก็อยู่ไม่ได้เหมือนกัน เรียนจบมันไปบริหารอยู่พักนึงสุดท้ายต้องกล้บมาทำธุรกิจพ่อแม่ที่ กทม
อยู่อย่างไม่สงบ หวาดระแวง ไม่มีความสุขนะครับ
เคสนี้ผมเห็นด้วยกะพรรคๆ นั้น (ไม่เอ่ยชื่อเด๋วหาเรื่องฟ้องอีก)
Sun 27 Oct 2024 : 12:41PM
marcust wrote:
morroc wrote:
เป็นความคิดที่ดีครับ เดี๋ยวถ้าลูกจ้างคุณรวมหัวกันยึดพื้นที่ในบ้านคุณไปสัก1ใน4 คุณมาร์คัสก็ควรยอมๆเค้าไปนะ
ที่บ้านผมเป็นของผมนะครับ คนละประเด็นกัน
กรณีผมศึกษามาพอสมควรนะครับ แต่เก่าก่อนมันก็พื้นที่ของเขาหละครับ เราไปยึดเค้ามา และเค้าก็ฝังใจด้วย
การจะปล่อยให้เค้าไปรัฐต้องบริหารคนไทยในพื้นที่ให้ดีให้ได้ก่อน อพยพมาอยู่ที่ไหนชดเชยยังไงก็ว่ากัน
เพื่อนผมมีที่ดินอยู่ทางนั้นเยอะเป็นสวนยางทุกวันนี้ก็อยู่ไม่ได้เหมือนกัน เรียนจบมันไปบริหารอยู่พักนึงสุดท้ายต้องกล้บมาทำธุรกิจพ่อแม่ที่ กทม
อยู่อย่างไม่สงบ หวาดระแวง ไม่มีความสุขนะครับ
เคสนี้ผมเห็นด้วยกะพรรคๆ นั้น (ไม่เอ่ยชื่อเด๋วหาเรื่องฟ้องอีก)
งั้นสวนยางของครอบครัวเพื่อนคุณก็ต้องยกให้โจรไปเลยอย่างงั้นเหรอ? หรือเชื่อว่าแยกแล้วจะกลับไปทำได้ครับ
# Sun 27 Oct 2024 : 8:49AM
ไม่ใช่การเข้าใจผิดหรือพูดผิด แต่ถ้าเป็นคนที่ติดตามการเมืองเชิงนโยบายและการกระจายอำนาจอยู่บ้าง คงทราบได้ว่าในการเลือกตั้งปี 66 พรรคก้าวไกลมีนโยบายกระจายอำนาจเป็นนโยบายสำคัญ โดยจะมีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างการบริหารท้องถิ่นรวมถึงส่วนภูมิภาค และจะมีตำแหน่งชื่อ นายกจังหวัด นายกเขต ขึ้นมา โดยใช้คำที่เหมือนกันนายกเทศมนตรี(ซึ่งแน่นอนว่าไม่เกี่ยวข้องกับการแบ่งแยกดินแดน แบบที่แอคเคาท์นี้กล่าวถึงแต่อย่างใด) เป็นต้น
ตามชุดนโยบายดังกล่าว ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับการเป็นนายกประเทศหรือการแบ่งแยกดินแดน ไม่ใช่การพูดผิด ไม่ใช่การตัดต่อ ผู้สนใจสามารถอ่านข้อมูลเพิ่มเติมของนโยบายหมวดการกระจายอำนาจพรรคก้าวไกลในอดีตได้ที่นี่
[Link]
ส่วนเรื่อง explainer รอทางพรรคสรุปมาแล้วมาแชร์ให้ครับ
View all 8 comments >
Sun 27 Oct 2024 : 10:37AM
ของแบบนี้มันตอแหลได้ครับ ตอนพูดหาเสียงมันจะพูดกำกวมแบบนี้แหล่ะ เราจะให้มีนายกฯใน3จ. เราจะให้3จ.มีอำนาจในการบริหารตัวเอง แต่พอโดนคดีมันถึงจะบิดไปอย่างที่คุณว่า
แต่การกระทำหน่ะเป็นอะไรที่บิดไม่ได้ พรรคส้มไม่เคยพูดถึงผู้เสียหายตัวจริงอย่างชาวไทยพุทธแล้วก็เจ้าหน้าที่เลย เรียกร้องสิทธิให้กับแนวร่วมโจรหรือผู้มีพฤติกรรมเป็นแนวร่วมโจรอย่างเดียว คุณจะเรียกสิ่งนี้ว่าอะไรล่ะ
แต่การกระทำหน่ะเป็นอะไรที่บิดไม่ได้ พรรคส้มไม่เคยพูดถึงผู้เสียหายตัวจริงอย่างชาวไทยพุทธแล้วก็เจ้าหน้าที่เลย เรียกร้องสิทธิให้กับแนวร่วมโจรหรือผู้มีพฤติกรรมเป็นแนวร่วมโจรอย่างเดียว คุณจะเรียกสิ่งนี้ว่าอะไรล่ะ
Sun 27 Oct 2024 : 11:01AM
คลิปนี้จริงๆ เห็นเล่นกันมารอบนึงตั้งแต่ ปี 66 แล้ว
โดนขุดมาเป็นประเด็นอีก
แต่ประเด็นล่าสุด ผมเข้าใจว่า เพจนั้น จะชี้ไปประเด็นที่ว่า ภาษีที่เกิดในท้องถิ่นอยู่ที่นี่ ไม่จำเป็นต้องให้ กทม.
ซึ่งเพจนั้นเล่นประเด็นตามนี้ "เงินภาษี 3 จังหวัดชายแดนไม่พอเลี้ยงตัวเองนะคะ ต้องใช้เงินภาษีส่วนกลางช่วย"
สรุปง่ายๆว่าจะเล่นพิธา เรื่อง พูดไปเรื่อยเปื่อย โดยไม่รู้ข้อเท็จจริง นั่นแหละ
โดนขุดมาเป็นประเด็นอีก
แต่ประเด็นล่าสุด ผมเข้าใจว่า เพจนั้น จะชี้ไปประเด็นที่ว่า ภาษีที่เกิดในท้องถิ่นอยู่ที่นี่ ไม่จำเป็นต้องให้ กทม.
