บอกไว้ก่อนตรงนี้เลยว่าคนรีวิวเป็นแฟนซีรีส์ Souls (Demon's Souls + Bloodborne ก็นับนะ) แบบเข้าเส้นเลือด มันต้องลำเอียงแน่ ๆ ยกตัวอย่างเช่นภาค 2 ที่ใครจะว่าห่วยแตกยังไงก็ชอบ คนรีวิวก็รู้ว่าข้อเสียมี สนุกไม่เท่าภาคแรกนะ แต่ก็ยังชอบ คิดว่ายังไงก็เล่นแล้วสนุกกว่าเกมอื่นล่ะ เข้าใจข้อเสียทุกประการที่คนบ่น ๆ แต่สุดท้ายก็เล่นไปซะหลายรอบแล้วก็ไม่ได้รังเกียจอะไรในข้อเสียของ 2 มากนัก ลำเอียงดีใช่มั้ยล่ะครับ
เพราะฉะนั้นขอให้คะแนนล่วงหน้า รีวิวตามมาทีหลังละกัน
9.9 คะแนน
ทำไมต้อง 9.9? ทำไมให้น้อยกว่า Bloodborne
1. ผมชอบความสยองขวัญของ Bloodborne มาก ถึงจะไม่ใช่สาย Lovecraftian แต่ถ้าบรรยากาศใช่อารมณ์ใช่ล่ะก็จะชอบมากครับ ซึ่ง Dark Souls นี่ หลังจากภาค 1 ผ่านไปแล้วก็ไม่ได้ให้ความรู้สึกสยึม ๆ เท่าไร เสียดายว่าเป็นแนว Gothic art ทั้งที น่าจะน่ากลัวและลึกลับมากกว่านี้หน่อยสักฉากสองฉากก็ยังดี แต่ภาคนี้ให้ความรู้สึกว่าทำเอาสวยอย่างเดียวครับ
2. ผมติดใจเลข 9.9 มันให้ความรู้สึกว่าจะสุดก็ไม่สุด จะถึงก็ไม่ถึง เอาไว้กวนชาวบ้านเล่น
เนตรแฟนบอยจบเพียบเท่านี้ ช่างเรื่องคะแนนเถอะ มันเป็นเพียงตัวเลข มาดูเนื้อหาของเกมดีกว่าครับว่ามีอะไรบ้าง
รีวิวด้วยเวอร์ชั่น PlayStation 4
รูปที่เข้าข่ายสปอยล์ ผมจะย่อเป็นรูปเล็กไว้ท้ายบทความครับ
ก่อนอื่นเลยสำหรับผู้เล่นใหม่ที่ได้ยินคำล่ำลือมาว่าเกมนี้ยาก ใช้ครับยาก ยากมากพอสมควรด้วย เป็นเกม Action RPG ประเภทที่พลาดทีตาย โดนศัตรูตบสองทีตาย จ้องหน้าบอสเฉย ๆ อยู่ดี ๆ วินาทีถัดมา อ้าว! ตายแล้ว ต้องเล่นกันแบบกดดันตัวเองหน่อยว่าห้ามชิลล์ เพราะความตายอยู่กับคุณทุกย่างก้าวจริง ๆ แถมหลังจากตายแล้วเกมยังลงโทษด้วยการเอา Souls ที่ทำหน้าที่ทั้งเงิน+exp ในเกมไว้ที่จุดที่เราตาย ต้องเดินจากจุดเซฟ (Bonfire) มาเก็บเอง ระหว่างเดินไปเก้บถ้าพลาดตายอีกก็หายหมด ซึ่งตรงจุดนี้คือจุดสะกัดดาวรุ่งคนเล่นใหม่ที่ถ้ารับไม่ได้ก็คงต้องเลิกเล่นไป ณ ตรงนี้เลย
