Resident Evil 7 คือสะพานเชื่อมระหว่าง Resident Evil เวอร์ชั่นดั้งเดิม และ เกมยุคใหม่ได้อย่างลงตัว
หลายต่อหลายครั้งที่ Capcom ประกาศว่าจะทำให้ RE กลับมาเป็นเกมสยองขวัญอีกครั้ง แต่มักจบด้วยความผิดหวังจากแฟนๆรุ่นเก่าเพราะเกมไม่ได้โฟกัสที่การเป็นเกมสยองขวัญจริงๆ แต่ยังคงตามเทรนเกมแนวแอคชั่นชู้ตติ้ง ที่ถูกเปลี่ยนมาตั้งแต่ RE4 , ความสยองขวัญที่มีในเกมในช่วง 10 ปีที่ผ่านมานั้น ส่วนใหญ่ถูกใช้เป็นธีมประกอบบางส่วนในเกมเท่านั้น
แต่กับ RE7 ซึ่งได้เปลี่ยนมาใช้มุมมองบุคคลที่ 1 และดึงเนื้อเรื่องออกมาจากซีรี่ส์หลัก และโฟกัสไปที่ตัวละครใหม่อย่าง Ethan ที่ตามหา Mia แฟนสาวที่หายตัวไปเมื่อ 3 ปีที่แล้ว ทำให้เค้าต้องบุกรุกเข้าไปในบ้านของครอบครัวตระกูล Baker ได้แสดงให้เห็นว่าคราวนี้ Capcom เอาจริง เพราะไม่เพียงแค่ใช้ความสยองขวัญเป็นหัวใจหลักในการออกแบบเกมภาคนี้ แต่เนื้อเรื่อง มุมมอง รวมถึง ระบบการเล่น ยังถูกปรับใหม่หมด จนไม่เหลือคราบของความเป็นเกมแอคชั่นอยู่เลย
จริงอยู่ว่าสำหรับหลายๆคน คำว่า RE มักจะมีความหมายที่แตกต่างกันออกไป (ซึ่งเป็นปัญหาใหญ่ของเกมซีรี่ส์ AAA ที่มีชีวิตอยู่มานาน และมีการเปลี่ยนแปลงหลายต่อหลายครั้ง) แต่สิ่งที่เห็นได้ชัดจากภาคนี้ คือทีมงาน ดึงเอาหัวใจหลักๆจาก RE ยุคคลาสสิค (โดยเฉพาะภาคแรก) ออกมา ทำการปรับเปลี่ยนใหม่ให้เข้ากับยุคสมัย แล้วใส่ลงไปในเกม
- เกมออกแบบฉากให้มีความสลับซับซ้อน เราต้องเปิดทางไปเรื่อยๆ ซึ่งสุดท้ายก็สามารถเชื่อมกลับมาจุดเริ่มต้น พื้นที่ทั้งหมดในอาณาเขตของครอบครัว Baker สามารถเชื่อมถึงกันทั้งหมด ตัวพื้นที่และจำนวนห้องมีมากพอที่ทำให้รู้สึกถึงขนาด และความรู้สึกของการค้นหา แต่ไม่ได้ใหญ่จนเราต้องเสียเวลาทั้งหมดไปกับการวิ่งวนไปวนมาในฉากเดิมๆมากจนเกินไป
- การแก้ปริศนา เกมใส่ปริศนาลงมาในระดับนึง มีความท้าทายนิดหน่อย พอให้ได้ใช้สมองคิด รวมไปถึงพวกปริศนาลับที่เราเลือกจะแก้หรือไม่แก้ก็ได้ แต่ก็ไม่ได้ยากหรืองี่เง่าจนเล่นไม่ได้เลย หรือไม่ได้ออกแบบให้เน้นปริศนาซะจนต้องคิดจนสมองแตก ไม่มีความ cliche แบบเกมเก่าๆที่ต้องมานั่งอ่านไฟล์เป็นสิบๆหน้าเพื่อหารหัสเปิดประตู