ซึ่งเพจนั้นเล่นประเด็นตามนี้ "เงินภาษี 3 จังหวัดชายแดนไม่พอเลี้ยงตัวเองนะคะ ต้องใช้เงินภาษีส่วนกลางช่วย"
สรุปง่ายๆว่าจะเล่นพิธา เรื่อง พูดไปเรื่อยเปื่อย โดยไม่รู้ข้อเท็จจริง นั่นแหละ
Sun 27 Oct 2024 : 11:46AM
ผมว่าบ้านเราจะไปคิดว่าเอาเงินในถิ่นนั้น ใช้งานในถิ่นนั้น แบบ แฟร์ๆไม่ได้หรอกครับ เพราะ ผลผลิตมันไม่ได้เฉลี่่ยๆ กัน พวกทีทำได้ มีตัวอย่างที่ดีจะมีแค่ เยอรมัน เท่านั้น ที่แต่ละเมืองมีโรงงาน เด่นด้านอุตสาหกรรม เพราะดั้งเดิมมันเคยเป็นเมืองแยกกัน
บ้านเราเมือง หลวง หรือเมืองชุมสาย มันเอื้อให้สร้างอุตสาหกรรม หรือเป็นชุมสายการค้า ชุมสายเดินทาง ท่องเที่ยวได้ ไอ้พวกที่ไม่มีอะไรเด่นหรือพื้นที่ไม่เอื้ออุตสาหกรรม มันสร้างรายได้ไม่พอบริหารหรอกครับ แล้วก่อนหน้านี้ เขารวมๆเงินมาพัฒนา ชุมเมือง เมืองอุตสาหกรรมก่อน พื้นฐาน โครงสร้างมันต่างกันพื้นที่เสี่ยง แบบ สามจังหวัดภาคใต้แน่ๆ
บ้านเราเมือง หลวง หรือเมืองชุมสาย มันเอื้อให้สร้างอุตสาหกรรม หรือเป็นชุมสายการค้า ชุมสายเดินทาง ท่องเที่ยวได้ ไอ้พวกที่ไม่มีอะไรเด่นหรือพื้นที่ไม่เอื้ออุตสาหกรรม มันสร้างรายได้ไม่พอบริหารหรอกครับ แล้วก่อนหน้านี้ เขารวมๆเงินมาพัฒนา ชุมเมือง เมืองอุตสาหกรรมก่อน พื้นฐาน โครงสร้างมันต่างกันพื้นที่เสี่ยง แบบ สามจังหวัดภาคใต้แน่ๆ
Sun 27 Oct 2024 : 12:37PM
ตอนแรกๆ ผมก็เชื่อที่พี่คนนี้พูดนะ
แต่เวลาผ่านไปนานๆเข้า พรรคนี้พูดอะไรทีก็เพื่อคะแนนของพรรคตัวเอง พูดง่ายนะครับ ทำยากกว่าแบบเทียบกันไม่ได้
พอได้คะแนนมาก็เอาคะแนนนี้ไปทำสิ่งที่ตัวเองอยากได้อยากทำเช่นนโยบายยกเลิก 112 หรือล้มสถาบันตามที่ผู้ก่อตั้งพรรคอยากได้ใฝ่ฝันแค่นั้น (อันนี้ฟ้องไม่ได้นะ เพราะที่พรรคนี้โดนยุบๆ ไปก็มีคำตัดสินมาชัดเจนแล้ว)
พรรคนี้ต่างจากแม้ว คือมันเอาคะแนนเปลี่ยนเป็นเงิน
พรรคนี้เอาคะแนน เปลี่ยนเป็นทำตามอุดมการณ์ที่เองใฝ่ฝัน
ผม Respect คนที่มีความฝันทุกคนที่ไม่ยอมแพ้ต่ออุปสรรคนะ
แต่เวลาผ่านไปนานๆเข้า พรรคนี้พูดอะไรทีก็เพื่อคะแนนของพรรคตัวเอง พูดง่ายนะครับ ทำยากกว่าแบบเทียบกันไม่ได้
พอได้คะแนนมาก็เอาคะแนนนี้ไปทำสิ่งที่ตัวเองอยากได้อยากทำเช่นนโยบายยกเลิก 112 หรือล้มสถาบันตามที่ผู้ก่อตั้งพรรคอยากได้ใฝ่ฝันแค่นั้น (อันนี้ฟ้องไม่ได้นะ เพราะที่พรรคนี้โดนยุบๆ ไปก็มีคำตัดสินมาชัดเจนแล้ว)
พรรคนี้ต่างจากแม้ว คือมันเอาคะแนนเปลี่ยนเป็นเงิน
พรรคนี้เอาคะแนน เปลี่ยนเป็นทำตามอุดมการณ์ที่เองใฝ่ฝัน
ผม Respect คนที่มีความฝันทุกคนที่ไม่ยอมแพ้ต่ออุปสรรคนะ
Sun 27 Oct 2024 : 1:01PM
fact check ภาษาอะไร ไม่เอาข้อมูลเท็จจริงมางัดค้าน ถ้าทำได้แค่นี้ควรปิดแอคเค้าไปนะ
ละผมถามหน่อยสามจังหวัดที่ว่ามา ถ้าใช้แค่ภาษีตัวเองพัฒนาส่วนต่างที่ต้องเอามาเติม หาจากไหนครับ
อีกอย่างมันก็มีภาษีที่ท้องถิ่นจัดเก็บอยู่แล้วนะ
ละผมถามหน่อยสามจังหวัดที่ว่ามา ถ้าใช้แค่ภาษีตัวเองพัฒนาส่วนต่างที่ต้องเอามาเติม หาจากไหนครับ
อีกอย่างมันก็มีภาษีที่ท้องถิ่นจัดเก็บอยู่แล้วนะ
[Edited 1 times Pompoko - Last Edit 2024-10-27 13:02:49]
Sun 27 Oct 2024 : 1:09PM
Pompoko wrote:
fact check ภาษาอะไร ไม่เอาข้อมูลเท็จจริงมางัดค้าน ถ้าทำได้แค่นี้ควรปิดแอคเค้าไปนะ
ละผมถามหน่อยสามจังหวัดที่ว่ามา ถ้าใช้แค่ภาษีตัวเองพัฒนาส่วนต่างที่ต้องเอามาเติม หาจากไหนครับ
อีกอย่างมันก็มีภาษีที่ท้องถิ่นจัดเก็บอยู่แล้วนะ
ละผมถามหน่อยสามจังหวัดที่ว่ามา ถ้าใช้แค่ภาษีตัวเองพัฒนาส่วนต่างที่ต้องเอามาเติม หาจากไหนครับ
อีกอย่างมันก็มีภาษีที่ท้องถิ่นจัดเก็บอยู่แล้วนะ
เขากำลังทำข้อมูลสรุปประเด็นทั้งหมดให้อยู่ครับ แต่จริงๆ ก็จะอยู่ใน link นโยบายทั้งหมดที่แนบไป เช่นกัน ผมแค่แชร์มาเพราะเห็ยมีแชร์จากโพสของเพจนี้
“ พรุ่งนี้จะเขียนอธิบายเป็น #explainerPPLE แบบพยายามสรุปสั้นๆให้อ่านกันนะครับ”
เข้าใจว่า คงมีคำถาม เอ๊ะทำไมไม่สรุปมาแล้วโพสไปเลยละ อันนี้อาจจะต้องลองเข้าไปถามในเพจโดยตรงได้เลยครับ
Sun 27 Oct 2024 : 1:30PM
Sun 27 Oct 2024 : 3:20PM
Pompoko wrote:
เห็นทาง แอคเค้า แปะรูปอยู่นะครับ
เดี๋ยวรอทางเขาสรุปดูก็ได้ครับ ผมก็รออ่านสรุปดูอีกทีครับ
ปล. โพสพี่ทิมเนี้ยทำให้กระทู้กลับมาได้คึกคักดีจริงๆ
# Sun 27 Oct 2024 : 8:54AM
กระทู้สด ถาม รมต.คมนาคม การคิดเก็บ #ค่าธรรมเนียมรถติด จะแก้ปัญหารถติด ตรงจุดหรือไม่ หรือ เน้นแค่หาเงินเวนคืนรถไฟฟ้า?
ถ้ารัฐบาลจะแก้รถติด ต้องปรับปรุง #ระบบขนส่งมวลชนสาธารณะ ทั้งระบบให้เป็นทางเลือกที่ดีกับประชาชนให้ได้
.
ก่อนอื่นต้องบอกว่า ตัวผมสนับสนุนการใช้ระบบขนส่งมวลชนสาธารณะ, การลดการใช้รถยนต์ส่วนตัวเพื่อแก้ปัญหารถติด, การลดค่าใช้จ่ายของระบบขนส่งมวลชน และผมทราบดีว่าหลายประเทศที่เจริญแล้ว อย่างสิงคโปร์, สหราชอาณาจักร ที่กรุงลอนดอน หรือ ประเทศอิตาลี เมืองมิลานได้ มีการเก็บค่าธรรมเนียมรถติด (#CongestionCharge) และสามารถแก้ปัญหารถติดได้จริง
.
ค่าธรรมเนียมรถติด (Congestion Charge) คือ การเก็บภาษีเพื่อแก้ปัญหาการจราจรติดขัด โดยเก็บจากผู้ใช้รถยนต์ส่วนตัวที่ขับผ่านไปยังบริเวณที่มีการจราจรคับคั่ง (ใจกลางเมือง) เป็นการเพิ่มต้นทุนให้ผู้ใช้รถยนต์ส่วนตัว และบีบให้หันไปใช้ระบบขนส่งสาธารณะมากขึ้น
.
