Warcraft ( 2016 ) บทวิจารณ์��าพยนตร์โดย FallsDownz
หลังจากที่แฟนๆเกมรอคอยกันมานานแสนนาน ในที่สุดภาพยนตร์ซึ่งสร้างมาจากวิดีโอเกมชื่อดังมากที่สุดเกมหนึ่งในโลกอย่าง Warcraft ก็ได้มาปรากฏโฉมบนจอภาพยนตร์เสียที
Warcraft ในด้านหนึ่งแล้วก็คือสุดยอดเกมที่มีประวัติศาสตร์มายาวนาน ลากไปตั้งแต่ปี 1994 ซึ่งเกมเมอร์ในยุคปัจจุบันหลายต่อหลายคนก็เติบโตมากับชื่อๆนี้ ไม่ว่าจะเป็นในด้านของเกมหลักหรือเกมที่แตกแยกแขนงออกมาเป็นอีกหนึ่งเกมที่ได้รับความนิยมอย่างมากในปัจจุบันอย่าง Defense of the Ancients (Dota), Hearthstone และอื่นๆอีกมากมาย
แต่ในอีกมิติหนึ่ง ความจริงที่ปฏิเสธได้ยากก็คือคำสาปอันโด่งดังเมื่อวงการภาพยนตร์พยายามที่จะจับมือกับวงการเกม มักจะพบกับความหายนะเสมอๆ ไม่ว่าเกมๆนั้นจะมีชื่อเสียงที่โด่งดังมากน้อยเท่าไรก็ตาม เฉกเช่น Resident Evil, Prince of Persia, Silent Hill, Hitman และอื่นๆอีกมากมาย ซึ่งสำหรับใครหลายคนแล้ว Warcraft ดูจะเป็นความหวังครั้งสุดท้ายหรือเกือบสุดท้าย ที่จะมาทำลายคำสาปอันแสนน่ากลัวนี้ลงไปให้ได้
แม้ว่าภาพรวมของ Warcraft จะไม่ได้เข้าขั้นหายนะหรือแย่เสียทีเดียว แต่ในหลากหลายส่วน กระทั่งแฟนเกมอย่างเราเอง ก็ไม่อาจที่จะปฏิเสธถึงตัวตนของช่องโหว่ที่มีให้เห็นอยู่ตรงหน้ามากมายเต็มไปหมด
ซึ่งต้นตอของปัญหาเกือบทั้งหมดของภาพยนตร์ที่แฟนๆทั่วโลกรอคอยเรื่องนี้ ก็หนีไม่พ้นขนาดความใหญ่ของมันที่ย้อนกลับมาทิ่มแทงตัวมันเอง ดั่งสุภาษิต 'ยิ่งใหญ่ยิ่งล้มดัง'
Warcraft พยายามที่จะจับนู้นจับนี้ เล่าหลายสิ่งหลายอย่างที่มีมากจนเกินไป โดยปราศจากการคำนึงถึงขีดจำกัดของตัวเอง ไม่ว่าจะในด้านของเวลาบนจอภาพยนตร์ที่มีจำกัด หรือขีดจำกัดของผู้กำกับอย่าง ดันแคน โจนส์ ซึ่งกระโดดจากการกำกับภาพยนตร์ระดับเล็ก-กลาง อย่าง Moon (2009) และ Source Code (2011) มากำกับภาพยนตร์ซึ่งกล่าวขานกันว่าอาจจะยิ่งใหญ่เทียบเท่า Lord of the Rings (2001 - 2003) จนเป็นเหตุทำให้ไม่สามารถคุมเรื่องราวที่ล้นมือ ล้นหน้าตักนี้ได้จนหมด
เมื่อผู้กำกับไม่สามารถที่จะควบคุมเรื่องราวที่มีอยู่ได้ ผลของมันก็เปรียบเสมือนโดมิโน่ที่ลากยาวไปกระทบถึงองค์ประกอบอื่นๆอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นเนื้อเรื่อง ปมขัดแย้ง หรือตัวละคร ต่างก็ถูกดันออกมาโดยปราศจากการปูพื้นฐานที่ดี แม้ว่าตัวเนื้อส่วนประกอบต่างๆแต่ละส่วนจะค่อนข้างดี แต่กว่าจะค่อยๆแซะเข้ามาก็สายไปเสียแล้ว ทำให้เราไม่รู้สึกมีความผูกพันธ์กับตัวละครเหล่านี้เลยแม้แต่น้อย จนนำไปสู่การปราศจากอารมณ์ร่วมไปกับเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นในภาพยนตร์ในที่สุด