- เกมไม่ได้บอกทางผ่านโดยตรง แต่จะมีการบอกไบ้ทางผ่านด้วยลักษณะเฉพาะของไอเทม ( เช่นประตูอีกา ที่ต้องใช้ กุญแจอีกามาเปิด ) หรือจุดที่ต้องไปต่อที่บอกในฉากพูดคุยกับตัวละครอื่น หรือกุญแจที่ใช้เสร็จแล้ว ก็ไม่ได้ทิ้งให้อัตโนมัติ ซึ่งผู้เล่นต้องคิดและจำเอาเองว่าใช้จนครบแล้ว ทุกอย่างถูกปล่อยให้ผู้เล่นได้คิดและวางแผนเอง แต่ก็ไม่ได้ซับซ้อนและยากจนจำไม่ได้ และไม่ได้ถึงขั้นขึ้นบอกในแผนที่ว่าต้องไปไหน
- ระบบการจัดการไอเทม มีหีบไอเทมมาพร้อมจุดเซฟให้เหมือนเกมภาคเก่า มีช่องใส่ไอเทมที่มีจำกัด และเราต้องเลือกว่าจะเอาอะไรติดตัวไป และต้องเหลือพื้นที่แค่ไหน เผื่อสำหรับการเก็บไอเทมใหม่ ไอเทมบางอย่างเช่นสารเคมี สามารถเลือกที่จะเอามาผสมกับหญ้าเพื่อทำเป็นยาเติมพลัง หรือผสมดินปืน เพื่อทำกระสุน เพื่อให้ผู้เล่นสามารถวางแผนได้เอง ว่าจะเน้นที่รักษาพลัง หรือ ทำอาวุธโจมตี , พื้นที่เก็บไอเทมที่มากกว่าเกมยุคคลาสสิคนิดหน่อย (และสมารถขยายพื้นที่ได้จากการเก็บกระเป๋าระหว่างเกม) แต่ไม่ได้ใหญ่จนเราสามารถเอาทุกอย่างติดตัวไปได้
- ระบบการต่อสู้ เกมมีอาวุธมาให้ระดับนึง ความหลากหลายของอาวุธมีมากพอกับเกมภาคแรก จำนวนกระสุนมีมาให้มากพอที่ไม่ทำให้เรารู้สึกอ่อนแอ แต่ไม่ได้เยอะจนเราสามารถวิ่งตะลุยฆ่าศัตรูทุกตัวในเกมได้ ศัตรูอึดขนาดที่ทำให้กระสุนที่มีสามารถหายไปเกือบหมดในพริบตา ถ้าใช้แบบไม่ระวัง เกมไม่มีบอกว่าเราควรหรือไม่ควรจะสู้กับศัตรู ผู้เล่นต้องเลือกเอาเองว่าสถานการณ์ที่เกิดขึ้น จำเป็นต้องฆ่า หรือวิ่งหนี
ส่วนตัวค่อนข้างประทับใจ กับวิธีการออกแบบเกมของทางผู้สร้าง ที่ไม่ได้เลือกที่จะหลับหูหลับตาเอาระบบเก่าๆมาใช้ตรงๆ แต่มีการปรับเปลี่ยนบางอย่าง เพื่อให้เข้ากับยุคสมัยและผู้เล่นยุคใหม่ ซึ่งมันอยู๋ตรงกลางพอดีที่ทำให้แฟนที่ต้องการอะไรเก่าๆยังสามารถสัมผัสได้จากเกมนี้ แต่ไม่ได้ซับซ้อนหรือยุ่งยากจนเกินไปจนทำให้ผู้เล่นสมัยใหม่ไม่สามารถเข้าถึงได้ ถ้าพูดง่ายๆ ระบบหัวใจหลักของ RE7 มันคือ RE เวอร์ชั่น simplified
แต่ที่สำคัญคือการเปลี่ยนมุมมองใหม่ทั้งหมด ที่หลายคนตั้งคำถามว่ามันจะเวิร์คเหรอ ที่จะทำให้ RE กลายเป็นเกมมุมมองบุคคลที่หนึ่ง ซึ่งผลลัพธ์ที่ออกมา คำตอบก็คือ เวิร์ค และไม่ใช่แค่เวิร์คเฉยๆ แต่เวิร์คมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับการตั้งโจทย์ให้เกมนี้กลับมาเป็นเกมสยองขวัญอีกครั้ง เพราะมุมมองบุคคลที่หนึ่งทำให้ผู้เล่นรู้สึกเหมือนอยู่ในตัวเหตุการณ์และฉากนั้นจริงๆ และมุมมองที่แคบลง ทำให้เราเห็นสิ่งรอบข้างได้ยากขึ้น ยิ่งเพิ่มความกดดันได้เป็นอย่างมาก
