คุณเศรษฐา และพรรคเพื่อไทยต้อง เป็นผู้ยืนยัน “เป็นสัญญาประชาคม” ต่อประชาชน ว่าจะไม่แก้รัฐธรรมนูญเพื่อความได้เปรียบหรือเสียเปรียบทางการเมืองของนักการเมืองเท่านั้น และต้องให้รัฐธรรมนูญฉบับนี้มาจากประชาชนเพื่อประชาชนอย่างแท้จริง ภายในเวลารวดเร็ว โดยไม่ใช้เทคนิคการถ่วงเวลา

ดิฉันอยากเห็นรัฐธรรมนูญเป็นประชาธิปไตย อยู่บนพื้นฐานของการดูแลสิทธิ และโอกาสของประชาชน อย่างทั่วถึงทัดเทียม รวมทั้งสามารถรักษาสถาบันพระมหากษัตริย์ให้มั่นคง โดยไม่ปล่อยให้การแก้ไขรัฐธรรมนูญ มีวาระซ่อนเร้น เพื่อประโยชน์ทางการเมือง และเพื่อเตรียมการ ให้มีโอกาสชนะในการเลือกตั้งครั้งต่อไปมากที่สุดเท่านั้น ซึ่งจะไม่เป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติและประชาชน และอาจเป็นชนวนนำมาสู่ ความวุ่นวายของบ้านเมืองในอนาคต

สำหรับแนวคิดการแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อลดจำนวนหรือยกเลิกสส.ระบบบัญชีรายชื่อในการเลือกตั้งครั้งหน้านั้น ตามที่ปรากฏข่าวไปแล้ว จะเป็นเรื่องเท็จ หรือเรื่องจริง หรือเป็นเรื่องที่เลอะเทอะ อยู่ที่นายกรัฐมนตรีต้องให้คำมั่น เป็น“สัญญาประชาคมกับประชาชน” ว่าจะไม่มีการแก้ไข และการยกเลิกหรือลดจำนวน สส.ปาร์ตี้ลิสต์ หรือ สส.แบบบัญชีรายชื่อ เพราะเจตนารมณ์ของการกำหนดให้มี สส.แบบบัญชีรายชื่อ เพื่อให้พรรคการเมือง ได้คัดเลือกบุคคลที่มีความรู้ ความสามารถและมีความชำนาญเฉพาะด้าน เพื่อนำความรู้มาช่วยในการพัฒนาประเทศชาติ

อีกทั้งปรากฎว่าในการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมา พรรคเพื่อไทย ได้สนับสนุนการแก้ไขรัฐธรรมนูญจากบัตรใบเดียว เป็นบัตรสองใบ และมีการลดจำนวน สส.ปาร์ตี้ลิสต์ จาก 150 คนให้เหลือ 100 คน เพื่อเพิ่มสส.เขตจาก350 เป็น 400 คนมาแล้ว

รวมถึงหลายๆเหตุการณ์ที่ผ่านมา ก่อนเลือกตั้งพูดอย่าง หลังเลือกตั้งทำอีกอย่าง แล้วบอกว่าเป็น“เทคนิคการหาเสียง” ซึ่งทำให้ระบบการเมืองถูกมองว่า“เลอะเทอะที่สุด” ในยุคนี้ ทั้งที่ประชาชนต้องการการเมืองที่มี“คุณภาพและคุณธรรม” และต้องการความจริงใจจากนักการเมือง

เคยบอกให้สัญญากับประชาชนว่าจะไม่จับมือกับ 3ป.เพราะรังเกียจเผด็จการ ด่าเขาสารพัด
ในช่วงหาเสียงเลือกตั้ง แต่เพื่อให้ได้เป็นรัฐบาล ยอมตระบัดสัตย์ กับคนที่ตนเคยด่าเขาว่าเป็นเผด็จการ และก็ไปร่วมกันจัดตั้งรัฐบาล

บอกกับประชาชนว่า ถ้าได้เป็นรัฐบาล จะลดค่าไฟฟ้า ค่าน้ำมันทันที แต่จนถึงวันนี้ ปัญหาเหล่านี้กลายเป็นเรื่องใหญ่สำหรับคนไทย กระทบรายได้ ค่าครองชีพ ต้นทุนการผลิต ซึ่งรัฐบาลยังไม่ได้ลงมือแก้ไขอย่างจริงจัง

และยังบอกว่า เมื่อได้เป็นรัฐบาลจะแจกดิจิทัลวอลเลททันที ไม่กู้ซักบาท แต่สุดท้ายต้องกู้ทุกบาท และจนถึงตอนนี้ประชาชนก็ยังไม่ได้สักบาท หรือหากได้ ก็มาพร้อมกับภาระหนี้สินมหาศาลถึง 500,000 ล้านบาท ของคนไทยทุกคนไปพร้อมๆกัน เป็นการแบกรับความเสี่ยง ทางการเงินและการคลังในระยะยาว

รวมทั้งยังมีอีกหลายนโยบายที่ไม่ได้เดินหน้าตามที่ได้ประกาศไว้ตอนหาเสียง ไม่ว่าจะเป็นการปฏิรูประบบราชการ, ปฏิรูปการศึกษา, เงินเดือนปริญญาตรี 25,000 บาท, รถไฟฟ้า20บาทตลอดสาย และอีกหลากหลายนโยบายสวยหรู โดยเฉพาะจะทำให้ทุกครอบครัวมีรายได้ไม่น้อยกว่า 20,000 บาทต่อเดือน

