Menu
[--mobilemenu--]
บราวเซอร์ของท่านไม่สนับสนุนหรือปิดการใช้งาน javascript ซึ่งจะไม่สามารถใช้งานไซต์บางส่วนเช่นการเข้าลิ้งค์ หรือโพสข้อความได้ตามปกติ, กรุณาเปิดการใช้งาน javascript เพื่อที่จะใช้งานเว็บ gconhubม หากมีปัญหาในการใช้งาน หรือต้องการสอบถามเพิ่มเติม กรุณาติดต่อ [email protected] หรือ [email protected]
[บทสรุป] Dragon Quest XI : การตามหาช่วงเวลาที่ขาดหายไป

Reply
Vote
# Sat 2 Sep 2017 : 6:28PM

Agent Molder
member

Since 2014-10-18 17:38:48
(112 post)
เนื้อเรื่องทั้งหมดของ DQ11 ตั้งแต่เริ่มจนจบบอสหลัก ถ้ายึดตามหัวข้อของท่านโจ้ ก็ประมาณเนื้อเรื่องที่ 34 ครับ เชิญเสพได้ตามอัทธยาศัย

จุดกำเนิดผู้กล้า
วันเกิดครบ 16 ปี พระเอกกับเอม่า ต้องขึ้นไปทำพิธีการเป็นผู้ใหญ่บนยอดเขาหมู่บ้านอิชิ เมื่อขึ้นไปถึงยอด เจอนกเหยี่ยวเข้ามาทำร้ายเอม่า พระเอกกระโดดเข้าช่วย สัญลักษณ์ที่มือพระเอกส่องแสง เรียกเวทย์สายฟ้ากำจัดนกเหยี่ยว เมื่อลงมาที่หมู่บ้าน เล่าให้หัวหน้าหมู่บ้านและแม่พระเอกฟัง ก็ได้รู้ความจริงว่าพระเอกคือผู้กล้า กลับชาติมาเกิด ถูกเก็บมาเลี้ยงโดยคุณปู่ โดยคุณปู่บอกว่า เมื่อตัวเอกอายุ 16 ให้มอบสร้อยและให้พระเอกออกเดินทางไปที่อณาจักรเดคาดอร์ พระราชาจะเป็นคนบอกความจริงทั้งหมด จากนั้นพระเอกก็ออกเดินทางไปยังปราสาทเดคาดอร์ เมื่อพบพระราชา กลับถูกอัศวินเกรกจับกุมไปขังไว้ในคุก แล้วถูกตราหน้าว่าเป็นลูกของปีศาจ

Prison Break
ภายในคุก พระเอกได้เจอคามิว โจรที่ถูกจับอยู่อีกห้องนึง พอคามิวรู้ว่าพระเอกคือผู้กล้า ก็เลยแหกคุกแล้วพากันหนี แต่ขณะที่หนีก็โดนไล่ตามจนทั้งสองคนต้องกระโดดลงน้ำตก ฟื้นขึ้นมาอยู่ที่โบสถ์ใกล้ๆกำแพงเมืองเดคาคอ คามิวบอกว่าต้องกลับไปหาคนๆนึง เพื่อเอาของสำคัญที่ฝากไว้ พระเอกกับคามิวเลยแอบเข้าเมืองเดคาดอร์ทางกำแพงเมืองส่วนล่าง ทำให้รู้ว่าสิ่งที่คามิวตามหาอยู่ที่เดค ซึ่งตอนนี้เป็นพ่อค้าร่ำรวยในเมืองเดคาดอล พอพระเอกและคามิว แอบเข้าไปได้แล้ว ก็ไปหาเดคที่บ้าน และสอบถามได้ความว่าเดคได้มอบลูกแก้วสีแดงให้กับเกรกไปแล้ว (เดคเคยเป็นลูกไล่ของคามิวมาก่อนสมัยเป็นโจร) และรู้ว่าเกรกนำลูกแก้วนั้นไปเก็บไว้ที่วิหารเดคาดอลทางใต้

รากต้นไม้โลก
พระเอกและคามิวจึงออกเดินทางอ้อมไปทางใต้ เนื่องจากมีทหารเฝ้าอยู่ ซึ่งเส้นทางนั้นต้องผ่านเมืองอิชิด้วย ระหว่างเดินทางก็ทำให้รู้ว่ารอยสักของพระเอกสามารถทำปฏิกิริยากับรากของต้นไม้โลกได้ ทำให้สามารถรู้อดีตของาสถานที่นั้นๆได้ เมื่อพระเอกเดินทางมาถึงเมืองอิชิ ก็พบว่ากลายเป็นย้อนอดีตไปในสมัยที่ตัวเองยังเด็ก 6 ขวบ และไปพบคุณปู่ที่เก็บเรามาเลี้ยง คุณปู่บอกว่าให้ไปที่น้ำตกอิชิ จะมีกล่องซ่อนอยู่ พระเอกและคามิวออกเดินทางต่อเพื่อไปยังวิหารเดคาดอ และได้พบกล่องที่มีจดหมายของแม่และของปู่ซ่อนไว้ บอกความจริงว่าพระเอกเป็นผู้กล้ากลับมาเกิดเป็นเจ้าชายเมืองยุกนอร์ แต่ถูกคนของปราสาทเดคาดอขับไล่ จึงต้องพาหนี ดังกล่าว ในกล่องนั้นก็มีศิลาปริศนา ใช้เปิดประตูเดินทาง ให้พระเอกเดินทางไปที่นั่น ซึ่งเป็นทางผ่านไปยังวิหารเดคาดอพอดี คามิวเลยขอให้ไปช่วยหาลูกแก้วแดงก่อน

หมู่บ้านอันห่างไกล
เดินทางไปถึงวิหาร และเอาลูกแก้วออกมาได้แล้ว ระหว่างที่กำลังเดินทางไปยังประตูเดินทาง ก็ถูกนายพลเกรกตามมาทัน พระเอกและคามิวจึงรีบหนี สุดท้ายทั้งสองก็หนีเข้าประตูเดินทางสำเร็จ และถูกส่งตัวไปยังดินแดนแสนไกล ออกจากประตูเดินทาง พบหมู่บ้านโฮมูระ ดินแดนแห่งภูเขาไฟและบ่อน้ำร้อน คามิวจึงขอตัวอาบน้ำ ระหว่างอาบ ก็พบเด็กหลงทางตามหาพ่อ และพบกับสาวน้อยหมวกแดงเวโรนิก้า ซึ่งกำลังตามหาน้องสาว โดยเวโรนิก้า พอเห็นพระเอกก็รู้ทันทีว่าคือผู้กล้ากลับชาติมาเกิด จึงขอร้องให้พระเอกช่วยตามหาน้องสาวของตน ซึ่งน่าจะอยู่ที่ถ้ำปีศาจ และคาดว่าพ่อของเด็กหลงนั้น ก็อยู่ที่เดียวกัน พระเอก คามิว และเวโรนิก้าจึงออกเดินทางตามหาน้องสาวที่ถ้ำแห่งปีศาจ สุดท้ายก็ช่วยเหลือเซเนียน้องสาวของเวโรนิก้า และพ่อของเด็กหลงได้สำเร็จ เวโรนิก้าบอกว่าถึงตัวเองดูเป็นเด็ก แต่จริงๆโตแล้ว แต่ถูกปีศาจดูดพลังเวทย์ไป เลยกลายเป็นเด็ก แต่พอชนะปิศาจได้พลังคืนแล้ว แต่อายุก็ยังไม่กลับ เป็นเด็กต่อไป(ไม่รู้ทำไมเหมือนกัน) และบอกว่าสองพี่น้องเวโรนิก้าและเซเนีย เป็นชาวเมืองแลมด้า เป็นผู้รับใช้ผู้กล้า แต่ไม่รู้เพราะเหตุใด ชาวโลกโรโตะเซตาเชียถึงกลับกลัวและขับไล่ผู้กล้า และบอกว่าถ้าอยากรู้ต้องไปที่ต้นไม้โลก ซึ่งต้นไม้โลกลอยอยู่บนฟ้า จะไปได้ต้องมีกิ่งแห่งต้นไม้โลกก่อน เมื่อกลับมาเมืองโฮมูระ พ่อของเด็กคนนั้นซึ่งเป็นผู้หาข่าว ได้บอกว่าเคยเห็นกิ่งแห่งต้นไม้โลกที่เมืองทะเลทรายซามาดี้ เซเนียและเวโรนิก้าจึงเข้าร่วมเดินทางไปด้วย