สำหรับผู้ชมทั่วไปที่ไม่ได้เป็นแฟนเกมหรือไม่ได้สนใจเรื่องราวในเกมเท่าไรนัก เพียงเท่านี้ก็เป็นเหตุผลเพียงพอในการที่จะทำให้พวกเขาอาจไม่รู้สึกประทับใจหรือชื่นชอบใน Warcraft ซักเท่าไรนัก แม้ว่าในซอกหลืบต่างๆของภาพยนตร์เรื่องนี้จะแอบแฝงไปด้วยเรื่องราวความขัดแย้งที่น่าค้นหา หรือมีกราฟฟิก ซีจีที่อลังการงานสร้างมากเท่าไรก็ตาม
แต่สำหรับแฟนเกมหรือผู้ที่มีความสนใจและมีความผูกพันธ์กับผลงานของ Blizzard นี้อยู่แล้ว Warcraft ก็อาจเปรียบเสมือนแนวคิด 'Guilty Pleasure' อย่างแท้จริง เอาจริงๆเพียงแค่เราได้เห็นเรื่องราวมหากาพย์และตัวละครที่เราชื่นชอบในเกม มีชีวิตจริงๆขึ้นมาบนจอภาพยนตร์ก็ฟินอย่างบอกไม่ถูกแล้ว
ยิ่งพอได้เห็นเรื่องราวความขัดแย้งที่เกิดขึ้นในภาพยนตร์แล้ว ยิ่งทำให้เราจินตนาการอนาคตและภาคต่อที่(อาจ)จะมาถึง ซึ่งคงจะยิ่งใหญ่ อลังการกว่านี้อย่างแน่นอน
สุดท้ายแล้ว แม้ว่า Warcraft จะเต็มไปด้วยปัญหามากมาย และยังคงไม่ใช่ภาพยนตร์ที่ทำลายคำสาปลงได้ แต่มันก็เป็นตัวเลือกที่ไม่เลวนักสำหรับบุคคลทั่วไป สำหรับแฟนเกมแล้ว นี้เป็นผลงานที่ยังคงจัดอยู่ในหมวด "ไม่ว่ายังไงก็ห้ามพลาดอย่างเด็ดขาด"
Related News
Popular News
แสดงความคิดเห็น
8/10
ปล. ทำไมรู้สึกว่า ฉากใน trailer มันมาไม่ครบแหะ..........(ไอ้หนวด(อัศวิน) ไม่มีบทพูดเลย lol) จำได้ว่าใน trailer มันมีนะ--"
เปลี่ยนเป็นผกก.ดีๆซีรี่ย์นี้สามารถขึ้นเป็นหนังทำเงินได้เลย
ตัดต่อภาพก็แย่นะ แต่ที่พังพินาศกว่าคือการเล่าเรื่องอ่ะครับ
สิ่งที่ควรเล่าดันไม่เล่า ส่วนอะไรที่ไม่จำเป็นต้องใส่มาก็ได้ดันใส่
ภาวนาให้รายได้เข้าเป้าหน่อย จะได้มีแรงทำภาคต่อ ความมันมันอยู่หลังจากนี้
มันคือสิ่งที่จะมีภาพยนตร์ดีๆซักเรื่องหนึ่งมาอธิบายได้ยากมาก ใกล้เคียงกันก็เห็นจะเป็นแอสการ์ดของธอร์ แต่ก็ไม่ได้อ้างอิงโลกของคอมมิคส์เท่าที่ควร ฉากต่อสู้โดยรวมอาจเห็นเป็นมุมกว้างซึ่งถ้าจะเปรียบเทียบกับรีเทิร์น ออฟ เดอะ คิงส์เมื่อสิบปีก่อน เห็นได้ชัดเลยว่าการตัดต่อจะพยายามโฟกัสตัวละครหลักเพียงแค่นั้น จะแตกต่างจากรีเทิร์น ออฟ เดอะ คิงส์ที่เห็นเป็นสมรภูมิบนภูมิศาสตร์จริง แต่กลับกันคาแรคเตอร์ในวีดีโอเกมส์ของวอร์คราฟต์ก็มีมากให้โฟกัสเช่นกัน จึงบวกลบกับตัวละครกับสงครามแล้วพอไปวัดไปวาได้