อย่าง กรุงลอนดอน จะพบว่าค่าธรรมเนียมรถติดถือว่าสูง เมื่อเทียบกับค่าใช้จ่ายในการใช้บริหารขนส่งสาธารณะ และการที่ขนส่งสาธารณะมีค่าใช้จ่ายที่ถูกกว่ารถยนต์ส่วนตัว แถมเดินทางได้เร็วกว่าและตรงเวลาอย่างชัดเจน ทำให้คนย้ายไปใช้ขนส่งสาธารณะมากขึ้น
.
โดยหัวใจสำคัญของขนส่งสาธารณะของกรุงลอนดอน คือ
(1) Accessibility หรือพื้นที่ในการครอบคลุมที่มหาศาลและเข้าถึงได้ง่าย
(2) Connectivity คือความสะดวกสบาย สามารถเปลี่ยนสายได้ง่ายและมีระบบตั๋วร่วม
(3) Affordability คือราคาที่จับต้องได้ และ
(4) Reliability คือความไว้ใจได้ ตรงเวลา
ดังนั้น เหตุผลที่ค่าธรรมเนียมรถติดทำสำเร็จและลดการใช้รถส่วนตัวได้จริง ทำให้คนหันมาใช้ขนส่งสาธารณะได้เยอะ ลด PM2.5 ได้จริง กุญแจสำคัญคือการมีระบบขนส่งมวลชนสาธารณะรองรับที่ดี
.
แต่ของประเทศไทย ระบบขนส่งสาธารณะของเราไม่สามารถทำแบบนั้นได้ เพราะการเดินทางโดยขนส่งสาธารณะจะใช้เวลามากกว่าการเดินทางโดยรถยนต์ 2-3 เท่า
.
ดังที่ยกตัวอย่างเดินทางจากบ้านไปสภา หรือบ้านเข้าเมือง ปัญหาตรงนี้ทำให้ แม้จะเก็บค่าธรรมเนียมรถติด แต่ไม่อาจสร้างแรงจูงใจมากพอ ให้คนเปลี่ยนไปใช้ขนส่งสาธารณะ แต่เป็นการบีบให้ประชาชนจ่ายเงินเพิ่มขึ้นเสียมากกว่า
.
เพราะตามหลักเศรษฐศาสตร์ นี่คือปัญหาของการเกิดสภาวะ Inelastic demand ของการใช้รถยนต์ส่วนตัว แม้ว่าจะมีค่าใช้จ่ายเพิ่มมากขึ้น แต่ความต้องการในการใช้รถยนต์ส่วนตัวจะไม่ลดลงมาก เพราะคนไม่มีทางเลือก สุดท้ายต้องใช้รถยนต์ส่วนตัวเหมือนเดิม
.
และถึงแม้จะมีการทำรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย ซึ่งแน่นอน การทำให้ค่ารถไฟฟ้าถูกลงเป็นสิ่งที่ดี และผมสนับสนุน
.
แต่ต้องบอกว่า ถ้าเราอยากเปลี่ยนให้ คนที่บ้านอยู่ในซอย ไม่มีรถไฟฟ้าผ่านหน้าบ้าน จากที่ใช้รถยนต์ส่วนตัว เปลี่ยนมาใช้ระบบขนส่งมวลชนสาธารณะ feeder ต่างๆ โดยยอมเดินทางหลายต่อ เพื่อไปขึ้นรถไฟฟ้า ลำพังการลดแค่เฉพาะค่ารถไฟฟ้า แต่ไม่พัฒนาระบบขนส่งมวลชน จะเปลี่ยนคนไม่ได้
.
คำถามที่ 1
เป้าหมายของรัฐบาลคือการแก้ปัญหา รถติด หรือการหาเงินเวนคืนรถไฟฟ้ากันแน่?
.
เพราะถ้าเป้าหมายของรัฐบาล จริงๆคือการแก้ปัญหารถติดในกทม. การเก็บภาษีรถติด ไม่ใช่แนวทางแก้ปัญหาที่ตรงจุด และเป็นกระบวนการที่ทำเร็วเกินไป
.
ณ วันนี้ รัฐบาลควรไปเน้นแก้ปัญหาขนส่งมวลชนสาธารณะทั้งระบบให้พร้อม แล้วถึงค่อยเก็บภาษีรถติด
.
คำถามที่ 2
รัฐบาลบอกเก็บ 2 แสนล้าน เพื่อเวนคืนรถไฟฟ้า แต่เราไม่เคยชี้แจงที่มาว่าคำนวณอย่างไร สายละกี่บาท โดยขอให้ไล่เรียงตั้งแต่
-สายสีชมพูกับสีเหลือง ที่เอกชนลงทุนสายละ 50,000 ล้านบาทแล้วขาดทุน รัฐบาลจะเวนคืนด้วยเงินกี่ล้าน?
-สายสีเขียวที่จะหมดสัมปทานในปี 2572 เราจะยังเวนคืนอยู่หรือไม่ ด้วยเงินเท่าไร?
-สายสีน้ำเงิน เพิ่งมีการประเคนสัมปทานไปถึงปี 2592 ในสมัย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ถ้าเราจะขอสัมปทานคืน ต้องจ่ายเงินให้เขาหรือไม่ ถ้าต้องจ่ายก็เท่ากับเสียค่าโง่ หาเงินให้เอกชนใช้ฟรีๆ หรือไม่ เพราะไปเวนคืนซื้อสัมปทานที่รัฐเพิ่งขยายให้เอกชนไป
.
คำถามที่ 3
จากกรณีรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินที่มีการขยายสัมปทาน หรือ
.
กรณีทางด่วน ดอนเมืองโทลเวย์ หรือ กรณีทางด่วนสองชั้น (double deck) ที่เอกชนลงทุน 30,000 ล้าน แต่รัฐบาลจะแลกกับขยายสัมปทานทางด่วนศรีรัชเพิ่ม 22.5 ปี ประเคนเงินให้เอกชน เป็นแสนล้าน โดยไม่มีการแข่งขัน หรือ
.
ร่าง พ.ร.บ.การขนส่งทางราง ของพรรคเพื่อไทยที่คุ้มครองประชานน้อยกว่าและไม่เน้นตรวจสอบผู้ประกอบการรถไฟ
.
คำถามคือ ทำไมกระทรวงคมนาคมภายใต้รัฐมนตรีของพรรคเพื่อไทย เหมือนจะวนเวียนอยู่กับการหาเงินและการดีลสัมปทานกับบริษัทนายทุน ไม่ว่าจะเป็นบริษัทรถไฟฟ้าหรือบริษัททางด่วน โดยไม่ได้เน้นการแก้ปัญหาที่ให้ประชาชนต้นตออย่างแท้จริง?
ต้นโพส [Link]
ถ้ารัฐบาลจะแก้รถติด ต้องปรับปรุง #ระบบขนส่งมวลชนสาธารณะ ทั้งระบบให้เป็นทางเลือกที่ดีกับประชาชนให้ได้
.
ก่อนอื่นต้องบอกว่า ตัวผมสนับสนุนการใช้ระบบขนส่งมวลชนสาธารณะ, การลดการใช้รถยนต์ส่วนตัวเพื่อแก้ปัญหารถติด, การลดค่าใช้จ่ายของระบบขนส่งมวลชน และผมทราบดีว่าหลายประเทศที่เจริญแล้ว อย่างสิงคโปร์, สหราชอาณาจักร ที่กรุงลอนดอน หรือ ประเทศอิตาลี เมืองมิลานได้ มีการเก็บค่าธรรมเนียมรถติด (#CongestionCharge) และสามารถแก้ปัญหารถติดได้จริง
.
ค่าธรรมเนียมรถติด (Congestion Charge) คือ การเก็บภาษีเพื่อแก้ปัญหาการจราจรติดขัด โดยเก็บจากผู้ใช้รถยนต์ส่วนตัวที่ขับผ่านไปยังบริเวณที่มีการจราจรคับคั่ง (ใจกลางเมือง) เป็นการเพิ่มต้นทุนให้ผู้ใช้รถยนต์ส่วนตัว และบีบให้หันไปใช้ระบบขนส่งสาธารณะมากขึ้น
.