เจ้าชายขี้ไก่
ทั้งสี่ออกเดินทางมายังเมืองทะเลทรายซามาดี้ ก็พบว่าเมืองกำลังมีละครสัตว์พอดี เมื่อไปคุยกับพระราชา พระราชายังไม่ว่าง เนื่องจากต้องจัดพิธีให้ลูกชายฟารีสครบรอบ 16 ปีก่อน โดยการจัดแข่งม้า และเจ้าชายต้องชนะ เจ้าชายฟารีสซึ่งเหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อ ทำอะไรไม่เป็น จึงวานให้พระเอกช่วยแข่งแทน แลกกับจะทูลบอกราชาเรื่องกิ่งไม้แห้งต้นไม้โลก พระเอกแข่งม้าชนะซิลเวีย (ซิงเวียเป็นคนของคณะละครสัตว์ที่เก่งมาก) แต่ซิลเวียก็รู้ความจริงเรื่องที่สลับตัวกัน ระหว่างยุ่งๆอยู่นั้น ทหารก็แจ้งว่ามีแมงป่องยักษ์ออกมาอาละวาด พระราชาจึงให้เจ้าชายฟารีสออกไปปราบ เจ้าชายก็ขอร้องพระเอกอีกครั้ง พระเอกจึงอาสาออกไปปราบแมงป่องยักษ์ โดยมีซิลเวียขอติดตามไปด้วย เมื่อถึงรังแมงป่อง เจ้าชายก็ขี้ขลาดไม่กล้าสู้ พวกพระเอกเลยสู้แทนจนชนะ เจ้าชายจึงแบกแมงป่องกลับเมือง พอมาถึงเมืองปรากฏว่าแมงป่องยังไม่ตาย กำลังจะเข้าทำร้ายประชาชน เจ้าชายฟารีสกลัวไม่กล้าสู้ ซิลเวียจึงโผล่ออกมาแล้วพูดให้กำลังใจเจ้าชายฮึกเหิม จนลุกขึ้นสู้ สุดท้ายซิลเวียก็ช่วยปราบแมงป่องจนสำเร็จ จากนั้นเจ้าชายจึงทูลขอกิ่งไม้โลกจากพระราชา แต่พราราชาบอกว่าได้ขายให้พ่อค้าไปแล้ว โดยที่พ่อค้าเดินทางไปยังเมืองท่าดาฮารูเน่ และได้มอบบัตรผ่านทางให้พระเอก ขณะที่พวกพระเอกกำลังเดินออกนอกเมือง ซิลเวียก็ขอติดตามพระเอกไปด้วย เพราะอยากออกผจญภัย และทั้งหมด 5 คน ก็ได้ออกเดินทางไปยังเมืองท่าดาฮารูเน่
ไอ้หนุ่มตังเก
เมื่อมาถึงเมืองท่า ก็ทราบว่า พ่อค้าที่ซื้อกิ่งไม้โลกไป ได้ออกเดินทางโดยเรือไปแล้ว แต่ซิลเวียบอกว่าไม่ต้องห่วง เพราะหล่อนมีเรืออยู่ที่เมืองนี้ แต่ไม่ยอมบอกว่าทำไมถึงมีเรือ พอเดินที่ท่าเรือ ก็พบว่าท่าเรือปิด เพราะจะมีการแข่งขันประกวดหนุ่มตังเก ท่าเรือจะปิดสักพัก อยากรู้ข้อมูลเพิ่มให้ไปถามหัวหน้าหม่บ้าน ซิลเวียกับสาวๆดี๊ด๊ากันใหญ่ จึงพากันไปช้อปปิ้ง พระเอกกับคามิวเลยไปที่บ้านหัวหน้าหมู่บ้าน พอหัวหน้าหมู่บ้านเห็นหน้าพระเอก ก็โกรธ แล้วปิดประตูใส่ทันทีไม่พูดไม่จา จากนั้นเซเนียก็เข้ามาบอกว่า เวโรนิก้ากำลังทะเลาะกับเด็กแย่งไม้เท้ากัน คามิวไปตบเกรียนแย่งคืน จึงรู้ว่า เด็กจะเอาไม้เท้าไปรักษาเพื่อน(ซึ่งเป็นลูกของหัวหน้าหมู่บ้าน) เพราะลูกหัวหน้าหมู่บ้านโดนสาปให้เสียงหายไป เซเนียตรวจอาหารบอกว่าต้องใช้น้ำมนต์ศักดิ์สิทธิ์ เด็กบอกว่ามีถ้ำแห่งนึงที่มีน้ำศักดิ์สิทธิ์ พวกของตัวเอกจึงอาสาไปเอาหยดน้ำศักดิ์สิทธิ์มาช่วย เมื่อได้มาแล้วกลับมาที่เมืองก็กำลังจัดงานประกวดหนุ่มตังเกพอดี สาวๆแยกตัวไปเอาน้ำศักดิ์สิทธิ์ให้เด็ก ส่วนพระเอกกับคามิวเดินไปที่เวที เมื่อถึงหน้าเวลทีกลับพบนายพลโฮเมรอส และถูกทหารเมืองเดคาดอลล้อมไว้ เมื่อสู้จนชนะ(หรือแพ้ก็ได้ในเกมส์) ก็มีทหารมาล้อมอีก แต่พวกสาวๆกลับมาช่วยได้ทันพากันหนี แต่คามิวพุ่งเอาตัวบังคาถาโดลม่าที่นายพลโฮมิรอสร่ายใส่กลุ่มคนจนพลาดท่าถูกจับ พวกที่เหลือหนีไปซ่อนตัว จนกลางคืน จึงหาทางย่องไปช่วยคามิว และต้องสู้กับนายพลโฮมิรอส เมื่อสู้ชนะ ทหารก็ตามมาสมทบ ในขณะที่กำลังจวนตัว ซิลเวียก็ไปพาเรือมาช่วยโดยมีคนขับคืออริสจัง? ขับเรือมาพอดี พวกพระเอกจึงกระโดดลงเรือ แต่ขณะที่กำลังหนี ก็มีปลาหมึกยักษ์คราก้อนมาขวางทาง แต่ในที่สุด หัวหน้าหมู่บ้าน ก็พากองเรือรบเข้ามายิงสกัด เนื่องจากลูกชายหัวหน้าหมู่บ้านบอกว่า คนพวกนี้มาช่วยเขาไว้ หัวหน้าหมู่บ้านขอโทษที่เข้าใจผิด นึกว่าผู้กล้าเป็นคนสาปให้เสียงเด็กหายไป แต่จริงๆแล้ว คนที่สาปเป็นนายโฮเมรอสนั่นเอง คราก้อนตกใจหนีไป เปิดทางให้พระเอกหนีนายพลโฮมิรอสได้สำเร็จ อรสจังบอกว่าพ่อค้าที่ซื้อกิ่งไม้โลกไป ได้ล่องเรือไปทางตะวันออกเฉียงเหนือสู่เมืองบันเดโฟน พวกพระเอกทั้งหมด จึงมุ่งหน้า ออกเรือไปสู่เมืองบันเดโฟนในทันที (เอหรือว่าจะแวะที่เมืองโซลเทโก้ เพื่อเล่นคาสิโนก่อนดีนะ 555+)