ซึ่งถ้าผ่านมันมาได้ ถ้ารู้ว่าเรา ตายเพราะไปพลาดตรงไหน ชินว่าตายบ่อยนี่เรื่องปกติ รู้จักว่าฉากที่เราเล่นอยู่ในขณะนั้น รู้จักสู้ศัตรูแบบมีชั้นเชิงและแผนการมากกว่านี้ บริหารจัดการ Souls ที่เรามีอย่างถูกต้อง หรือเริ่มที่จะเข้าใจแนวทางกับกติกาและกลไลของเกม ก็จะเริ่มรู้สึกว่า "เกมมันเล่นได้" ไปเอง และแน่นอนว่าสนุกมากด้วย
ขอยืนยันด้วยเกียรติของลูกเสือเลยว่าตัวผู้รีวิวเองจัดเป็นประเภทคนมีฝีมือเล่นเกมเข้าขั้น "ห่วยแตก" คนหนึ่ง เล่นเกมยิง ๆ ไม่เคยได้ rank เล่นเกมไฟท์ติ้งยังเป็นขนมทานเล่นให้เด็ก 10 ขวบขบเคี้ยว (ถนัดอยู่แนวเดียวคือ platforming แบบ Rockman กับการเล่นมั่ว ๆ แบบดำน้ำกับเกมแนว RPG) แต่สำหรับ Dark Souls ที่ไม่ต้องไปแข่งกับใคร ถ้าทราบว่าจังหวะไหนต้องกลิ้งหลบ จังหวะไหนต้องยกโล่ขึ้นมากัน จังหวะไหนต้องฟัน หรือค้นพบว่าลองใช้ธนูหรือเวทมนตร์โกงศัตรูนิดหน่อย หรือถ้าไม่ไหวจริง ๆ ก็เรียกผู้เล่นคนอื่นมาช่วยเอาดื้อ ๆ แบบนี้เป็นต้นก็สามารถจบได้ครับ
อย่าไปเชื่อคำขู่ เชื่อผมนี่ เกมยากก็จริงแต่ไม่ได้ยากแบบโกงเราหรอก แค่ต้อง "เล่นดี ๆ ใจเย็น ๆ" ก็พอ
จบการแนะนำมือใหม่แต่เพียงเท่านี้ครับ ย่อหน้าต่อไปจะเริ่มบ่นละ
มาในส่วนภาพก่อน เพราะตรงนี้วิจารณ์ง่าย อาร์ตของ Souls ก็ยังสวยเช่นเคย ปราสาท สถาปัตยกรรม เกราะ ศัตรู บอส ฯลฯ เสนห์ทุกอย่างอยู่ครบ (ยกเว้นความสยองขวัญ...ชิส์) ไม่รู้ว่าไปก็อปการ์ตูน Berserk ตอนไหนมาใช้อีก แต่งดงามก็คืองดงามครับ เอา asset ของ Bloodborne มาใช้ตรงนั้นบ้างตรงนี้บ้างแต่โมเดลตัวละครก็ไม่ได้สูงโย่งเป็นเปรตวัดกู้ อันนี้ค่อยยังชั่วขึ้นด้วย sky box ก็สวย ตอนเล่นอยู่นี่นั่งถ่ายรูปกันมันเลย (แล้วระหว่างถ่ายก็โดนศัตรูเข้ามาตุ๋ยตูดตาย)
ทว่าปัญหาเดียวกับ Bloodborne ก็ยังอยู่ เฟรมตก (จาก 30fps) เฟรม pacing กระตุกกึกกัก ๆ มีเหมือนเดิมครับ เกมเน้นค่อย ๆ สู้ศัตรูแบบ 1:1 ค่อย ๆ ลุย ค่อย ๆ สำรวจ แต่บางทีคนเราพลาดกันได้ เผลอไปลากศัตรูมาเป็นฝูงแบบกำลังวิ่งหนีม็อบอยู่นี่ เตรียมตัวได้เลย มันกระตุกแน่ บอสตัวไหนท่าอลัง ๆ หน่อยก็อาจจะเกมนิ่งไปเสี้ยววิให้เสียวเล่น