อย่าง กรุงลอนดอน จะพบว่าค่าธรรมเนียมรถติดถือว่าสูง เมื่อเทียบกับค่าใช้จ่ายในการใช้บริหารขนส่งสาธารณะ และการที่ขนส่งสาธารณะมีค่าใช้จ่ายที่ถูกกว่ารถยนต์ส่วนตัว แถมเดินทางได้เร็วกว่าและตรงเวลาอย่างชัดเจน ทำให้คนย้ายไปใช้ขนส่งสาธารณะมากขึ้น
.
โดยหัวใจสำคัญของขนส่งสาธารณะของกรุงลอนดอน คือ
(1) Accessibility หรือพื้นที่ในการครอบคลุมที่มหาศาลและเข้าถึงได้ง่าย
(2) Connectivity คือความสะดวกสบาย สามารถเปลี่ยนสายได้ง่ายและมีระบบตั๋วร่วม
(3) Affordability คือราคาที่จับต้องได้ และ
(4) Reliability คือความไว้ใจได้ ตรงเวลา
ดังนั้น เหตุผลที่ค่าธรรมเนียมรถติดทำสำเร็จและลดการใช้รถส่วนตัวได้จริง ทำให้คนหันมาใช้ขนส่งสาธารณะได้เยอะ ลด PM2.5 ได้จริง กุญแจสำคัญคือการมีระบบขนส่งมวลชนสาธารณะรองรับที่ดี
.
แต่ของประเทศไทย ระบบขนส่งสาธารณะของเราไม่สามารถทำแบบนั้นได้ เพราะการเดินทางโดยขนส่งสาธารณะจะใช้เวลามากกว่าการเดินทางโดยรถยนต์ 2-3 เท่า
.
ดังที่ยกตัวอย่างเดินทางจากบ้านไปสภา หรือบ้านเข้าเมือง ปัญหาตรงนี้ทำให้ แม้จะเก็บค่าธรรมเนียมรถติด แต่ไม่อาจสร้างแรงจูงใจมากพอ ให้คนเปลี่ยนไปใช้ขนส่งสาธารณะ แต่เป็นการบีบให้ประชาชนจ่ายเงินเพิ่มขึ้นเสียมากกว่า
.
เพราะตามหลักเศรษฐศาสตร์ นี่คือปัญหาของการเกิดสภาวะ Inelastic demand ของการใช้รถยนต์ส่วนตัว แม้ว่าจะมีค่าใช้จ่ายเพิ่มมากขึ้น แต่ความต้องการในการใช้รถยนต์ส่วนตัวจะไม่ลดลงมาก เพราะคนไม่มีทางเลือก สุดท้ายต้องใช้รถยนต์ส่วนตัวเหมือนเดิม
.
และถึงแม้จะมีการทำรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย ซึ่งแน่นอน การทำให้ค่ารถไฟฟ้าถูกลงเป็นสิ่งที่ดี และผมสนับสนุน
.
แต่ต้องบอกว่า ถ้าเราอยากเปลี่ยนให้ คนที่บ้านอยู่ในซอย ไม่มีรถไฟฟ้าผ่านหน้าบ้าน จากที่ใช้รถยนต์ส่วนตัว เปลี่ยนมาใช้ระบบขนส่งมวลชนสาธารณะ feeder ต่างๆ โดยยอมเดินทางหลายต่อ เพื่อไปขึ้นรถไฟฟ้า ลำพังการลดแค่เฉพาะค่ารถไฟฟ้า แต่ไม่พัฒนาระบบขนส่งมวลชน จะเปลี่ยนคนไม่ได้
.
คำถามที่ 1
เป้าหมายของรัฐบาลคือการแก้ปัญหา รถติด หรือการหาเงินเวนคืนรถไฟฟ้ากันแน่?
.
เพราะถ้าเป้าหมายของรัฐบาล จริงๆคือการแก้ปัญหารถติดในกทม. การเก็บภาษีรถติด ไม่ใช่แนวทางแก้ปัญหาที่ตรงจุด และเป็นกระบวนการที่ทำเร็วเกินไป
.
ณ วันนี้ รัฐบาลควรไปเน้นแก้ปัญหาขนส่งมวลชนสาธารณะทั้งระบบให้พร้อม แล้วถึงค่อยเก็บภาษีรถติด
.
คำถามที่ 2
รัฐบาลบอกเก็บ 2 แสนล้าน เพื่อเวนคืนรถไฟฟ้า แต่เราไม่เคยชี้แจงที่มาว่าคำนวณอย่างไร สายละกี่บาท โดยขอให้ไล่เรียงตั้งแต่
-สายสีชมพูกับสีเหลือง ที่เอกชนลงทุนสายละ 50,000 ล้านบาทแล้วขาดทุน รัฐบาลจะเวนคืนด้วยเงินกี่ล้าน?
-สายสีเขียวที่จะหมดสัมปทานในปี 2572 เราจะยังเวนคืนอยู่หรือไม่ ด้วยเงินเท่าไร?
-สายสีน้ำเงิน เพิ่งมีการประเคนสัมปทานไปถึงปี 2592 ในสมัย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ถ้าเราจะขอสัมปทานคืน ต้องจ่ายเงินให้เขาหรือไม่ ถ้าต้องจ่ายก็เท่ากับเสียค่าโง่ หาเงินให้เอกชนใช้ฟรีๆ หรือไม่ เพราะไปเวนคืนซื้อสัมปทานที่รัฐเพิ่งขยายให้เอกชนไป
.
คำถามที่ 3
จากกรณีรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินที่มีการขยายสัมปทาน หรือ
.
กรณีทางด่วน ดอนเมืองโทลเวย์ หรือ กรณีทางด่วนสองชั้น (double deck) ที่เอกชนลงทุน 30,000 ล้าน แต่รัฐบาลจะแลกกับขยายสัมปทานทางด่วนศรีรัชเพิ่ม 22.5 ปี ประเคนเงินให้เอกชน เป็นแสนล้าน โดยไม่มีการแข่งขัน หรือ
.
ร่าง พ.ร.บ.การขนส่งทางราง ของพรรคเพื่อไทยที่คุ้มครองประชานน้อยกว่าและไม่เน้นตรวจสอบผู้ประกอบการรถไฟ
.
คำถามคือ ทำไมกระทรวงคมนาคมภายใต้รัฐมนตรีของพรรคเพื่อไทย เหมือนจะวนเวียนอยู่กับการหาเงินและการดีลสัมปทานกับบริษัทนายทุน ไม่ว่าจะเป็นบริษัทรถไฟฟ้าหรือบริษัททางด่วน โดยไม่ได้เน้นการแก้ปัญหาที่ให้ประชาชนต้นตออย่างแท้จริง?