จึงขอถามคุณเศรษฐาในฐานะหัวหน้ารัฐบาลว่า นโยบายเหล่านี้ และอีกหลายนโยบายที่เคยพูดไว้ เป็นเพียงเทคนิคการหาเสียงใช่หรือไม่ ถ้าทำแน่นอน จะทำเมื่อไหร่ ตอบประชาชนให้ชัดเจน อย่าพูด“เลอะเทอะ”

คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ หัวหน้าพรรคไทยสร้างไทย

25 มิถุนายน - สงคราม กิจเลิศไพโรจน์ ที่ปรึกษานายกฯ กล่าวกรณี #พรรคก้าวไกล ประกาศไม่ร่วมสังฆกรรม ไม่รับตำแหน่งในกมธ.งบประมาณ 2568

โดย นายสงคราม ระบุว่า อยากส่งข้อความไปถึง #พรรคก้าวไกล อยากให้ทบทวนมติดังกล่าว

ทั้งนี้ ในฐานะนักการเมืองไม่ควรทำตัวเป็นเด็กน้อย เอาแต่ใจตัวเอง เอะอะโวยวายร้องงอแง ตีอกชกตัว จะเอาให้ได้ ทั้งๆที่ การพิจารณางบประมาณ เป็นเรื่องของพี่น้องประชาชนทั้งประเทศ

ไม่ใช่เรื่องที่จะมาใช้เหลี่ยมคูทางการเมืองมาเอาชนะคะคาน ไม่ยอมลดราวาศอกกัน ทั้งๆที่เวทีการเมืองคือเวทีที่จะมาหาทางออกร่วมกัน

ในจัดทำงบประมาณปี 2568 รัฐบาลต้องการให้งบประมาณเป็นส่วนหนึ่งในการพัฒนายกระดับชีวิตประชาชน

ดังนั้น หากพรรคก้าวไกล ไม่ร่วมเป็นคณะกรรมาธิการปีนี้ก็น่าเสียดาย เพราะหากพรรคก้าวไกลเห็นว่า การจัดงบประมาณด้านใดไม่เหมาะสม ในฐานะคณะกรรมาธิการฯ ก็สามารถคัดค้านหรือให้คำแนะนำกับรัฐบาลได้

แต่การไม่เข้าร่วมสังฆกรรม จึงเป็นการสร้างฉากการเมืองเรื่องของการเอาแต่ใจตัวเอง

ผมเห็นว่าก่อนที่คุณสงครามจะใช้เวลาแต่งสารพัดคำมากล่าวหาคนอื่นว่าเป็น “เด็กน้อย เอาแต่ใจตัวเอง” “ตีอกชกตัว” “สร้างฉากการเมือง” ผมอยากเห็นท่านเป็น “มนุษย์ที่มีความรับผิดชอบ” และตรวจสอบข้อเท็จจริงให้ถูกต้อง ก่อนจะไปกล่าวหาคนอื่นบนข้อมูลเท็จ
.
พรรคก้าวไกลไม่เคยและไม่ได้ปฏิเสธการเข้าร่วมเป็นคณะกรรมาธิการ งบประมาณ 68 และเราพร้อมทำหน้าที่เต็มที่ร่วมกับ กมธ. จากพรรคอื่นในการตรวจสอบและให้ข้อเสนอแนะกับรัฐบาล / เราเพียงแค่ไม่ได้เสนอชื่อใครจากพรรคไปดำรงตำแหน่งต่างๆเพิ่มเติมในคณะกรรมาธิการ (เช่น รองประธาน โฆษก) เนื่องจากเราอยากปฏิบัติหน้าที่ในฐานะกรรมาธิการจากสัดส่วนพรรคฝ่ายค้านอย่างเต็มที่โดยไม่จำเป็นต้องมีตำแหน่งอื่นเพิ่มเติม (แต่เราก็ไม่เคยติดใจและไม่ได้ติดใจอะไรหากพรรคอื่นมีการเสนอชื่อไปดำรงตำแหน่งดังกล่าว)
.
ความจริง ผมต้องขอบคุณ สส. อนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด จากพรรคเพื่อไทย และโฆษก กมธ. งบ 68 ที่ได้ให้ความเห็นในเรื่องนี้อย่างตรงไปตรงมาและด้วยการให้เกียรติซึ่งกันและกัน: bangkokbiznews.com/politics/11328… )
.
ยิ่งไปกว่านั้น แนวทางนี้เป็นแนวทางที่พรรคเคยปฏิบัติมาในปีก่อนๆในการทำงานใน กมธ. งบประมาณ ในฐานะฝ่ายค้าน และแนวทางดังกล่าวก็ไม่เคยส่งผลกระทบในเชิงลบต่อมาตรฐานการปฏิบัติหน้าที่ของเราแต่อย่างใดในการตรวจสอบและเสนอแนะรัฐบาลเรื่องงบประมาณ
.
แต่หากคุณสงครามยืนยันว่าตำแหน่งเสริมเหล่านี้มีความสำคัญมาก ก็จะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งหากคุณสงคราม ช่วยชี้แจงให้ประชาชนทราบหน่อยครับ ว่า รองประธาน 18 คน & โฆษก 7 คน & เลขานุการ 8 คน มีบทบาทอะไรบ้างและมีการแบ่งหน้าที่ความรับผิดชอบกันอย่างไร
.
ท้ายนี้ ผมยอมรับว่าผมเห็นใจท่านนายกรัฐมนตรีในประเด็นนี้ เพราะพอท่านมีที่ปรึกษาที่ให้ข้อมูลคลาดเคลื่อนกับสังคมแบบนี้ ก็ย่อมทำให้ท่านนายกฯ สับสนได้ ตอนถูกนักข่าวถามในประเด็นนี้เมื่อบ่ายวันนี้ (matichon.co.th/politics/news_…)