อันนี้คนเล่นฝั่งคอนโซลก็ทำใจครับ ค่ายนี้ (From Software) ชั่วชีวิตมันเอาแค่นี้แหละ ต่อให้มีเงินจากโซนี่มาป้าบ เงินจากบันไดมาป้าบ ๆ ก็ทำได้แค่นี้แหละสำหรับคอนโซล ถ้าอยากจะเล่นแบบ 60fps (และไม่กินสเปคเท่าไรนัก) ก็ต้องไปทางฝั่ง PC ครับ อันนี้ผมจงใจเลี่ยงไม่พูดถึง Xbox ONE ไปเลยนะ แต่ชะตากรรมคงไม่ไกลกันมากและผ่านมาถึงจุดนี้ก็ควรจะเลิกบ่นกันได้แล้วด้วย
มีจุดที่ไม่ชอบมากอยู่จุดหนึ่งคือในฉากป่า มีใบไม้ร่วงเต็มไปหมด ทางทฤษฎีแล้วมันควรจะออกมาสวยนะ แต่กรุณาดู screenshot บรรทัดถัดไปนะครับ
สาบานว่าที่เป็นเกล็ด ๆ แบนติดพื้นอยู่คือ "ใบไม้"
.................................
แบนแต๊ดแต๋เหมือนกองอาเจียนแห้ง ๆ สีชมพูแดง...แต่ละก้าวไม่มีอะครับ ใบไม้กระเด็นขึ้นมา หรือ particle อะไรให้สมกับเป็นป่าเป็นหญ้า ไม่มีอะ แล้วอย่าให้พูดถึงสระบัวที่อยู่ใกล้ ๆ กันนะ แบบเดินลุยตัวทะลุเลยไม่มีน้ำไหลกระเพื่อมหรืออะไรทั้งสิ้น นี่คือแมปไม่ได้ QC ใช่มั้ย?
ที่เหลือก็ไม่มีอะไรมากครับ ศัตรูติดในกำแพง ตัวละครตกลงมาแล้วค้างกลางอากาศ จุดนั้นบ้างจุดนี้บ้างที่ไม่ได้เกลาให้ปราณีตเพียงพอ ซึ่งมาถึงยุคนี้สมัยนี้ก็คืดว่าคงจะมีแพทช์มาแก้ทีหลัง แต่ไม่มีก็ไม่เป็นปัญหาอะไรมากครับ เพราะนาน ๆๆๆๆๆ จะเจอที แล้วก็ไม่เรื่องมากตรงจุดนี้ เห็นเป็นเรื่องขำ ๆ เสียด้วยซ้ำ ยิ่งถ้าศัตรูโหด ๆ มันไปติดในกำแพงยิ่งชอบใจ ได้ตีฟรี
ยอมแพ้ กลับไปถ่ายรูปปราสาทต่อดีกว่า
เนื้อเรื่องก็ยังใช้วิธีการเล่าเหมือนเดิมครับคือเราต้องเก็บเล็กผสมน้อยกันเอาเองจากคำพูด NPC จากคำอธิบายของไอเท็ม ส่วนประเด็นหลักจะเป็นแค่ไปตามหา Lord of Cinder 5 คนกลับมานั่งบนบัลลังก์แล้วก็ บู้ม! ไม่สปอยล์!! NPC แต่ละตัวก็จะมีเควสไลน์เป็นของตัวเองซึ่งเราจะทำก็ได้ไม่ทำก็ได้ บางคน (เช่นคนรีวิว) ก็เป็นสายเก็บหมดทุกรายละเอียด ก็เล่นกันไป 50-60 ชั่วโมง บางคน (เช่นเพื่อนคนรีวิว) ไม่สนหน้าพระอินทร์พระพรหม เล่นแบบเร้งเต็มสปีด 20-30 ชั่วโมงก็ไปจิ้มหัวหน้าใหญ่จบเกมแล้ว