ต้นโพส [Link]
View all 2 comments >
Sun 27 Oct 2024 : 11:11AM
ก็กลับไปปัญหาเดิม เราจะเร่งสร้างระบบรถไฟฟ้าให้เสร็จก่อน หรือจะตัดเนื้อหมูมาแปะเนื้อหมา เอาเงินมาอุดหนุนประชานิยม แล้วก็ยืดการสร้างรถไฟฟ้าสายต่อไปออกไปเรื่อยๆ
ยี้ นี่ก็เป็นอีกเหตุผลนึงที่ผมชอบรัฐบาลเผด็จการมากกว่า พอไอ้พวกเผด็จการมันไม่สนใจเรื่องคะแนนเสียง มันเลยจัดการเรื่องบางเรื่องได้ดีกว่า อย่างธรรมกายหรือสะพานเหล็ก ของแบบนี้รัฐบาลปชต.จะไม่แตะหรอก เค้ากลัวเสียคะแนนนิยม
ยี้ นี่ก็เป็นอีกเหตุผลนึงที่ผมชอบรัฐบาลเผด็จการมากกว่า พอไอ้พวกเผด็จการมันไม่สนใจเรื่องคะแนนเสียง มันเลยจัดการเรื่องบางเรื่องได้ดีกว่า อย่างธรรมกายหรือสะพานเหล็ก ของแบบนี้รัฐบาลปชต.จะไม่แตะหรอก เค้ากลัวเสียคะแนนนิยม
Sun 27 Oct 2024 : 1:04PM
ถ้าจัดเก็บค่าเข้าเมืองมันสุดไป เริ่มจากค่าจอดตามทางก่อนไหม แบบชาร์จโหดๆ ชมละ 100 ไปเลย
# Sun 27 Oct 2024 : 5:54PM
ขออนุญาติ ยกโพส มาข้างนอกนะครับเรื่อง คลิปพิธาพูดนะครับ
#FactCheck
ก่อนอื่นขอเริ่มจาก 1.ความถูกต้องเหมาะสมของข้อมูลครับ
ตามโพสต์ที่ให้ข้อมูลว่า (รูปที่หนึ่ง)
ภาษีที่จัดเก็บได้
ยะลา - 5.19 พันล้าน
ปัตตานี - 6.8 พันล้าน
นราธิวาส - 6.77 พันล้าน
.
งบประมาณที่ได้
ยะลา - 9.08 พันล้าน
ปัตตานี - 9.44 พันล้าน
นราธิวาส - 8.17 พันล้าน
ข้อเท็จจริงคือ
ข้อมูลส่วนแรกไม่ใช่ภาษีที่จัดเก็บได้ แต่คือ “ที่มารายได้รวมท้องถิ่นรายจังหวัด” ซึ่งหมายถึง เงินที่ “องค์การปกครองส่วนท้องถิ่น” ในแต่ละจังหวัดได้ ประกอบด้วย เงินอุดหนุน รัฐจัดสรร และที่จัดเก็บเองได้ (ข้อมูลจาก ระบบข้อมูลการใช้จ่ายภาครัฐ: govspending.data.go.th/dashboard/7 สามารถกดดูรายจังหวัดได้)
ข้อมูลส่วนที่สองก็ไม่ใช่งบประมาณในรูปแบบเดียวกัน จึงเปรียบเทียบกันได้ยาก เพราะเป็นชุดข้อมูลของ งบประมาณรายพื้นที่จังหวัด ที่เป็น Area based (ข้อมูลของสำนักงบประมาณ: bb.go.th/web/budget/pro…) คือบอกว่าในพื้นที่นี้ มีงบทั้งหมดทุกหน่วยงาน ทุกโครงการ เท่าไหร่บ้าง ซึ่งต่างจากชุดข้อมูลแรกที่เป็นข้อมูลสำหรับ อปท. เท่านั้น
และแน่นอนว่าข้อมูลส่วนแรกไม่ใช่ ภาษีที่จัดเก็บได้…
ทำไมจึงใช้เทียบกันไม่ได้ จะขอยกตัวอย่างจังหวัดนนทบุรีครับ
ลองกดดู ที่มารายได้รวมท้องถิ่นของจังหวัดนนทบุรี (ที่ในโพสต์ต้นทางบอกว่าเป็นภาษีที่จัดเก็บได้) ได้รับทั้งหมด 14,767 ล้านบาท ก็ถือว่าเยอะเพราะได้รับมากเป็นอันดับที่ 9 ของประเทศ(ในปีงบ 66) แต่ไม่ได้ห่างแบบหลายเท่าเมื่อเทียบกับจังหวัดอื่น (รูปที่สอง)
แต่เมื่อมาดูในฐานข้อมูลส่วนที่สอง งบประมาณรายพื้นที่จังหวัด (ที่ในโพสต์ต้นทางบอกว่าเป็นงบประมาณที่ได้) จะพบว่านนทบุรีได้รับถึง 251,842,669,200 ล้านบาท! (รูปที่สาม)
ทำไมงบที่ อปท.ในนนทบุรีได้หมื่นกว่าล้าน มากเป็นอันดับ 9 ของประเทศ ถึงได้แตกต่างกับงบที่ลงในเขตพื้นที่จังหวัดนนทบุรีขนาดนั้น ตั้งสองแสนห้าหมื่นล้าน?
คำตอบคือ ข้อมูลในส่วนที่สอง ไม่ได้จำแนกว่าลงไปที่ใดบ้าง เป็นข้อมูล Area based ที่รวมทุกอย่างมาทั้งหมด และสาเหตุที่จำนวนเงินต่างกันขนาดนั้น ก็เพราะในจังหวัดนนทบุรีมีหน่วยราชการส่วนกลางอยู่หลายแห่ง เช่น กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงพาณิชย์ กรมการแพทย์ สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน สำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม ฯลฯ
งบประมาณที่ลงไปยังหน่วยงานส่วนกลางเหล่านั้นก็จะถูกนับรวมอยู่ใน งบประมาณรายพื้นที่จังหวัดนนทบุรีนี้ด้วย ดังนั้นจึงไม่สามารถเปรียบเทียบกับข้อมูลส่วนแรกที่เป็นรายได้รวมท้องถิ่นรายจังหวัด
2. สามจังหวัดชายแดนใต้เก็บรายได้ได้น้อย กระจายอำนาจแล้วจะไม่รอด?
ขอยกตัวอย่างจังหวัดยะลา ที่มารายได้รวมท้องถิ่นของจังหวัดยะลาอยู่ที่ 5,192 ล้านบาท (รูปที่สี่ สังเกตุตัวเลขตรงกับต้นโพสต์) จะเห็นได้ว่าในรายได้ส่วนนี้มีทั้ง เงินอุดหนุน รัฐจัดสรร และ จัดเก็บเอง
คำถามตรงนี้ คือ จังหวัดยะลาจัดเก็บได้น้อยแบบนี้ ถ้ากระจายอำนาจไป จะเลี้ยงตัวเองไม่ได้ใช่หรือไม่?