The Mask Fighter หน้ากานักสู้ สู้ สู้ ....
หลังจากที่เราเล่นคาสิโนกันจนอิ่มหนำแล้ว ก็มุ่งหน้าไปทวีปบันเดโฟน เมื่อถึงทวีปบันเดโฟน ก็พบว่า เมืองบันเดโฟนเดิม ถูกปีศาจทำลายไปเมื่อ 16 ปีก่อนแล้ว เหลือแต่ที่พักแรมเนลเซ่น ซึ่งนักเดินทางในที่พักแรมบอกว่าทางเหนือมีเมืองชื่อกรอตต้า เป็นเมืองแห่งนักต่อสู้ กำลังมีการจัดการแข่งขันหน้ากากให้เราลองไปดู เดินทางไปจนถึงเมืองกรอตต้า ก็ทราบว่ากำลังจะมีการแข่งศึกชิงจ้าวยุทธภพหน้ากาก โดยมีของรางวัลเป็นกิ่งไม้โลกนั่นเอง!! รางวัลที่สองคือออร์บสีทอง เมืองกรอตต้าคือเมืองที่รอดจากการโจมตีของปีศาจเมื่อ 16 ปีก่อน โดยมีท่านนายพลเกรกมาช่วยไว้ ชาวเมืองจึงสร้างอนุสาวรีย์เกรกเอาไว้ในเมือง และตั้งชื่อสถานที่แข่งขันว่า เกรกสเตเดียม นอกจากนี้ยังมีข่าวว่าช่วงนี้มีนักต่อสู้หลายคนหายตัวไปอย่างประหลาดอีกด้วย พระเอกก็สมัครลงแข่งขัน เป็นการแข่งแบบ 2-2 โดยขณะที่พระเอกจับฉลากได้คู่กับมัลทีน่า แต่รอว์ไม่ยอม บอกว่ามัลทีน่าต้องคู่กับเขาเท่านั้น กรรมการจึงจับฉลากใหม่ พระเอกเลยได้คู่กับแฮนฟรี แช้มเปี้ยนครั้งที่แล้ว แฮนฟรีอาศัยที่โบสถ์ซึ่งเป็นสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าที่แฮนฟรีใช้เงินจากการชนะการแข่ง เพื่อมาเลี้ยงเด็กๆ จากนั้นพระเอกและแฮนฟรี ก็ได้สู้ชนะคู่ต่อสู้เรื่อยมาจนถึงรอบชิง ก็ได้แข่งกับคู่ของมัลทีน่าและรอว์ ขณะกำลังจะสู้ติดพัน มัลทีน่าก็สังเกตเห็นรอยสักของพระเอกที่มือ ทำให้เสียจังหวะ พวกพระเอกจึงอาศัยจังหวะนี้เอาชนะลงได้ ขณะที่กำลังมอบถ้วย แฮนฟรีก็เจ็บหน้าอกและล้มลง
ในคืนนั้นเอง รอว์ก็มาพบพระเอก แล้วบอกว่า มัลทีน่าหายตัวไป ให้ช่วยตามหาหน่อย โดยสถานที่สุดท้ายที่มัลทีน่าหายไปคือโบสถ์รับเลี้ยงเด็กกำพร้า พวกพระเอกจึงอาสาไปช่วย ตามลงไปในถ้ำจนถึงรังของแมงมุมอาราก๊อต เอ้ย อาราเกราโตโร่ ซึ่งเป็นปีศาจตนเดียวที่เหลืออยู่จากเมื่อ 16 ปีก่อน โดยเกรกฝากรอยบากไว้ที่ตาซ้ายของมัน และแฮนฟรีเองก็เป็นคนจับนักสู้เพื่อให้แมงมุมยักษ์รีดเอาน้ำ เอคิส ซึ่งเป็นสารสกัดจากพลังของนักรบ เพื่อมาเพิ่มพลังของแฮนฟรีในการสู้ เพื่อชนะเอาเงินรางวัลมาเลี้ยงเด็กๆ แต่ตัวเอคิสนี้มีผลข้างเคียง ร่างกายแฮนฟรีรับไม่ไหว ล้มลงไปอีก พวกพระเอกเลยต้องกำจัดแมงมุมอาราเกโตโร่ให้สิ้นซาก หลังจากชนะแมงมุมยักษ์ แฮนฟรีก็กลัวว่าสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าจะถูกยุบ แต่รอว์บอกว่าเขาเส้นใหญ่ เดี๋ยวจะช่วยให้ แฮนฟรีดีใจมาก ในวันประกาศผลรางวัล แฮนฟรีจึงขอสู้กับพระเอก และก็ยอมแพ้(ไม่ได้กินเอคิส เลยแพ้) สุดท้ายพระเอกก็ชนะ แฮนฟรีแพ้ แต่ชนะใจคนดู ขณะที่กำลังจะรับของรางวัลซึ่งก็คือกิ่งไม้โลกกับโกลด์ออร์บ ก็พบว่าของรางวัลถูกมัลทีน่ากับรอสว์ขโมยไปแล้ว และทิ้งจดหมายว่า ถ้าอยากได้ให้ตามไปที่ซากปราสาทยุกนอร์ทางเหนือ พวกพระเอกจึงต้องออกเดินทางอีกครั้ง


เจ้าชายแห่งยุกนอร์
เมื่อไปถึงซากปราสาทแล้ว ก็ได้พบกับรอว์ รอว์บอกว่าดีใจมากที่เจอพระเอก ไม่ได้เจอกันนาน 16 ปี จากนั้นก็พาไปที่หลุมศพของกษัตริย์เอลวินและราชินีเอเลนอร์ แห่งยุกนอร์ และได้บอกว่าตัวเองคือตาของพระเอก!! เมื่อ 16 ปีก่อนยุกนอร์กับเดคาดอ เป็นบ้านพี่เมืองน้อง แต่อยู่ดีๆ กษัตริย์ยุกนอร์(ที่เป็นเพื่อนกับรอว์) ก็เปลี่ยนไป กล่าวหาว่าพระเอกคือลูกของปีศาจ และก็มีพวกปีศาจเข้ามาทำลายเมือง และฆ่าชาวเมืองทั้งหมดภายในคืนเดียว ซึ่งรอว์ก็ยังไม่รู้สาเหตุ จากนั้นรอว์จึงขอให้พระเอกช่วยทำพิธีส่งวิญญาณชาวเมืองยุกนอร์ที่เสียชีวิต วิญญาณกลายเป็นผีเสื้อลอยไปยังต้นไม้โลก เมื่อทำพิธีเสร็จ พระเอกก็ได้คุยกับมัลทิน่า บอกว่าแม่พระเอกเป็นคนที่มีบุญคุณกับเธอมาก แม่ของมัลทีน่าป่วยตายตั้งแต่เด็ก ท่านเอเลนอร์(แม่พระเอก)ก็ได้ช่วยเลี้ยงเธอมา และมัลทีน่าก็มาเที่ยวที่ปราสาทยุกนอร์บ่อยๆ สักพักก็พบว่ามีทหารของ เดคาดอลมาถึงที่ ขณะกำลังจะหนี นายพลเกรกก็เข้ามาขวางทาง สู้กันไปมา ขณะที่พระเอกกำลังเสียท่า เกรกก็เห็นมัลทีน่า แล้วเหมือนจะนึกถึงเด็กน้อยคนนึงและจำชื่อได้ พระเอกเสียหลักตกลงหน้าผา มัลทีน่ากระโดดลงไปช่วย และบอกว่าครั้งนี้จะไม่ปล่อยพระเอกไปอีกเด็ดขาด (ภ่พตัดไปตอนเด็กที่ทำตะกร้าหลุดมือ)
ตกกลางคืน มัลทีน่าก็บอกความจริงว่าตัวเองคือเจ้าหญิงแห่งเดคาดอล เมื่อ 16 ปีก่อน ขณะปีศาจมาบุกปราสาทยุกนอร์ ตัวเอง(มัลทีน่า) ก็อยู่ที่ปราสาทด้วย และได้พาพระเอกหนีไปพร้อมกับเอเลนอร์ สุดท้ายเอเลนอร์ก็เอาตัวเองเข้าแลก เพื่อให้มัลทีน่าหนีไปกับตะกร้าใส่เด็ก(ตัวเอก) แต่ด้วยความที่ยังเด็ก เลยทำให้ตะกร้าหลุดมือไป มัลทีน่าเองก็เกือบจมน้ำ แต่รอว์ได้มาช่วยไว้ จากนั้น รอว์กับมัลทน่าก็จะไปที่เมืองเดคาดอเพื่อเล่าความจริง แต่พระราชาเดลคาดอกลับติดประกาศว่าพระเอกคือลูกของปีศาจ และได้ฆ่าลูกสาวของพระราชาตายไปแล้ว รอว์พยายามเข้าพบ แต่พระราชาก็ปฏิเสธ ทำให้ต้องออกเดินทางหาคำตอบกันเพียง 2 คน จนมาเจอพระเอกที่เมืองกรอตโต้เนี่ยแหล่ะ ในตอนเช้า มัลทีน่าและพระเอกก็กลับไปที่ปราสาทยุกนอร์ ระหว่างทางก็เจอนายพลเกรกมาขวางทาง แต่สุดท้ายก็แย่งม้าหนีมาได้ เมื่อเจอกับทุกคนแล้ว รอว์ก็บอกว่า เท่าที่ได้ข่าวมา มีปีศาจร้ายชื่ออุลโนก้า ได้ปรากฏขึ้นและทำลายเมืองสำคัญไปหลายเมือง และคาดว่าเดคาดอลก็เป็นเหยื่อของมันด้วยเช่นกัน จึงของติดตามพระเอกไปด้วย เพื่อตามหาอุลโนก้า และความจริงทั้งหมด รอว์มอบกิ่งไม้ให้ และพบว่ามีภาพนิมิตแท่นบูชาแห่งนภา และออร์บหกสี การเดินทางตามหาดราก้อนบอล..เอ้ย แออร์บก็ได้เริ่มขึ้น ตอนนี้มีออร์บอยู่แล้ว 2 ลูกคือสีแดงที่คามิว และสีทองที่รอว์ได้มาจากกรอตต้า รอว์บอกว่าไปที่เมืองโซลเทโก้(เมืองคาสิโน) จะสามารถเปิดทางออกไปสู่ทะเลนอกได้ เพื่ออกไปหาข้อมูล ทุกคนจึงมุ่งหน้าไปที่ประตูน้ำโซลเทโก้ โดยที่ซิลเวียมีท่าทีแปลกๆ...