ซึ่งต้องขอสารภาพว่าตัวคนรีวิวไม่ได้เล่นซีรีส์ Souls เพราะสนใจเนื้อเรื่องหรือ lore ของตัวเกมเท่าไรนัก รู้ไว้ก็ดี แต่จะไปตามอ่านในวิกิหรือดูจากช่อง Youtube (VaatiVidya) เอาภายหลังเสียมากกว่า อันนี้ก็ขอบอกผู้เล่นใหม่ไว้เลยนะครับว่าถ้าไม่เข้าใจเนื้อเรื่องของเกมแนว Souls นั่นถือว่าปกติครับ ผู้สร้างเขาไม่ได้จะให้เข้าใจกันตั้งแต่แรกพบอยู่แล้ว ของแบบนี้อยู่กินกันก่อนแต่งดูใจกันยาว ๆ ถึงจะสามารถปะติดปะต่อได้
แต่ตัวสูตรสำเร็จมันก็มีอยู่นะ ในทั้ง 3 ภาคเลย (รวม Demon's Souls ด้วย) นั่นคือเราเป็น nobody ค่อย ๆ เหยียบศพพวกที่มาขวางไต่เต้าขึ้นไปสูงขึ้นเรื่อย ๆ จนกลายเป็น epic man ตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้ เปรียบเทียบเหมือนเข้าทำงานแล้วค่อย ๆ เลื่อนตำแหน่งไปจนถึงเป็นประธานบริษัท ไม่ว่าจะเป็นประธานใจบุญ (ending A) หรือประธานเขี้ยวลากดิน (ending B, C, D) ก็ตามที ไม่มีอะไรพิเรนทร์ ๆ ซึ่งผิดกันกับ Bloodborne และเป็นอีกเหตุผลหนึ่งว่าทำไมผมชอบ Bloodborne มากกว่า เพราะมันพิเรนทร์กันตั้งแต่ต้นยันจบโดยไม่ต้องพึ่งเนื้อเรื่อง DLC ด้วยซ้ำ ส่วนนี้ให้เห็นว่าต่างคนต่างรสนิยมละกันครับ
ตัวอย่างเหยื่อของการพยายามเข้าในเนื้อเรื่องด้วยตัวเอง
ซาวแทร็คของเกมนี้ส่วนใหญ่จะเน้นเงียบ ๆ เพลงในจุดที่เป็นที่พักของเราก็จะเน้นเปิดคลอไปเรื่อย ๆ ให้สบายใจว่ายืนตรงนี้ไม่มีการตุ๋ยจนตายเกิดขึ้นแน่นอน ระหว่างเดินลุยในฉากต่าง ๆ ก็จะไม่มีเพลงประกอบเลยให้สมกับเป็นเกมที่เน้นระวังตัว สำรวจค้นหา แล้วไปเปิดดังลั่นอีกทีตอนสู้บอส เพลงสู้บอสก็ so epic มากกว่าเดิม เพราะภาคนี้บอสเน้นว่าจะต้องมีหลายร่างมีการเปลี่ยนแพทเทิร์นในการต่อสู้ พอเริ่มซีเรียสขึ้นก็ขึ้นเพลงใหม่อัพเกรดความอลังไปตามบอส เป็นต้น
บางทีก็คืดนะ คุณ Sakuraba Motoi เวลาแต่งเพลง Tales แต่งเพลง Star Ocean แต่งเพลง Valkyrie Profile หรือเกมแนว jRPG ทั่วไป ๆ ทำไมมันฟังดูเหมือน ๆ กันไปหมด ไม่ค่อย sooooooooooo epic แบบที่มาแต่งใน Dark Souls เท่าไร ตอนมารับงานให้ From Software แอบโดนวางยาหรือเปล่า? แฟน ๆ คุณ Sakuraba ไม่โกรธนะ คือรู้สึกแบบนี้ตั้งแต่ Dark Souls ภาคแรกแล้ว "ก็แต่งแบบที่ไม่ซ้ำซากได้นี่หว่า" << ในใจคิดเงี้ย