และนั่นนำไปสู่สิ่งนึงที่ส่วนตัวยกให้เป็นหนึ่งในสิ่งที่ดีที่สุดของภาคนี้ นั่นคือการออกแบบเสียง (แต่ต้องเสียบหูฟังหรือไม่ก็เล่นกับระบบเสียง 5.1 นะ ถึงจะสัมผัสได้ดีที่สุด) ตลอดเวลาที่เราเดินอยู่ในคฤหาสน์ Baker หรือทุกจุดในเกม เราจะได้ยินเสียงเอฟเฟคฉากต่างๆตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็นเสียงลมพัด เสียงประตูเปิด เสียงคนเดิน เสียงเอฟเฟคธรรมชาติทั้งหมด ซึ่งสามารถสร้างความหลอนให้กับผู้เล่นได้อย่างมาก เกมแทบจะไม่มี BGM เลยด้วยซ้ำ ดนตรีประกอบส่วนใหญ่เป็น Ambient Sound ที่เน้นสร้างบรรยากาศมากกว่า เกมได้สร้างความหลอนให้กับผู้เล่นโดยที่ไม่ต้องใช้มุขอะไรมากมาย หลายต่อหลายครั้งที่เดินๆแล้วรู้สึกเหมือนมีคนเดินอยู่ข้างหลัง หรือได้ยินเสียงเหมือนมีคุณพ่อเดินอยู่ห้องข้างๆ
นี่ยังไม่นับเรื่องการเล่นด้วย VR เลยนะ ( ซึ่งเท่าที่อ่านมา ทุกคนยกนิ้วให้เป็นประสบการณ์ VR ที่ดีที่สุด แต่ส่วนตัวไม่ได้เล่นเวอร์ชั่นนั้น เลยไม่มีรีวิวให้ อิอิ )
RE7 ประสบความสำเร็จอย่างมากกับการสร้างประสบการณ์ให้กับผุ้เล่น โดยเฉพาะในเรื่องความกดดัน และความสยอง ถึงแม้ว่าเกมจะมีมุขผีตุ้งแช่บ้าง แต่ก็ไม่ได้เยอะจนรู้สึกเกร่ออะไร
ในเรื่องของระบบการเล่น หรือการออกแบบเกม ถือว่าผ่านอย่างมาก ทุกอย่างลงตัว รู้สึกใหม่ แต่ก็มีความเก่าผสมอยู่ การนำเสนอมุมมองใหม่ของเกม ที่ไม่ได้ทำให้รู้สึกว่าเกมนี้กลายเป็นเกมอื่น ( ขอโทดจริงๆ แต่เกมนี้ไม่ใช่ทั้ง Outlast และ PT เหมือนอย่างที่คนหลายคนปรามาทไว้ ) นี่คือ RE ตั้งแต่หัวจรดหาง 100%
น่าเสียดาย ที่ข้อดีทั้งหมดของเกมในช่วงครึ่งแรก ไม่ได้ถูกสานต่อไปยังช่วงครึ่งหลัง โดยเฉพาะหลังจากที่หลุดออกมาจากบ้าน Baker แล้ว เกมเริ่มเผยจุดหักมุม และดึงเราไปสู่การดำเนินเกมในช่วงจุดจบ ที่ค่อนข้างตรง และไม่มีอะไรสลับซับซ้อน โดยเฉพาะช่วงท้ายของเกมที่ไม่ได้มีเซ้นส์ของการเข้าจู่จุดไคลแมกซ์ซักเท่าไหร่ มีหลายจุดที่รู้สึกถึงการยืด และทำให้รู้สึกเหมือนแค่เล่นให้ผ่านๆเพื่อจะได้ไปสู่ฉากจบ
ส่วนตัวในฐานะแฟนซีรี่ส์ RE ไม่ได้ซีเรียสมากกับการเปิดโลกใหม่ และไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับเนื้อเรื่องในภาคเดิมโดยตรง (เพราะเอาจริงๆเนื้อเรื่องดั้งเดิม มันก็เละเทะไปนานแล้ว) แต่เสียดาย ตรงที่ความน่าสนใจ และความลึกลับของครอบครัว Baker กลับถูกเผยออกมาด้วยเนื้อเรื่องหักมุมที่ค่อนข้างใช้มุขแบบดาษดื่น และไม่ได้มีอะไรใหม่ซักเท่าไหร่