ตำนานนางเงือกสาวโรเมีย
เมื่อไปถึงเมืองท่าโซลเทโก้ ซิลเวียก็ขอตัวออกไปเก็บดอกไม้?? ไม่ยอมเข้ามาในเมืองด้วย พระเอกจึงไปที่บ้านเจ้าเมือง เพื่อขอเปิดประตูน้ำ แต่ว่าเจ้าเมืองเชโก้ไม่อยู่ อยู่แต่พ่อบ้าน พ่อบ้านจึงเปิดประตูน้ำให้ เพื่อให้พวกพระเอกเดินทางออกสู่ท้องทะเลด้านนอก พอล่องเรืออกไปแล้ว ที่ปากแม่น้ำ ก็พบเกาะประหลาด ชื่อเกาะหาดทรายขาว ลงไปสำรวจพบนางเงือกโรเมีย นางเงือกเล่าว่าตัวเองพบรักกับชาวประมงชื่อคิไน และสัญญาว่าจะกลับมาแต่งงานกัน แต่โรเมียรอตรงนี้มานานแล้ว คิไนก็ไม่กลับมา น่าจะต้องมีอะไรสักอย่างแน่ วานให้เราไปหาให้หน่อยที่เมืองประมง นากีมูน่า ถ้าเราช่วย เธอจะพาเราลงไปหาข้อมูลเรื่องลูกแก้วที่โลกใต้ทะเลให้ด้วย จากนั้นพวกพระเอกจึงล่องเรือไปทางตะวันออก ไปที่เมืองประมงนากีมูน่า ไปถามหาชายชื่อคิไน ที่เมืองนี้ก็มีเรื่องเล่าต่อๆกันมาว่า “กาลครั้งหนึ่ง มีชาวประมงผู้เก่งกาจ โดนพายุทำให้เรือล่ม แต่ก็มีนางเงือกมาช่วยไว้ ซึ่งมีข้อแม้คือจะต้องแลกด้วยชีวิต หลังจากกลับมาหมู่บ้าน ชาวประมงคนนั้นก็เหม่อลอย พร่ำเพ้อถึงแต่นางเงือก หัวหน้าหมู่บ้านที่จะยกลูกสาวตัวเองให้ชาวประมง คิดว่าเกิดจากคำสาปนางเงือก เลยโกรธแค้นนางเงือก เผาเรือของชาวประมงคนนั้น และจับไปขังไว้ไม่ให้ออกจากหมู่บ้าน” หลังจากหาข้อมูล ชาวบ้านบอกว่าผู้ชายในหมู่บ้านนี้ออกไปปราบเจ้าปลาหมึกยักษ์คราก้อนกันอยู่ ถ้าอยากเจอคิไน ก็ให้ไปช่วยปราบด้วยละกัน พวกพระเอกจึงออกเรือไปพบจุดที่ชาวประมงช่วยกันปราบหมึกยักษ์ พอสู้ชนะก็กลับมาเลี้ยงฉลองที่เมือง
ที่สะพานริมทะเล พวกเราก็ได้เจอกับคิไน ตอนแรกคิไนบอกว่าไม่รู้เรื่อง แต่คุยๆไปก็ยอมรับว่า คิไน ในเรื่องเล่านั้นเป็นปู่ทวดของตัวเอง ชื่อคิไน ยูกิ แล้วก็เล่าเรื่องต่อว่า “หลังจากโดนขังผ่านไป 10 ปี ลูกสาวเจ้าเมืองก็แต่งงานกับคนอื่น มีลูกคนนึง ในวันหนึ่งก็เกิดเหตุเรือประมงโดนพายุ สามีและพ่อของหญิงสาวคนนั้นก็หายไปในทะเล และไม่นานนัก หญิงสาวและลูกน้อย ก็หายตัวไปเช่นกัน ชาวบ้านก็เลยนึกได้ว่าอาจจะเป็นคำสาปนางเงือก จึงบุกไปยังที่ขังคิไนยูกิท้ายหมู่บ้าน แต่ก็ต้องประหลาดใจ เมื่อพบว่าคิไนยูกิอุ้มเด็กทารกอยู่” เวโรนิก้าจึงบอกว่างั้นคิไนคนปัจจุบันก็เป็นลูกหลานนางเงือกน่ะสิ คิไนคนปัจจุบันปฏิเสธ และบอกว่าให้ตามไปที่บ้านด้านหลังหมู่บ้าน ไปถึงหลังหมู่บ้าน คิไนก็ยอมรับว่าตนอาจจะเป็นหลานนางเงือกจริงๆ แล้วก็มอบผ้าคลุมแต่งงานที่ปู่ทวดทิ้งไว้ เพื่อมอบให้นางเงือกโรเมีย แล้วบอกว่า อย่าพูดเรื่องนางเงือกอีก เมื่อกลับไปหานางเงือก ก็จะมีคำถามให้เลือกว่าจะโกหก หรือไม่โกหกเรื่องของคิไนยูกิ ถ้าเราเลือกโกหก นางเงือกก็จะนั่งคอยไปตลอดกาล แล้วจะมอบพิณนางเงือกให้เรา แต่ถ้าเลือกไม่โกหก เราเล่าความจริงไป นางเงือกก็ไม่เชื่อ และขอตามไปที่หมู่บ้าน เมื่อถึงหมู่บ้าน คิไนก็บอกว่า คิไนยูกิน่ะตายไปแล้ว มีสุสานอยู่ตรงนั้น โรเมียเศร้าใจมาก เสกหางกลายเป็นขา เดินขึ้นมาที่หลุมศพ และกระโดดลงน้ำกลายเป็นฟองหายไป ก่อนกระโดดน้ำก็ขอบคุณเราและบอกว่าทิ้งของไว้ให้ที่หาดทรายขาง (ดินแดนเงือกมีกฎว่า ถ้าเปลี่ยนหางเป็นขาแล้ว กลับลงน้ำอีกรอบ จะกลายเป็นฟอง)
คิไนขึ้นไปที่บ้านของปู่ ให้ดูรูปโรเมีย มัลทีน่าเดินไปเจอจดหมายด้านหลังรูป(เสียบอยู่หลายสิบปี เมิงไม่เคยเจอเลยรึ?) จดหมายบอกว่า “ถึงคนที่ฉันรัก โรเมีย หลังจากฉันต้องอยู่ห่างจากหมู่บ้านนานถึง 10 ปี ฉันคิดถึงเธอมาตลอด ในหนึ่งที่เกิดพายุ อยู่ๆฉันก็เจอหญิงสาวลูกหัวหน้าหมู่บ้าน กำลังอุ้มลูกน้อยกระโดดลงหน้าผา ฉันไม่สามารถช่วยหญิงสาวได้ ช่วยได้แต่เด็กน้อย เป็นเพราะฉันเองที่ทำให้ทุกคนต้องตายใช่ไหม ดังนั้นฉันจึงต้องรับเลี้ยงเด็กคนนี้ไว้เอง เพื่อชดใช้กรรม เธอยังรอฉันอยู่ไหม ฉันอยากจะบอกให้เธอรู้ว่า ฉันรักเธอเสมอนะ” เรื่องทุกอย่างก็กระจ่าง คิไนคนปัจจุบัน คือลูกหลานของลูกสาวหัวหน้าหมู่บ้านนั่นเอง ไม่ใช่ลูกเงือก พระเอกจึงกลับไปที่หาดทรายขาว เพื่อไปเอาพิณนางเงือกที่โรเมียทิ้งไว้ให้ และเดินทางไปยังดินแดนนางเงือกต่อไป เศร้าจัง