ทั้งนี้ทั้งนั้นโดยรวมชอบทุกเพลงครับ
ถ้ารีวิวอันนี้เทียบกับ Bloodborne บ่อยเกินไปต้องขออภัยด้วยนะครับ มันอดไม่ได้ เพราะทางทีมสร้างก็ดูเหมือนจะขยับไปทางนั้นเหมือนกัน โดยทำให้จัวหวะของเกมมันเร็วขึ้นตอนต่อสู้ การเคลื่อนไหวของตัวละคร (และศัตรู) ที่มีลีามากขึ้น ยืดหยุ่นขึ้น (แต่ด้วยเฟรมตกเป็นว่าเล่นก็...นะ) โอเคล่ะว่า Dark Souls ก็ยังมีการยกโล่ขึ้นมาป้องกัน ใส่เกราหะหนัก ๆ ศัตรูดีแล้วยืนนิ่งได้ไม่กระเทือน ซึ่งตัวคนรีวิวยังไม่ไปถึงจุดนนั้นนะ คือยังโดนตีแล้วโดน stun lock แล้วดนซ้ำอีกทีตายคาที่อยู่ถ้ากลิ้งหลบไม่ทัน เวทมนตร์กับธนูก็ยังโกงเกมได้เหมือนเดิม ซึ่งในส่วนของเวทมนตร์ยังไม่เห็นความเปลี่ยนแปลงชัดเจน (สังเกตจากผู้เล่นคนอื่นตอน co-op) แต่ธนูนี่เลโกลัสขึ้นมาก มีกลิ้งแล้วยิง ยิงรัว ยิงทีละหลายดอก โดนปรับจนเทพ+น่าเล่นขึ้นเยอะมาก พร้อม ๆ ไปกับการกลับมาของ MP ที่หายไปนานตั้งแต่แต่สมัย Demon's Souls (ในเกมจะเรียกว่า FP) โดยในส่วนของ FP นอกจากจะเป็นทรัพยากรที่จำเป็นสำหรับการใช้เวทแล้ว คนต่อสู้ระยะประชิดก็ยังได้ใช้ด้วยจากระบบใหม่ล่าสุดคือ "Weapon Arts"
ตัวระบบ Weapon Arts ก็คืออาวุธชนิดต่าง ๆ จะมีสกิลเป็นของตัวเองซึ่งถ้าใช้ไปก็คือ FP ลดเหมือนกับเวท ยกตัวอย่างง่าย ๆ ก็คือพวกธนูที่บอกว่ายิงรัวได้ยิงทีละหลายดอกกระจาย ๆ ได้ พวกนี้ใช้ FP ดาบซามุไรก็มีการเก็บเข้าฟักแล้วชักออกมาฟันศัตรูอย่างรวดเร็ว พวกขวานก็มีตะโกนเพิ่มพลังโจมตีให้ผู้เล่นชั่วขณะหนึ่ง เป็นต้น เพิ่มความหลากหลายให้แก่เกมเพลย์และให้คุณสมบัติพิเศษแก่อาวุธต่าง ๆ ให้มีหลากหลายขึ้น
ทางผู้รีวิวเอง ส่วนตัวแล้วยังคงติดในพวก Trick Weapon ใน Bloodborne มากกว่านะครับ มีแค่ 10 กว่าอาวุธ แต่ละอาวุธก็มีวิธีเล่นที่แตกต่างกันไปแบบชัดเจน ซึ่งในส่วนของ Dark Souls III นี่แค่ครึ่งเกมก็เจออาวุธใหม่ ๆ ไปหลายสิบอันแล้ว (แล้วก็เวทอีกหลายชนิค) เยอะมาก! เลือกเอาสไตล์ใครสไตล์มันเลย