ต้องบอกว่าเป็นการตั้งคำถามที่ผิด อาจเพราะไม่เข้าใจเรื่องการจัดเก็บภาษีและการบริหารการคลัง
คือไม่มีท้องถิ่นที่ไหนในประเทศไทยเลยซักแห่งที่จัดเก็บรายได้เองได้เพียงพอต่อค่าใช้จ่าย ตัวอย่างที่จัดเก็บได้เยอะ เช่น ภูเก็ต เก็บได้ 28.77% ของรายได้ พัทยา 22.68% ระยอง 18.28%, กทม. 17.15%
ส่วนจังหวัดอื่นๆ ที่อาจจะห่างไกลหน่อยหรือมีควาามเป็นเมืองน้อยกว่าก็ไม่ต่างกันมาก เช่น ยะลา 4.07%, ปัตตานี 2.92%, นราธิวาส 2.39%, อำนาจเจริญ 3.18%, น่าน 3.70%, เลย 3.61% เป็นต้น
เป็นเรื่องปกติที่ส่วนกลางต้องให้เงินท้องถิ่นเพราะส่วนกลางนั้นผูกขาดการหารายได้เอาไว้แทบทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT), ภาษีสรรพสามิต, ภาษีศุลกากร ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาและนิติบุคคล ค่าภาคหลวงแร่และค่าภาคหลวงปิโตรเลียม ฯลฯ เหล่านี้คือรายได้หลักของรัฐที่เก็บเข้าสู่ส่วนกลาง แล้วในบางแหล่งรายได้จะค่อยแบ่งกลับมาให้ท้องถิ่นต่างๆ ตามสัดส่วนที่กำหนดกันไว้อีกรอบหนึ่ง ซึ่งส่วนนี้คืออยู่ในส่วนของงบท้องถิ่นที่รัฐจัดสรร
ซึ่งในกรณีนี้ก็มีปัญหา เพราะตาม พ.ร.บ.กำหนดแผนและขั้นตอนการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ. 2542 ก็กำหนดสัดส่วนที่จะให้ส่วนกลาางแบ่งให้ท้องถิ่นแต่ละที่อย่างหยาบเกินไป ไม่ตอบสนองต่อความเหลื่อมล้ำเชิงพื้นที่ และที่สำคัญคือยังน้อยเกินไป
โดยที่ท้องถิ่นมีอำนาจจัดเก็บรายได้ที่จำกัดมาก เช่น ภาษีบำรุงท้องที่ ภาษีโรงเรือนและที่ดิน ภาษีป้าย และค่าธรรมเนียมค่าใบอนุญาตบางประเภทเท่านั้น ซึ่งนับเป็นจำนวนเงินอย่างไรก็ไม่เพียงพอ
อีกแบบหนึ่งคือเงินอุดหนุนตามงบประมาณ ที่มีทั้งทั่วไปและเฉพาะกิจตามนโยบายของรัฐบาล ส่วนกลางให้ท้องถิ่นเพื่อเติมให้เพียงพอ บางครั้งก็เป็นงบฝาก ที่ท้องถิ่นทำอะไรไม่ได้นอกจากส่งต่อให้ประชาชน เช่น เงินคนชรา ส่วนเฉพาะกิจอาจมีลักษณะให้เพื่อให้ท้องถิ่นทำโครงการตามมนโยบายของรัฐบาลนั้นๆ
โดยสรุป รายได้ของท้องถิ่นของประเทศไทยจะมีสัดส่วนโดยประมาณ คือ งบที่ท้องถิ่นจัดเก็บเอง ประมาณ 10% งบที่รัฐจัดสรร (รัฐจัดเก็บแล้วแบ่งให้) ประมาณ 50% และ เงินอุดหนุนผ่านงบประมาณแผ่นดิน ประมาณ 40%
ซึ่งเมื่อต้องการรู้ว่าท้องถิ่นได้งบประมาณพอหรือไม่ ต้องไปดูสัดส่วนงบที่ลงสู่ท้องถิ่นในแต่ละปี โดยรัฐสัญญาไว้ว่าจะมีสัดส่วน 35% แต่ในความเป็นจริง ยังอยู่ที่ 29% แถวๆ นี้มาเป็นสิบปีแล้ว ไม่มีการขยับขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ มิหนำซ้ำงบส่วนหนึ่งยังเป็น “งบฝาก” ที่รัฐฝากให้ท้องถิ่นทำงานแทนเท่านั้น แต่ก็นำมาคิดรวมด้วย ทำให้งบประมาณที่ท้องถิ่นได้จริงๆ ยิ่งน้อยกว่าเป้าหมายลงไปมาก ส่งผลให้การกระจายอำนาจยังไม่เดินหน้าได้ซักเท่าไหร่
ดังนั้นการบอกว่าเงินภาษีใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ไม่พอเลี้ยงตัวเอง จึงไม่มีความหมาย เป็นการพูดโดยไม่เข้าใจบริบท เพราะไม่มีท้องถิ่นใดเลยในประเทศไทยที่เก็บรายได้พอเลี้ยงตัวเอง เนื่องจากส่วนกลางเป็นคนจัดเก็บรายได้หลักแล้วถึงค่อยแบ่งให้ท้องถิ่น ท้องถิ่นเก็บภาษีหลักๆ เองไม่ได้
พรรคก้าวไกลในเวลานั้นจึงมีนโยบายเรื่องกระจายอำนาจเพื่อแก้ไขปัญหา เช่น
- เลือกตั้งผู้ว่าฯ(นายกจังหวัด) ทุกจังหวัด ปรับโครงสร้างให้หัวหน้าจังหวัดมีคนเดียว จากตอนนี้ที่มีสองคือ ผู้ว่าฯ ที่ได้รับการแต่งตั้งมา และนายก อบจ. ที่ได้รับการเลือกตั้งมา (แต่โดยอำนาจแล้วผู้ว่าฯ จากการแต่งตั้งมีอำนาจมากกว่า นายก อบจ.) โดยผ่านการทำประชามติ และไม่มีใครต้องตกงาน เพราะมีแผนในการเปลี่ยนสังกัดของข้าราชการที่ชัดเจน
- เพิ่มงบท้องถิ่นให้เข้าใกล้เป้าหมายที่ 35% ให้เร็วที่สุด ภายในสี่ปี งบของ อบจ. จะเพิ่มขึ้นโดยเฉลี่ย 250 ล้านบาท ต่อจังหวัด งบของ เทศบาลนคร-เทศบาลเมือง จะเพิ่มขึ้นโดยเฉลี่ย 100 ล้านบาทต่อเมือง งบของ เทศบาลตำบล-อบต. จะเพิ่มขึ้นโดยเฉลี่ย 20 ล้านบาทต่อตำบล งบของ กทม. จะเพิ่มขึ้น 3,300 ล้านบาท งบของ พัทยา จะเพิ่มขึ้น 50 ล้านบาท
- ปลดล็อกให้ท้องถิ่นมีอำนาจหารายได้ผ่านช่องทางใหม่ โดยไม่ต้องขออนุญาตจากส่วนกลาง เช่น กู้เงิน ออกพันธบัตร ร่วมทุนเอกชน ตั้งสหการ สร้างวิสาหกิจท้องถิ่นเอง
- ท้องถิ่นจัดทำบริการสาธารณะได้ทั้งหมด ยกเว้น ทหาร-ศาล-เงินตรา-การต่างประเทศ โดยกำหนดหลักการว่าอำนาจและหน้าที่ในการจัดทำบริการสาธารณะในพื้นที่ (เช่น ถนน ขนส่ง ขยะ ไฟฟ้า ประปา โรงเรียน โรงพยาบาล) เป็นของท้องถิ่น โดยรัฐส่วนกลางมีเพียงบทบาทในการกำหนดมาตรฐานระดับประเทศ และออกแบบตัวชี้วัดเพื่อประเมิน-วัดผลการจัดทำบริการสาธารณะของท้องถิ่น
- ยกเลิกกฎระเบียบและคำสั่ง คสช. ที่ล็อกคอ-ล้วงลูกท้องถิ่น เพราะปัจจุบันมีกฎระเบียบที่ทำให้ท้องถิ่นทำงานได้ยากลำบาก และเมื่อมีข้อพิพาท ผลที่ตามมามักไม่เป็นคุณกับท้องถิ่น
และอื่นๆ อีกมากมายที่จะต้องอธิบายกันอีกยาวครับ และพรรคประชาชนก็จะขับเคลื่อนเรื่องการกระจายอำนาจในทิศทางเดียวกันกับพรรคก้าวไกลต่อไป
อย่างไรก็ตาม การตัดคลิปสั้นมาแค่ไม่กี่วินาทีมาวิพากษ์วิจารณ์ด้วยข้อมูลที่ไม่เกี่ยวข้องกัน และตัวผู้เขียนเองก็ไม่มีความรู้ด้านนี้ อาจก่อให้เกิดความเสียหายต่อผู้อื่นได้ โปรดกระทำด้วยความระมัดระวังครับ
#FactCheckPPLE #explainerPPLE #กระจายอำนาจ
[Link]
#FactCheck
ก่อนอื่นขอเริ่มจาก 1.ความถูกต้องเหมาะสมของข้อมูลครับ
ตามโพสต์ที่ให้ข้อมูลว่า (รูปที่หนึ่ง)
ภาษีที่จัดเก็บได้
ยะลา - 5.19 พันล้าน
ปัตตานี - 6.8 พันล้าน
นราธิวาส - 6.77 พันล้าน
.