เมืองใต้ทะเล มูลันโด้(มูแลนด์)
ล่องเรือไปจนพบเสาแห่งแสงขึ้นมาจากน้ำ ใช้พิณนางเงือกจะดำลงไปใต้ทะเล จะพบเมืองใต้ทะเล ที่นี่เป็นเมืองของเหล่าเงือก และปลาต่างๆ เมื่อพบราชินีเงือกเซเลน เราก็เล่าเรื่องของโรเมียให้ฟัง ราชินีเงือกเข้าใจ บอกว่ามันเป็นชะตากรรมของเงือกเมื่อมีความรักกับมนุษย์ ก็ต้องจบลงแบบนั้น ตอนนี้ทั้งสองคงไปสู่ต้นไม้แห่งโลกเรียบร้อยแล้ว การที่พวกเราออกเดินทาง และการที่เราสองคนได้มาพบกัน ก็คงเป็นประสงค์ของต้นไม้โลกเช่นกัน และขอมอบสมบัติชิ้นนึงให้ เป็นของจากโลกมนุษย์ ซึ่งก็คือลูกแก้วสีเขียวนั่นเอง(กรีนออร์บ) และบอกว่ามีเสาแห่งแสงแบบนี้เช่นกันที่ทวีปทางตะวันตกเฉียงเหนือ พวกพระเอกจึงเดินทางกันต่อไปตามทางที่ราชินีเงือกบอก เมื่อถึงเสาแห่งแสง ก็พบว่าเป็นทางเชื่อเข้าไปยังดินแดนภายในได้ ชื่อว่าทวีปเมดัลชาร์ต

ทวีปเมด้าชาร์ต
ทวีปแห่งนี้เป็นที่ตั้งของโรงเรียนหญิงแห่งเหรียญเล็ก เมื่อเข้าไปในโรงเรียน ครูใหญ่บอกว่า “ที่นี่เป็นโรงเรียนสอนการผจญภัย ตามหาเหรียญเล็ก เพื่อผลิตเลดี้ที่ยิ่งใหญ่ในอนาคต ดูแล้วท่าทางนายน่าจะเป็นนักเรียนชั้นดีได้ แต่ว่านายเป็นผู้ชาย ไม่สามารถเข้าเรียนได้(แล้วอีซอมบี้นั่นคือไร!!!) เลยขอมองบัตรนักเรียนพิเศษแทน” ด้านในเป็นที่แสตมป์เหรียญเล็ก ไปที่ห้องสมุดจะมีหนังสือเล่มหนึ่งบอกว่า ทางตะวันตกจะมีรังของนกแร้งนรก มีคำบอกเล่าถึงซิลเวอร์ออร์บ ที่มันเก็บไว้ที่รัง จากนั้นเราจึงเดินทางไปปราบนกแร้ง เพื่อเอาซิลเวอร์ออร์บมา (ไรฟะ อยู่ๆก็ไปทำร้ายนก แย่งของมันมา)

โลกในกำแพง(ไตตัน?)
ทางทิศใต้ของทวีป มีหมู่บ้านในมรดกโลก ปูจาราโอ ในอดีต เคยมีทวีป ปูวาชาร์ต แต่ก็ล่มสลายไปนานแล้ว เหลือไว้เพียงโบราณสถาน และหมู่บ้านปูจาราโอในปัจจุบัน รอว์เล่าว่าเคยมาที่นี่แล้วครั้งนึง แต่ก็ไม่พบข้อมูลอะไรของอุลโนก้า(เอ่อ เคยมาได้ไงฟะ) ครั้งนี้ก็ลองหาข้อมูลอีกที ภายในเมืองจะเจอเด็กหลงทาง ชื่อเมล พวกเราจึงช่วยออกตามหา ไปจนถึงโบราณสถาน ก็พบรูปภาพแปลกๆบนกำแพง และพบแก๊งค์ชาวบ้านที่มาดูรูปบนกำแพง เพราะมีคำบอกเล่าว่าเมื่อมามองที่รูปนี้ จะสามารถนำโชคลาภมาให้
พวกพระเอกกลับออกมาที่หมู่บ้านก็ไม่พบเด็กหญิงเมลแล้ว เลยไปนอนพักที่โรงแรม เนื่องจากมีโปรโมชั่นนอนฟรี ตื่นมาอีกวัน ก็ออกตามหาเมลกันต่อ กลับไปที่โบราณสถาน ก็พบว่ามีรูปภาพของคนเพิ่ม คล้ายๆกับพวกของแก๊งค์เมื่อวาน จากนั้นก็มีแสงวาบขึ้น พวกพระเอกก็เข้าไปอยู่ในสถานที่ลึกลับ เดินไปตามทางเจอกแก๊งค์เมื่อวาน แต่ดูท่าทางเหม่อลอย และพบกับภาพบนกำแพงนั้นบอกว่าจะกลืนกินมนุษย์ผู้โลภมากให้หมด วิ่งไปจนสุดทางก็เจอป้ายศิลาจารึกบอกไว้ว่า ภาพยนกำแพงนี้มีมาแต่สมัยทวีปปูจาร์ต ภาพนี้มีอาถรรพ์ จะคอยหลอกลวงพวกที่โลภให้มาติดกับดัก ส่วนคนที่ไม่โ,ภ ก็จะโดนหลอกด้วยสาวน้อยไร้เดียงสา ซิลเวียจึงนึกขึ้นได้ว่าต้องเป็นยัยเมลนั่นแน่นอน พอพระเอกออกมาจากกำแพงได้ ก็ไปพบตัวเมล แล้วบอกว่ารู้ความจริงแล้ว เด็กสาวเมลเผยร่างจริง แล้วบอกว่า มีนายใหญ่บงการให้หลอกล่อคนให้มาติดกับแลกกับพลังอันยิ่งใหญ่ รอว์กำลังจะถามว่านายใหญ่คือใคร แต่ก็วาร์ปไปซะก่อน
จากนั้นพวกเราก็กลับเข้าไปในกำแพงเพื่อไปสู้กับปีศาจตนนั้น ชื่อว่า เมลโทอา ใอกำจัดได้ ปีศาจภาพก็บอกว่าอุลโนก้าต้องการสูบพลังของมนุษย์ทุกคน เพื่อชีวิตอันเป็นอมตะ จึงมอบพลังอันนี้ให้ จากนั้นร่างก็สลายไป รอว์บอกว่า สงสัยอณาจักร ปูวาชาร์ต ในอดีต คงล่มสลายเพราะอุลก้าแน่นอน เหมือนที่เกิดที่เดลคาดอ แล้วพวกเราก็จะได้กุญแจเวทย์มนต์มา รอว์บอกว่าที่ซากเมืองบันเดโฟนมีออร์บอยู่ ให้ใช้กุญแจไขลงไปเอาได้ และมีเมืองน้ำแข็งทางตอนเหนือของโรโตเซะทะเชีย ที่ต้องใช้กุญแจเปิดประตู ให้ลองไปดู พวกเราจึงออกเดินทางไปเอาออร์บสีม่วงที่ซากเมืองบันเดโฟน และจุดหมายถัดไปคือดินแดนแห่งน้ำแข็งทางเหนือ