แต่เล่นไปก็คิดถึงดาบเลื่อยไป คืออันนั้นนอกจากฟันเร็วกว่าศัตรูแล้วยังแรงด้วย ใน Dark Souls ภาคนี้ รู้สึกว่าเราต้องช้ากว่าศัตรูเสี้ยววินาทีหนึ่งเป็นประจำสิน่า ไม่ต้องพูดถึงบอสเลยว่าจะตีเร็วกันไปไหน ไม่ได้ดวลกันมัน ๆ เลย ถ้าจะเพลย์เซฟสุดต้องกลิ้งหลบ 1 ครั้ง ตี 1 ที กลิ้งหลบ 1 ครั้ง ตี 1 ทีตลอด ;~; (เค้าไม่อยากตาย บอกแล้วว่าเล่นห่วย)
จุดที่แตกต่างจากภาคอื่นที่อยากจะพูดถึงอีกเรื่องหนึ่งก็คือ Dark Souls III มีขนาดฉาฏในแต่ละโซนเล็กลงครับ อันนี้เข้าใจมาว่าทางผู้สร้างเองจงใจจะให้เป็นแบบนี้คือ ตัวสเกลของแผนที่ที่เล็กลง แต่ในที่เล็ก ๆ นั้นมีอะไรซ่อนอยู่หรือมีศัตรูอยู่กันหนาแน่นขึ้น ทำให้ตอนเล่นรู้สึกว่าไปถึงตัวบอสเร็วกว่าที่เคยชิน ตัวทางลัดที่ทำหน้าที่ให้เราไปกลับระหว่างจุดสำคัญกับจุดเซฟหรือหน้าห้องบอสกับจุดเซฟก็อยู่ใกล้กันมากขึ้น จุดนี้ก็ทำให้ 3 แตกต่างจากภาคอื่นเล็กน้อย
ทางด้านการพัฒนาตัวละครก็เหมือนเดิม ค่าสเตตัสก็อัพตามที่คิดว่าดีก็แล้วกัน (สายประชิดก็ไป STR หรือ DEX เป็นต้น) ที่สำคัญจริง ๆ คือการตี+อาวุธที่ตัวเองถนัดเสียมากกว่า แล้วก็ฝีมือในการเล่นเฉพาะตัว+ความอดทนที่ว่าเกมนี้มันเน้นให้เราตายบ่อย ๆ แล้วเรียนรู้จากจุดผิดพลาดว่าทำไมถึงตาย อย่ายอมแพ้ อาวุธนี้ไม่ได้ลองอันใหม่ อยากเล่นเวทแต่ค้นพบตัวเองทีหลังว่าชอบฟันมากกว่าก็เปลี่ยนไปมาได้อย่างอิสระเสรี (ถ้าเผลออัพ INT เยอะไปแล้วเพราะตั้งใจว่าจะเล่นเวท ก็แก้ไขด้วยการทำอาวุธที่ใช้พลังเวทเป็นพลังโจมตีได้ครับ)
สรุปก็เป็นเกมที่ดีมาก ๆ เกมหนึ่งที่ทั้งผู้เล่นเก่าและผู้เล่นใหม่น่าจะถูกใจและไม่มีปัญหาอะไรกับมันนะครับ ยิ่งในสมัยที่รอบตัวเรามีเกมฟอร์มยักษ์ระดับที่ไม่ห่วยก็เล่นแป๊บ ๆ เบื่อเยอะแยะเต็มไปหมด แต่พวก Dark Souls อะไรนี่เล่นกี่รอบก็ไม่เบื่อจริง ๆ สมมติถ้าให้ไปอยู่ในห้องปิดตาย 10 ปีก็จะติดเอาซีรีส์นี้แหละไปเล่น ทางนี้ก็เล่นจบไปรอบก็อดใจไม่ไหวเล่นอีกรอบทันที + กับไปซื้อเวอร์ชั่น PC ที่จะออกตอนสงกรานต์ปีนี้แบบไม่ลังเลและไม่แคร์เลยว่ามันดูเปลืองเงิน