เราได้เห็นภาพยนตร์จากวีดีโอเกมส์มากมาย ที่มีเนื้อเรื่องพาออกนอกจากเค้าโครงเดิมจากเกมส์ ซึ่งเป็นข้อเสียถึงร้อยละแปดสิบของเกมเมอร์ แต่เรื่องนี้ที่บริษัทพัฒนาเกมส์อย่างบลิซซาร์ดดูแลโปรเจ็กท์เอง ก็เลยมองดูต้องรัดกุมเรื่องสตอรี่เป็นพิเศษ เลยกลายเป็นการชมภาพยนตร์ที่เป็นเส้นตรงมาแบบต้นฉบับ
เราเคยวิจารณ์ต่างๆนาๆที่หนังพาเกมส์ออกทะเล แต่เราก็ยังไม่เคยดูหนังจากเกมส์ที่รู้ผลลัพธ์อยู่แล้ว ตรงจุดนี้ดีหรือไม่ดีผมไม่ทราบ ผมขอออกความเห็นว่าไม่ดีแล้วกัน ซึ่งถ้าวอร์คราฟต์จะเดินรายละเอียดเช่นเกมส์อีกในภาคต่อๆไป เอาผู้กำกับไทยอย่างพจน์ อานนท์ไปกำกับการแสดงก็ได้
สุดท้ายแฟนเกมส์คงได้ดูสิ่งที่เคยเล่นบังคับตัวละครนั้นๆในเรื่องวอร์คราฟต์ คงประทับใจและกลับไปเล่นเกมส์ตระกูลวอร์คราฟต์อีกแน่นอน
ส่วนผมขอให้คำสาบหนังสร้างจากเกมส์ห่วยหยุดลงที่โปรแกรมหน้าอย่างแอสซาซิน ครีดแล้วกันครับ
6/10
เหมือนที่เคยรู้จุดจบระหว่างโฟรโดกับแหวนครองพิถพ หรือจุดจบระหว่างแฮร์รี่ พอตเอตร์กับลอร์ดวอร์เดอร์มอร์ตั้งแต่ก่อนเข้าไปดูหนังภาคแรก แต่การดูภาคต่อๆไปผมก็ยังสนุกอยู่ดีคับ
ดังนั้นพอดูวอร์คราฟภาคนี้จบมันทำให้ผมยิ่งอยากดูภาคต่อเร็วๆ เพราะรู้คร่าวๆว่ามันจะมีอะไรเกิดขึ้นบ้าง(ถ้าได้ทำภาคต่อ และดำเนินเรื่องตามแบบในเกม)
จะมีที่ติดใจก็เหมือนท่านข้างบนว่า มันตัดต่อเร็วไปจนรู้สึกว่ายังอยากจะดูเรื่องของตัวอื่นที่ไม่ใช่พวกตัวเอกมากกว่านี้อีก
แต่โดยรวมๆแล้วรู้สึกดีที่ได้เห็นตัวละครที่เราเคยบังคับในเกม มามีชีวิตโลดแล่นอยู่บนจอหนัง
ผมขอให้คะแนนส่วนตัว 7/10 คับเรื่องนี้
ปล.ถ้าเอาพี่พจน์มากำกับจริงผมว่าฉากต่อสู้แต่ละฝ่ายจะใส่ผ้าเตี่ยวตัวเดียวมารบกันคงมันส์ไปอีกแบบ
และอาจได้เห็นดาราไทยอย่างโก๊ะตี๋,พี่จาตุรงค์ หรือแม้แต่ตุ้กกี้ไปไกลถึงฮอลีวู้ดเป็นการบุกเบิก
เนื้อเรื่องไม่เป็นมิตรอย่างแรงสำหรับคนดูทั่วไป หลายๆอย่างไร้ที่มาที่ไป แถมดำเนินเรื่องแบบเนิบมากแปปๆเนื้อเรื่องดำเนินมาบทสุดท้ายแล้ว ฉากสู้รบที่ไม่อลังการเท่าที่ควรคาดหวังจะดุเดือดกว่านี้ ฉากหลังบางอันนึกว่าแผ่นไม้แบนราบเรียบมาก ตัวละครโลกสวยมากกกกก
รอดูassassin creed ดิว่าจะทำได้อย่างที่โม้ไว้ไหม
ในทางกลับกัน ถ้าคนสร้างหนังเล่นทำตามเกมเป๊ะๆทุกระเบียบนิ้วแบบนั้นผมว่าจะโดนฝรั่งด่ามากกว่านะคับ เหอๆ