เมืองน้ำแข็งเครโมลัน(Frozen สินะ)
เมื่อพวกผู้กล้ามาถึง ก็พบว่าเมืองทั้งเมืองเป็นน้ำแข็ง รวมถึงคนเละสัตว์ด้วย สำรวจในเมืองพบเจ้าหญิงชาลแห่งเครโมลัน บอกว่า เมืองทั้งเมืองเป็นน้ำแข็ง ด้วยฝีมือจากแม่มดเอลซ่า(เอลซ่านี่เติมเอง55) ตอนนั้นเจ้าหญิงสลบไป ตื่นมาเมืองก็แข็งหมดแล้ว รอว์ถามว่าที่เมืองนี้มีบลูออร์บใช่ไหม เจ้าหญิงบอกอยู่ในปราสาท แต่ก็เข้าไม่ได้ ตอนนี้มีทหารจากต่างเมือง เดินทางมาเพื่อช่วยกำจัดแม่มด แต่หายไปนานแล้ว ไม่รู้เป็นไงบ้าง แล้วก็ขอร้องให้พวกเราช่วยไปปราบ แม่มดอยู่ที่ป่ามิรูเลอา ตอนเหนือของทึ่งน้ำแข็งเชคสเปีย
ไปถึงทุ่งน้ำแข็ง พบทหารของเดลคาดอนี่เองที่มาช่วย สุดทางจะพบนายพลเกรกกำลังสู้กับปีศาจมุมบาบา เกรกหันมาเจอเรา ทำให้มุมบาบาหันมาด้วย ซวยเราอีก พอสู้ชนะ แม่มดน้ำแข็งก็ปรากฏตัว ดึงจี้ห้อยคอเกรกไปพูดขึ้นมาว่า จี้ห้อยคอนี้เหมือนของท่านผู้นั้นเลยนะ ในขณะที่กำลังใช้เวทย์ทำให้ผู้กล้าและเกรกกลายเป็นน้ำแข็ง เวโรนิก้าก็ซัดเมร่าเข้ามา ทำให้ปีศาจน้ำแข็งเสียจังหวะ เหาะหนีไป ส่วนเกรกก็เดินหนีไปเนียนๆ ขณะกำลังงงๆ ผู้กล้าก็สลบไป ตื่นมาที่กระท่อมทางเข้าป่า เจอกับนักวิชาการเวทย์มนต์ เอกฮัลด์ บอกว่าปีศาจหิมะชื่อ เอลซ่า เอ้ย ลิสต์เลต หลุดออกมาจากหนังสือโบราณที่ถูกผนึกโดยจอมมารปีศาจที่ยิ่งใหญ่ในอดีต ตัวของเอ๊กฮัลด์ต้องการไปหาข้อมูลดพิ่มเติมที่อยู่ในหนังสือโบราณ ที่หอสมุดโบราณ แต่ตอนนี้ปีศาจเต็มไปหมด พวกเราจึงอาสาไปด้วยกัน เมื่อมาถึงหอสมุด ก็พบหนังสือที่ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า แม่มดน้ำแข็งลิสต์เลต ถูกผนึกไว้ในตัวของปีศาจมุมบาบา และถูกปลดปล่อยออกมา หากต้องการผนึกคืน ต้องใช้เจ้ามุมบาบานั่นด้วย แต่ว่าถูกพระเอกกับเกรกฆ่าไปเรียบร้อยแล้ว เวโรนิก้าสงสัย เพราะเจ้าหญิงชาลบอกเองว่าให้กำจัดปีศาจร้ายที่ป่ามิรูเลอา หนำซ้ำ หนังสือที่เจ้าหญิงถืออยู่ ก็มีตราสัญลักษณ์โบราณเหมือนที่หนังสือในหอสมุดนี้บอก พวกผู้กล้าจึงกลับไปถามความจริงกับเจ้าหญิงชาล
กลับไปหาชาลที่เครโมรัน ก็เปิดเผยตัวจริงว่าคือปีศาจน้ำแข็งลิสนต์เลตนั่นเอง พอสู้ชนะ เอ๊กฮัลด์ก็ทำการผนึกไว้ในหนังสือโบราณ เจ้าหญิงชาลตัวจริงปรากฏออกมา เมืองหายจากการแช่แข็ง ทุกคนในเมืองอยู่อย่างมีความสุข...ผู้กล้ากลับเข้าไปพบเจ้าหญิงชาลในปราสาทเพื่อเอาบลูออร์บ เมื่อถึงท้องพระโรง ก็มีเสียงออกมาจากหนังสือ บอกว่าเจ้าหญิงตรงนั้นตัวปลอม เอ๊กฮัลด์ ร่ายคาถาไม่ครบ เลยออกมาได้อีก เอ๊กฮัลด์จึงออกอุบายถามถึงสิ่งที่สำคัญที่สุดของอาณาจักรเครโมรัน เจ้าหญิงปลอมตอบว่าบลูออร์บ เจ้าหญิงจริงในหนังสือบอกว่า ประชาชนของอาณาจักร่นี่แหล่ะสำคัญสุด ท่านพ่อสอนมา ปัศาจจึงแสดงตัว แต่ก็บอกว่าไม่มีพลังเวทย์เหลือแล้ว ทหารของเครโมรันจะเข้าไปจับตัว แต่เจ้าหญิงชาลตัวจริงกันไว้ และบอกว่า ให้อภัยเธอเถอะ ตอนอยู่ในหนังสือ ฉันเองก็ได้รับกำลังใจจากลิสต์เลตในการเป็นราชินีที่ดีต่อจากพ่อเช่นกัน ก็เลยอยากให้ไว้ชีวิต รอว์ถามว่าทำไมต้องแช่แข็งเมือง ลิสต์เลสบอกว่า เมื่อ 3 เดือนก่อนมีชายคนหนึ่งมาปลดปล่อยเธอออกจากหนังสือ ชายคนนั้นห้องจี้คอที่เหมือนกับนายพลเกรก แถมยังบอกอีกว่า หากเจอคนที่มีจี้ห้องคอแบบนี้ให้ฆ่าทิ้งได้เลย (ชายคนนั้น รูปร่างคล้ายๆนายพลโฮมิรอส) จากนั้นเจ้าหญิงชาลก็มอบบลูออร์บให้ผู้กล้า ครับ 6 ลูกแล้ว แล้วก็เกิดนิมิตแท่นบูชาหน้าต้นไม้โลก เจ้าหญิงชาลบอกว่าทางใต้ของทุ่งน้ำแข็ง มีทางที่จะไปยังป่าศักดิ์สิทธิ์ได้ ให้ลองไปดู พวกผู้กล้าจึงออกเดินทางต่อไปยังต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์