งบประมาณที่ได้
ยะลา - 9.08 พันล้าน
ปัตตานี - 9.44 พันล้าน
นราธิวาส - 8.17 พันล้าน
ข้อเท็จจริงคือ
ข้อมูลส่วนแรกไม่ใช่ภาษีที่จัดเก็บได้ แต่คือ “ที่มารายได้รวมท้องถิ่นรายจังหวัด” ซึ่งหมายถึง เงินที่ “องค์การปกครองส่วนท้องถิ่น” ในแต่ละจังหวัดได้ ประกอบด้วย เงินอุดหนุน รัฐจัดสรร และที่จัดเก็บเองได้ (ข้อมูลจาก ระบบข้อมูลการใช้จ่ายภาครัฐ: govspending.data.go.th/dashboard/7 สามารถกดดูรายจังหวัดได้)
ข้อมูลส่วนที่สองก็ไม่ใช่งบประมาณในรูปแบบเดียวกัน จึงเปรียบเทียบกันได้ยาก เพราะเป็นชุดข้อมูลของ งบประมาณรายพื้นที่จังหวัด ที่เป็น Area based (ข้อมูลของสำนักงบประมาณ: bb.go.th/web/budget/pro…) คือบอกว่าในพื้นที่นี้ มีงบทั้งหมดทุกหน่วยงาน ทุกโครงการ เท่าไหร่บ้าง ซึ่งต่างจากชุดข้อมูลแรกที่เป็นข้อมูลสำหรับ อปท. เท่านั้น
และแน่นอนว่าข้อมูลส่วนแรกไม่ใช่ ภาษีที่จัดเก็บได้…
ทำไมจึงใช้เทียบกันไม่ได้ จะขอยกตัวอย่างจังหวัดนนทบุรีครับ
ลองกดดู ที่มารายได้รวมท้องถิ่นของจังหวัดนนทบุรี (ที่ในโพสต์ต้นทางบอกว่าเป็นภาษีที่จัดเก็บได้) ได้รับทั้งหมด 14,767 ล้านบาท ก็ถือว่าเยอะเพราะได้รับมากเป็นอันดับที่ 9 ของประเทศ(ในปีงบ 66) แต่ไม่ได้ห่างแบบหลายเท่าเมื่อเทียบกับจังหวัดอื่น (รูปที่สอง)
แต่เมื่อมาดูในฐานข้อมูลส่วนที่สอง งบประมาณรายพื้นที่จังหวัด (ที่ในโพสต์ต้นทางบอกว่าเป็นงบประมาณที่ได้) จะพบว่านนทบุรีได้รับถึง 251,842,669,200 ล้านบาท! (รูปที่สาม)
ทำไมงบที่ อปท.ในนนทบุรีได้หมื่นกว่าล้าน มากเป็นอันดับ 9 ของประเทศ ถึงได้แตกต่างกับงบที่ลงในเขตพื้นที่จังหวัดนนทบุรีขนาดนั้น ตั้งสองแสนห้าหมื่นล้าน?
คำตอบคือ ข้อมูลในส่วนที่สอง ไม่ได้จำแนกว่าลงไปที่ใดบ้าง เป็นข้อมูล Area based ที่รวมทุกอย่างมาทั้งหมด และสาเหตุที่จำนวนเงินต่างกันขนาดนั้น ก็เพราะในจังหวัดนนทบุรีมีหน่วยราชการส่วนกลางอยู่หลายแห่ง เช่น กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงพาณิชย์ กรมการแพทย์ สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน สำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม ฯลฯ
งบประมาณที่ลงไปยังหน่วยงานส่วนกลางเหล่านั้นก็จะถูกนับรวมอยู่ใน งบประมาณรายพื้นที่จังหวัดนนทบุรีนี้ด้วย ดังนั้นจึงไม่สามารถเปรียบเทียบกับข้อมูลส่วนแรกที่เป็นรายได้รวมท้องถิ่นรายจังหวัด
2. สามจังหวัดชายแดนใต้เก็บรายได้ได้น้อย กระจายอำนาจแล้วจะไม่รอด?
ขอยกตัวอย่างจังหวัดยะลา ที่มารายได้รวมท้องถิ่นของจังหวัดยะลาอยู่ที่ 5,192 ล้านบาท (รูปที่สี่ สังเกตุตัวเลขตรงกับต้นโพสต์) จะเห็นได้ว่าในรายได้ส่วนนี้มีทั้ง เงินอุดหนุน รัฐจัดสรร และ จัดเก็บเอง
คำถามตรงนี้ คือ จังหวัดยะลาจัดเก็บได้น้อยแบบนี้ ถ้ากระจายอำนาจไป จะเลี้ยงตัวเองไม่ได้ใช่หรือไม่?
ต้องบอกว่าเป็นการตั้งคำถามที่ผิด อาจเพราะไม่เข้าใจเรื่องการจัดเก็บภาษีและการบริหารการคลัง
คือไม่มีท้องถิ่นที่ไหนในประเทศไทยเลยซักแห่งที่จัดเก็บรายได้เองได้เพียงพอต่อค่าใช้จ่าย ตัวอย่างที่จัดเก็บได้เยอะ เช่น ภูเก็ต เก็บได้ 28.77% ของรายได้ พัทยา 22.68% ระยอง 18.28%, กทม. 17.15%
ส่วนจังหวัดอื่นๆ ที่อาจจะห่างไกลหน่อยหรือมีควาามเป็นเมืองน้อยกว่าก็ไม่ต่างกันมาก เช่น ยะลา 4.07%, ปัตตานี 2.92%, นราธิวาส 2.39%, อำนาจเจริญ 3.18%, น่าน 3.70%, เลย 3.61% เป็นต้น
เป็นเรื่องปกติที่ส่วนกลางต้องให้เงินท้องถิ่นเพราะส่วนกลางนั้นผูกขาดการหารายได้เอาไว้แทบทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT), ภาษีสรรพสามิต, ภาษีศุลกากร ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาและนิติบุคคล ค่าภาคหลวงแร่และค่าภาคหลวงปิโตรเลียม ฯลฯ เหล่านี้คือรายได้หลักของรัฐที่เก็บเข้าสู่ส่วนกลาง แล้วในบางแหล่งรายได้จะค่อยแบ่งกลับมาให้ท้องถิ่นต่างๆ ตามสัดส่วนที่กำหนดกันไว้อีกรอบหนึ่ง ซึ่งส่วนนี้คืออยู่ในส่วนของงบท้องถิ่นที่รัฐจัดสรร
ซึ่งในกรณีนี้ก็มีปัญหา เพราะตาม พ.ร.บ.กำหนดแผนและขั้นตอนการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ. 2542 ก็กำหนดสัดส่วนที่จะให้ส่วนกลาางแบ่งให้ท้องถิ่นแต่ละที่อย่างหยาบเกินไป ไม่ตอบสนองต่อความเหลื่อมล้ำเชิงพื้นที่ และที่สำคัญคือยังน้อยเกินไป
โดยที่ท้องถิ่นมีอำนาจจัดเก็บรายได้ที่จำกัดมาก เช่น ภาษีบำรุงท้องที่ ภาษีโรงเรือนและที่ดิน ภาษีป้าย และค่าธรรมเนียมค่าใบอนุญาตบางประเภทเท่านั้น ซึ่งนับเป็นจำนวนเงินอย่างไรก็ไม่เพียงพอ
อีกแบบหนึ่งคือเงินอุดหนุนตามงบประมาณ ที่มีทั้งทั่วไปและเฉพาะกิจตามนโยบายของรัฐบาล ส่วนกลางให้ท้องถิ่นเพื่อเติมให้เพียงพอ บางครั้งก็เป็นงบฝาก ที่ท้องถิ่นทำอะไรไม่ได้นอกจากส่งต่อให้ประชาชน เช่น เงินคนชรา ส่วนเฉพาะกิจอาจมีลักษณะให้เพื่อให้ท้องถิ่นทำโครงการตามมนโยบายของรัฐบาลนั้นๆ