ต่อไปจะ Bloodborne 2 หรือ Dark Souls 4 ทีมไหนทำก็เอาครับ ไม่ต้องไปทงไปทำมันแล้ว Armored Core เกมอัลไล
จบรอบแรกที่ record นี้ เก็บอะไรต่อมิอะไรค่อนข้างครบอยู่นะ
เดี๋ยวหนีไปเล่นภาค PC แล้วจ้า
สรุปจากบทความ
gameplay : bloodborne > dark souls III
บรรยากาศ : bloodborne > dark souls III
เนื้อเรื่อง : bloodborne > dark souls III
ปริมาณคอนเท้น dark souls III >>> bloodborne
12 เมษาไวๆจิ
ส่วนคนไม่ชอบ PvP ก็ยังสามารถฟาร์มของอัพ rank ได้จากศัตรู แต่โคตรแรร์ดรอปเลยละ
ส่วนฉากออกแบบได้สวยงามดี แต่ก็แลกมาด้วยเฟรมเรตที่ตกไปหลายฉากบนเครื่องคอนโซล ความยากของเกมก็ถือว่าง่าย มี bonfire เรื่อยๆ ตายไม่ต้องวิ่งไกลนัก บอสโดยรวมยากน้อยกว่าภาคแรก คือเล่นผ่านได้เรื่อยๆไม่ติดตัวไหนนานแบบอ้วนผอม แต่ก็มีตัวนึงที่ผมว่ายากจนหงุดหงิดต้องขอแรงเพื่อนถึงจะจัดการได้
เนื้อหาเกมก็ fan service แบบจัดเต็มตามประสาภาคปิดท้าย ใครชื่อชอบ demon's souls, dark souls ไม่ผิดหวังแน่นอน
เทียบกับ bloodborne ผมให้ dark souls 3 ชนะขาดในเรื่องความหลากหลายของ PvP build และระบบการเล่น มาเต็มกว่าไม่มีกั๊ก เล่น PvP กันยาวๆไปได้เลย
ขอแสดงความเห็นส่วนตัวหน่อย
เพราะหลังจาก bloodborne จบไปเมื่อปีก่อน แล้วมาจับ Ds3 รู้สึกว่า DS series จะมาถึงทางตันซะแล้ว
ไม่ใช่ว่าไม่ดีนะครับ Ds คือเกมที่ดีที่สุดของชีวิตผม
Demon souls คือ ความประทับใจสุดๆครั้งแรก
Dark souls 1 คือ ความสมบูรณ์แบบ
Bloodborne คือ ความแปลกใหม่
แต่ภาค Ds3 ดูชืดๆเชยๆ ยังไงไม่รู้
เหมือนผมทาน ต้มยำ>>ผัดเผ็ด>> แล้วตบด้วยต้มจืด
- สนุกมากเหมือนเดิม
- Boss มียากบ้าง ยากมากๆ บาง ยากโครต บ้าง
แล้วแต่ว่าเราถนัด หรือเล่นสายใหน อาวุธหรือสไตการเล่นทางเดียว ไม่ใช่จะแก้ทาง boss ได้ทุกตัว เค้าออกแบบมาให้ เราได้เล่นได้ลองทุกสายอยู่แล้ว ปรับเปลี่ยนอาวุะ เปลี่ยนเวท เปลี่ยนเสื้อผ้าหน้าผมไปตามเหตุการ
- เนื้อเรื่อง ก็งงเหมือนเดิม ต้องงม ต้องอ่าน ต้องเดาเหมือนเคย
ก็เหมือนเดิมละนะ ---สนุกมากเหมือนเดิม---