นอกจากพวกคนในครอบครัวแล้ว ตลอดทั้งเกมยังมีศัตรูอยู่แบบเดียวซึ่งก็คือ Mold ซึ่งแม้ว่าจะมีหลายเวอร์ชั่น แต่มันไม่ได้ทำให้สามารถรู้สึกได้ถึงความหลากหลาย ยิ่งโดยเฉพาะเมื่อเล่นไปช่วงหลังๆ ที่รู้สึกว่าแค่อยากจะวิ่งผ่านๆไป ทำให้การเล่นในช่วงท้ายๆ ไม่ค่อยมีความตื่นเต้น หรือน่าท้ายทายเท่ากับช่วงแรก บวกกับทางเดินที่ค่อนข้างเป็นเส้นตรง จึงทำให้ความประทับใจและประสบการณ์ในช่วงท้ายเกมถูกลดลงไปอย่างมาก
แต่ถ้ามองข้ามจุดนั้นไป RE7 ก็ถือว่าเป็นเกมที่ดีมากๆเกมนึง จากเหตุผลที่อธิบายมาข้างต้น นี่ถือเป็น RE แรกในรอบ 10 ปี ที่รู้สึกว่าทีมงานรู้ว่าต้องทำอะไร และอยากจะให้เกมนี้ไปในทิศทางไหน ทุกอย่างถูกตั้งใจออกแบบมาอย่างชัดเจน แม้จะได้รับอิทธิพลจากเกมอื่นบ้าง แต่โดยเนื้อหลัก โดยหัวใจ โดยกึ๋น ของเกมนี้ มันคือ Resident Evil ที่เรารู้จัก ที่เรารัก เป็นอย่างดี ไม่สามารถคิดเป็นเกมอื่นได้เลย ต้องปรบมือให้กับทีมงานจริงๆที่กล้าที่จะเปลี่ยนเกมได้ขนาดนี้ ถือเป็นหนึ่งในประสบการณ์การเล่นเกมที่ดีที่สุดในรอบหลายปีเลยทีเดียว
9/10
( หักช่วงครึ่งหลังของเกมล้วนๆ )
ผมอยากให้ทุกภาคหลังจากนี้เป็น FPS ให้หมดเลย
มันยอดมากจริงๆ
ช่วงหลังๆดันกลายเป็นไล่ยิงมันๆไปซะงั้น
ส่วนตัวผิดหวังกับความยาวตัวเกมเพราะพยายามเล่นที่จะเก็บอะไรให้ครบที่สุดก็ยังจบในเวลา 9 ชั่วโมงครึ่ง ซึ่งตอนแรกผมตีไว้ว่าควรจะอยู่ในช่วงราวๆ 11-12 ชั่้วโมง แล้วก็แอบคาดหวังว่าจะได้เจอซอมบี้แต่ก็ไม่มีจนได้
แต่RE7 มันเจ๋งมากในแง่ของการออกแบบฉากผมยอมรับเลยว่าทีมงานเก่งมากๆ คือออกแบบฉากได้ชวนขนหัวลุกสุดๆ แม้ว่ามันจะไม่มีอะไรแต่มันทำให้ผู้เล่นระแวงได้ตลอดเวลาด้วยการใส่เสียงเอฟเฟคเข้าไปหรือการออกแบบชวนแหวะและฉากการฆ่าฟันแบบเลือดสาดราวหนังสยองขวัญที่ปกติ RE ไม่เคยทำ
ผมรู้สึกว่าทุกอย่างในเกมนี้มันช่างเข้ากันดีซะเหลือเกิน จนอยากจะให้เกมมันยาวซัก 15 ชั่วโมงไปเลย
อย่างไหร่ก็ดีผมถือว่าเกมทำมาได้ดีตามที่ผม Hype ไว้นะคือมันมีบางอย่างที่ผิดหวังแหละแต่ภาพรวมมันเจ๋งมากๆ ไม่เสียดายเงินเลยจริงๆที่ตั้งตาซื้อตัวเกม Season pass ไม่รู้ว่าจะมีเนื้อเรื่องส่วนไหนมาเติมเพิ่มความน่าติดตามอีก ไว้เดี๋ยวจะกลับไปเล่นรอบสองเก็บฉากจบอีกแบบแน่นอน
FPS เหมาะจริงๆ .... ตอนแรกก็กลัวเวียนหัว แต่เล่นแล้วไม่เวียนหัวเลยครับ สุดยอดๆๆ หลอนดี