โดยสรุป รายได้ของท้องถิ่นของประเทศไทยจะมีสัดส่วนโดยประมาณ คือ งบที่ท้องถิ่นจัดเก็บเอง ประมาณ 10% งบที่รัฐจัดสรร (รัฐจัดเก็บแล้วแบ่งให้) ประมาณ 50% และ เงินอุดหนุนผ่านงบประมาณแผ่นดิน ประมาณ 40%
ซึ่งเมื่อต้องการรู้ว่าท้องถิ่นได้งบประมาณพอหรือไม่ ต้องไปดูสัดส่วนงบที่ลงสู่ท้องถิ่นในแต่ละปี โดยรัฐสัญญาไว้ว่าจะมีสัดส่วน 35% แต่ในความเป็นจริง ยังอยู่ที่ 29% แถวๆ นี้มาเป็นสิบปีแล้ว ไม่มีการขยับขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ มิหนำซ้ำงบส่วนหนึ่งยังเป็น “งบฝาก” ที่รัฐฝากให้ท้องถิ่นทำงานแทนเท่านั้น แต่ก็นำมาคิดรวมด้วย ทำให้งบประมาณที่ท้องถิ่นได้จริงๆ ยิ่งน้อยกว่าเป้าหมายลงไปมาก ส่งผลให้การกระจายอำนาจยังไม่เดินหน้าได้ซักเท่าไหร่
ดังนั้นการบอกว่าเงินภาษีใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ไม่พอเลี้ยงตัวเอง จึงไม่มีความหมาย เป็นการพูดโดยไม่เข้าใจบริบท เพราะไม่มีท้องถิ่นใดเลยในประเทศไทยที่เก็บรายได้พอเลี้ยงตัวเอง เนื่องจากส่วนกลางเป็นคนจัดเก็บรายได้หลักแล้วถึงค่อยแบ่งให้ท้องถิ่น ท้องถิ่นเก็บภาษีหลักๆ เองไม่ได้
พรรคก้าวไกลในเวลานั้นจึงมีนโยบายเรื่องกระจายอำนาจเพื่อแก้ไขปัญหา เช่น
- เลือกตั้งผู้ว่าฯ(นายกจังหวัด) ทุกจังหวัด ปรับโครงสร้างให้หัวหน้าจังหวัดมีคนเดียว จากตอนนี้ที่มีสองคือ ผู้ว่าฯ ที่ได้รับการแต่งตั้งมา และนายก อบจ. ที่ได้รับการเลือกตั้งมา (แต่โดยอำนาจแล้วผู้ว่าฯ จากการแต่งตั้งมีอำนาจมากกว่า นายก อบจ.) โดยผ่านการทำประชามติ และไม่มีใครต้องตกงาน เพราะมีแผนในการเปลี่ยนสังกัดของข้าราชการที่ชัดเจน
- เพิ่มงบท้องถิ่นให้เข้าใกล้เป้าหมายที่ 35% ให้เร็วที่สุด ภายในสี่ปี งบของ อบจ. จะเพิ่มขึ้นโดยเฉลี่ย 250 ล้านบาท ต่อจังหวัด งบของ เทศบาลนคร-เทศบาลเมือง จะเพิ่มขึ้นโดยเฉลี่ย 100 ล้านบาทต่อเมือง งบของ เทศบาลตำบล-อบต. จะเพิ่มขึ้นโดยเฉลี่ย 20 ล้านบาทต่อตำบล งบของ กทม. จะเพิ่มขึ้น 3,300 ล้านบาท งบของ พัทยา จะเพิ่มขึ้น 50 ล้านบาท
- ปลดล็อกให้ท้องถิ่นมีอำนาจหารายได้ผ่านช่องทางใหม่ โดยไม่ต้องขออนุญาตจากส่วนกลาง เช่น กู้เงิน ออกพันธบัตร ร่วมทุนเอกชน ตั้งสหการ สร้างวิสาหกิจท้องถิ่นเอง
- ท้องถิ่นจัดทำบริการสาธารณะได้ทั้งหมด ยกเว้น ทหาร-ศาล-เงินตรา-การต่างประเทศ โดยกำหนดหลักการว่าอำนาจและหน้าที่ในการจัดทำบริการสาธารณะในพื้นที่ (เช่น ถนน ขนส่ง ขยะ ไฟฟ้า ประปา โรงเรียน โรงพยาบาล) เป็นของท้องถิ่น โดยรัฐส่วนกลางมีเพียงบทบาทในการกำหนดมาตรฐานระดับประเทศ และออกแบบตัวชี้วัดเพื่อประเมิน-วัดผลการจัดทำบริการสาธารณะของท้องถิ่น
- ยกเลิกกฎระเบียบและคำสั่ง คสช. ที่ล็อกคอ-ล้วงลูกท้องถิ่น เพราะปัจจุบันมีกฎระเบียบที่ทำให้ท้องถิ่นทำงานได้ยากลำบาก และเมื่อมีข้อพิพาท ผลที่ตามมามักไม่เป็นคุณกับท้องถิ่น
และอื่นๆ อีกมากมายที่จะต้องอธิบายกันอีกยาวครับ และพรรคประชาชนก็จะขับเคลื่อนเรื่องการกระจายอำนาจในทิศทางเดียวกันกับพรรคก้าวไกลต่อไป
อย่างไรก็ตาม การตัดคลิปสั้นมาแค่ไม่กี่วินาทีมาวิพากษ์วิจารณ์ด้วยข้อมูลที่ไม่เกี่ยวข้องกัน และตัวผู้เขียนเองก็ไม่มีความรู้ด้านนี้ อาจก่อให้เกิดความเสียหายต่อผู้อื่นได้ โปรดกระทำด้วยความระมัดระวังครับ
#FactCheckPPLE #explainerPPLE #กระจายอำนาจ
[Link]
[Edited 1 times Por_EcrosS - Last Edit 2024-10-27 17:56:18]
# Sun 27 Oct 2024 : 8:47PM
ผมไม่เข้าใจว่า พูดแบบ ว่าให้ท้องถิ่นเก็บเงินเอง บริหารเอง แบบที่คุยกันจะเอากันแค่ไหนครับ หรือจะพูดเอาใจคนท้องถิ่นแต่นั้น
จะพูดแบบให้ จัดเก็บกันเอง ผ่านเครือข่าย อบต. ,หรือประดับจังหวัดไหม
ถ้าพวก อบต. นี่ตัวดีเลย ความโปร่งใสน้อยไป
ถ้าระบบเทศกิจ ก็พอมีอยู่แล้วนะ
ถ้าแบบ แบทเทิ้ลโรยัล หากันเองบริหารกันเองผมว่า ท้องที่นั้นหาเงินไม่พอ เพราะปกติ รายได้บางส่วน มาเกิดจากสัมปทาน ,ภาษีเอกชน ,ภาษีนำเข้า ,ส่งออก จากส่วนกลาง ปัจจุบัน พวกท้องที่ห่างไกล มันขะเป็นรูปแบบ เอาเงินขากส่วนกลางมาเพิ่มให้บริหารมากกว่า
จะพูดแบบให้ จัดเก็บกันเอง ผ่านเครือข่าย อบต. ,หรือประดับจังหวัดไหม
ถ้าพวก อบต. นี่ตัวดีเลย ความโปร่งใสน้อยไป
ถ้าระบบเทศกิจ ก็พอมีอยู่แล้วนะ
ถ้าแบบ แบทเทิ้ลโรยัล หากันเองบริหารกันเองผมว่า ท้องที่นั้นหาเงินไม่พอ เพราะปกติ รายได้บางส่วน มาเกิดจากสัมปทาน ,ภาษีเอกชน ,ภาษีนำเข้า ,ส่งออก จากส่วนกลาง ปัจจุบัน พวกท้องที่ห่างไกล มันขะเป็นรูปแบบ เอาเงินขากส่วนกลางมาเพิ่มให้บริหารมากกว่า
[Edited 1 times Godzeus - Last Edit 2024-10-27 22:01:32]
View all 1 comments >
<<
<
553
554
555
556
557
558
Reply
Vote
Popular Thread
15 online users
Logged In : Pompoko
Logged In : Pompoko
member
Since 22/9/2008
(10142 post)