ต้นไม้แห่งชีวิต(เซไคจู)
เมื่อเดินทางมาถึงเมืองศักดิ์สิทธิ์แลมด้า ก็พบว่ามีการทำพิธีขอบคุณต้นไม้โลกกันอยู่ เมื่อมีเด็กเกิดใหม่ ทดแทนชีวิตที่ตายไป เหมือนใบไม้ต้นไม้โลกที่ร่วงหลุดไป ย่อมมีใบใหม่งอกขึ้นเสมอ อาเมน..เวโรนิก้า และเซเนีย ก็พาผู้กล้ามาแนะนำกับหัวหน้าหมู่บ้าน ฟานาร์ด หัวหน้าหมู่บ้านบอกว่า เคยฝันบอกเหตุมานานแล้วว่าสองสาวนี้ได้เดินทางไปยังด้านในสุดของต้นไม้โลกพร้อมผู้กล้า จึงได้ปล่อยให้สองสาวออกผจญภัย แล้วฝันบอกเหตุก็เป็นจริง คงเป็นความประสงค์ของต้นไม้โลกสินะ
เข้ามาในวิหารจะมีภาพศิลปะเล่าเรื่องราวในอดีต ในอดีตเคยมีจอมมารยักษ์เข้ามาทำลายต้นไม้ใหญ่ และหวังจะนำเอาวิญญาณแห่งต้นไม้โลกออกมา แต่ด้วยผู้กล้าคนก่อนชื่อโรชู ได้ออกมาต่อสู้และเอาชนะจอมมารตนนั้นได้สำเร็จ โดยมีสหายนักปราชญ์ร่วมเดินทางด้วยชื่อ เซนิก้า ซึ่งเป็นบรรพบุรุษของ เวโรนิก้าและเซเนียนี่อแหล่ะ ฟานาร์ดสงสัยว่าจอมมารถูกกำจัดไปแล้ว แต่ทำไมผู้กล้าถึงต้องมาเกิดใหม่ สงสัยเพื่อมากำจัดเจ้าอุลโนก้านี่แน่นอน จากนั้นก็เปิดทางให้ผู้กล้าไปยังป่าศักดิ์สิทธิ์ เพื่อไปยังแท่นพิธีกรรมต้นไม้โลก ระหว่างพักแรมในป่า ก็มีการคุยกันเรื่องของพรุ่งนี้แล้วสินะที่จะไปยังใจกลางต้นไม้โลกอันศักดิ์สิทธิ์ เซเนียก็เอาพิณมาเล่น เวโณนิก้านำขลุ่ยออกมา แต่เป่าไม่เป็น บอกว่าเป็นเครื่อวรางของท่านเซนิก้าที่ทิ้งไว้ตั้งแต่คราวโน้นนนน ระหว่างนอน เวโรนิก้าบอกว่า พวกเราเกิดพร้อมกัน และจากไปพร้อมกันก็คงดีนะ...
เมื่อเดินทางมาถึงต้นไม้โลก ด้านในของจิตวิญญาณต้นไม้โลกคือดาบโรโตะ เป็นดาบที่ใช้ตัดความชั่วได้ทั้งปวง ต้องเป็นผู้กล้าเท่านั้นที่จะหยิบได้ ซิลเวียลองยื่นมือออกไปก็ถูกช๊อตกลับมา ขณะที่ผู้กล้ากำลังจะเข้าไปหยิบดาบ ก็ถูกเวทย์โดลม่ายิงเข้าข้างหลังจนล้มไป จตัวการก็คือนายพลโฮเมรอสนั่นเอง โฮเมรอสใช้ลูกแก้วแห้งความมืด(ดาร์กออร์บ) สร้างบาเรียให้ตัวเอง และจัดการพวกผู้กล้าจนล้มลงและกำลังเดินเข้าไปหาดาบ เกรกกับราชาแห่งเดลคาดอก็มาถึง ขณะที่เกรกกำลังเข้าจู่โจมโฮมิรอส ก็เจอคาถาโดลม่าซัดเข้ากลางหลังล้มลงเช่นกัน พระราชาแห่งเดลคาดอนั่นเอง!!!
แท้จริงแล้ว จอมมารอุลโนก้าเป็นตัวการทั้งหมด เข้าสิงร่างของราชาแห่งเดลคาดอ และมีโฮเมรอสเป็นลูกสมุน อุลโนก้าปรากฏร่างขึ้น พร้อมกับแย่งชิงพลังแห่งสัญลักษณ์ผู้กล้าของตัวเอกไป และใช้พลังนั้นเข้าไปหยิบดาบโรโตะ และกลายสภาพดาบโรโตะเป็นดาบปีศาจแห่งจอมมาร อุลโนก้า ใช้พลังอันยิ่งใหญ่ ปักดาบลงที่วิญญาณแห่งต้นไม้โลก ทำให้ต้นไม้โลกลุกเป็นไฟ หล่นลงบนพื้น อนิจจา โลกแห่งโรโตะเซตาเซีย ได้เข้าสู่กลียุกแล้วสินะ...
ผู้กล้าตกลงไปในทะเล ฝันเห็นแม่ของเขาที่สอนว่า หากเราเจอเรื่องร้ายอะไร ไม่ต้องกังวล ต้นไม้โลกคุ้มครองเราอยู่(เอ่อ ตอนนี้ต้นไม้เผาไปแล้วแม่) ภาพตัดไป มีเสียงของจอมมารบอกว่าผู้กล้าหายไปจากโลกนี้แล้วสินะ ฮ่าๆๆ โลกนี้เป็นของข้าแล้ว.....

โลกล่มสลาย
ผู้กล้าลืมตาขึ้นมาที่เมืองมูเลอาใต้ท้องทะเล และพบว่ากลายเป็นปลาไปแล้ว ไปหาองค์ราชินีเงือก ก็บอกว่าเธอเองแหล่ะที่เปลี่ยนร่างผู้กล้าให้เป็นปลา เพื่อหลบสายตาสมุนจอมมาร เธอน่ะหลับไปหลายเดือน เพิ่งจะตื่นเนี่ยแหล่ะ เอาล่ะถ้าอยากรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ก็ตามไปที่หอคอยไข่มุกหมื่นลี้ ซึ่งไข่มุกนี้สามารถมองเห็นโลกผ่านทางหยดน้ำตามที่ต่างๆได้

ราชินีเงือกก็พาผู้กล้าไปยังสถานที่ต่างๆ พบว่าโลกล่มสลาย ตรงที่เคยเป็นต้นไม้โลกก็กลายเป็นหลุมขนาดยักษ์ ปีศาจออกอาละวาดทั่วโลก ตอนนี้มีสถานที่รวมตัวของผู้คนที่รอดชีวิต อยู่ที่ป้อมปราการทางใต้ของเดคาดาล โดยมีท่านผู้นั้นคอยชั่วเหลืออยู่ตลอด(เกรก?) แต่พลังของคนคนนั้นก็จะเริ่มหมดลงแล้ว ผู้กล้าเอ๋ยจงไปช่วยคนคนนั้นซะ เมื่อกลับมาถึงเมืองแห่งเงือกก็พบว่ามีปีศาจปลาตัวใหญ่ กำลังทำลายบาเรียอยู่ ราชินีบอกว่าไม่ต้องห่วง ทางนี้ข้าจะจัดการเอง ให้เจ้าขึ้นไปบนบกเพื่อช่วยเหลือผู้คนเถอะ จากนั้นปีศาจปลาก็ได้ทำลายบาเรียลง และเข้าทำร้ายคนในเมืองเงือก แต่ผู้กล้าของเราทำอะไรไม่ได้ ไหลตามกระแสน้ำไป และได้เกาะเบ็ดชาวประมงขึ้นบกกลับร่างเป็นคนตามเดิม
ชาวประมงเล่าว่าโลกนี้ไม่มีที่ปลอดภัยอยู่แล้ว ระหว่างเล่าปีศาจนกก็โผล่มา ชาวประมงพาผู้กล้าไปหลบด้านหลัง สถานที่เดียวที่ยังปลอดภัยคือป้อมปราการสุดท้าย ทางใต้ของปราสาทเดคาดาล จากนั้นผู้กล้าก็ออกเดินทางไปยังสถานที่นั้น ซึ่งก็คือเมืองอิชิเดิมนั่นเอง แต่ภายในเมืองกลายเป็นป้อมทหารไปแล้ว เข้าไปจะพบสุนัขรูกี้ และเอม่า พาไปพบกับคุณแม่ของเรา แม่บอกว่าได้ท่านผู้นั้นช่วยไว้ รวบรวมชาวบ้านและต่อสู้กับปีศาจ ก่อตั้งป้อมแห่งนี้ขึ้นมา และบอกว่าราชาของเดคาดาลก็อยู่นะ ในเต๊นทางเหนือของหมู่บ้าน
พระราชาบอกว่าชั้นจำอะไรไม่ได้เลย ตั้งแต่วันที่เจ้าเกิดมา เหมือนจะรับรู้เรื่องราว แต่จำอะไรไม่ได้ ข้าเองรู้สึกผิดกับเจ้ามาก ให้อภัยข้าด้วยเถอะ จากนั้นทหารก็รายงานว่าท่านวีรชนกลับมาแล้ว เมื่ออกไปดูก็พบว่าเป็นเกรกนั่นเอง เกรกทำตัวซึน ทำเป็นไม่สนใจผู้กล้า ราชาบอกว่าตั้งแต่เกิดเรื่องที่ต้นไม้โลก ก็เป็นแบบนี้แหล่ะ เหมือนเขาจะทำงานอย่างหนักเพื่อชดใช้ความผิดให้ตัวเอง สักพักทหารก็เข้ามารายงานว่าปีศาจบุกโจมตี ผู้กล้าจึงออกไปช่วย กองทัพปีศาจกับมนุษย์เข้าปะทะกัน ในขณะที่ชุลมุน พระเอกกำลังเสียท่า เกรกได้กระโดดเข้ามาช่วยไว้ และถูกล้อมโดยฝูงปีศาจ และกำลังจะโดนปีศาจไร้หัวเข้าโจมตี แต่ทั้งสองก็สู้ชนะมาได้
หลังจบศึก พระราชาจึงเสนอว่าใหเราสองคนลอบเข้าไปในปราสาทเพื่อทำลายจากข้างในเลย เกรกเป็นห่วงว่าจะไม่มีใครดูแลป้อมหากปีศาจบุกมา แต่พระราชาบอกว่าถ้าไม่บุกเข้าไปแบบนี้ มัวแต่ตั้งรับตลอดคงไม่ไหว ให้ผู้กล้ากัลบเกรกลุยไปเลย ตรงนี้จะรับมือเอง จากนั้นพระเอกกับผู้กล้าก็แอบเข้าไปในปราสาท เส้นทางเดียวกับที่เรากระโดดผาหนีมากับคามิว (ถ้าสดพอก็แวะทักทายแบล๊คดราก้อนเพื่อนเก่าก็ได้นะ) เมื่อไปถึงโถงใหญ่ บันไดขึ้นชั้นสองถล่ม ขึ้นไปไม่ได้ มีห้องนึงที่มีรากต้นไม้โลกที่ยังไม่ตาย พระเอกสัมผัสจึงเห็นนิมิตของเกรกตอนเด็ก ที่กำลังซ้อมดาบกับโฮเมรอส โฮเมรอสสู้ไม่ไหว พระราชาอุ้มมัลทีน่าตอนแบเบาะเข้ามา แล้วมอบจี้ห้อยคอให้ทั้งสอง เพื่อจะฝากฝังให้ดูแลในอนาคต มีฉากนึงที่โฮเมรอส อยากเข้าไปดูโล่แห่งเดลคาดอล แต่มันอยู่ในห้องของพระราชา โฮเมรอสบอกเกรกว่ามีทางลับซ่อนอยู่ในห้องครัว เดี๋ยวคืนนี้แอบไปกัน... เมื่อภาพนิมิตหายไป เกรกจึงนึกได้ว่ามีทางลับในห้องครัวเพื่อขึ้นไปห้องพระราชา เมื่อทั้งสองขึ้นไปที่บัลลังค์ ก็พบกับโฮเมรอสในชุดนักรบเวทย์มืด เกรกโมโหวิ่งเข้าไปฟัน ปรากฏว่าทำอะไรโฮเมรอสไม่ได้เลย โฮเมรอสจึงเล่าเรื่องที่คับแค้นใจมากนาน ว่าตัวเองกลายเป็นสองรองเกรกมาตลอด เกรกก็พอได้เป็นวีรชนก็ไม่เห็นหัวเพื่อน โฮเมรอสจึงเลือกเส้นทางสายมืดซะเลย จากนั้นก็แปลงร่างเป็นปีศาจแล้วหายไป ปล่อยให้สมุนปีศาจกะโหลกโซลดี้ 1 ใน 6 จอมทัพมาร (นี่มันลุงกะโหลกจากเบอเซิร์กหรือเปล่า)มาจัดการผู้กล้ากับเกรก สุดท้ายผู้กล้ากัลป์เกรกก็ชนะได้ ความมืดที่ปกคลุมเดคาดาลก็หายไป กลับไปที่ป้อมปราการ(หมู่บ้านอิชิเดิม) พบว่าไม่มีใครอยู่ ตดใจนึกว่าโดนปีศาจฆ่าตายหมด แต่แล้วคือชาวบ้านทำเซอไพรซ์ ร้องเพลงมาร์ชเดคาดาลเข้ามาแสดงความยินดี เกรกเข้าร่วมการต่อสู้กับผู้กล้าเป็นเพื่อนคนที่ 8 เช้าวันต่อมา ราชาเดคาดาลเรียกเข้าไปคุย มอบโล่แห่งเดคาดาลให้เกรก และบอกว่ากษัตริย์ยุกนอร์(พ่อพระเอก)เคยบอกว่าทางตอนเหนือของทวีปโซลเทโก้ มีหุบเขาแห่งวิญญาณโดวลันด์ ที่นั่นมีหมู่บ้านนักพรต ที่ว่ากันว่าคอยปกป้องผู้กล้า(แล้วทำไมไม่ออกมาตอนต้นไม้ถูกเผาฟะ) ให้พวกเราลองไปดู จากนั้นพวกเราจึงออกเดินทางไปยังหุบเขาดูวลันด์ต่อไป

วัดแห่งนักพรตดูลด้า(วัดเส้าหลิน)
เมื่อดั้นด้นเดินทางมาถึงเทิอกเขาดูลลันด์ ที่ยอดเขาจะเจอวิหารนักพรตดูลด้า(วัดเส้าหลิน??) เดินเข้ามา จะมีลูกศิษย์วัดจำได้ว่าเกรกคือทหารของเดลคาดาล จะเข้ามาทำร้าย แต่นักพรตหนุ่มซันโป ก็ได้เข้ามาห้ามไว้ และรู้สึกถึงพลังของผู้กล้า ตามเข้าไปด้านใน นักพรตซันโปก็อธิบายว่า วันแห่งนี้เป็นที่ฝึกสอนเหล่ารัชทายาทของประเทศยุกนอร์ เมื่อครบ 6 ขวบต้องมาฝึกบำเพ็ญตนที่นี่ (แต่ไหงวัดอยู่คนละฟากทวีปกับยุกนอร์ฟะ) แต่เกิดเหตุการณ์ปีศาจบุกทำลายยุกนอร์ซะก่อน ผู้กล้าของเราจึงไม่ได้มาฝึก ตอนเหตุการณ์ต้นไม้โลกถล่ม ที่วัดของเราไม่เสียหายเพราะท่านเจ้าสำนักนิม่า ได้กางบาเรียป้องกันเอาไว้ แต่เนื่องจากอานุภาพการระเบิดรุนแรงมาก ท่านเจ้าสำนักจึงจบชีวิตลง แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อท่านผู้กล้ามาถึง ก็อยากให้ไปที่สถานที่ฝึกของสำนักแห่งนี้ด้วย แต่ก่อนอื่น ขอเล่าประวัติของอดีตผู้กล้าโรชูให้ฟังก่อน
ในอดีตแต่กาลก่อน ในสมัยจอมราชามารปีศาจ ผู้กล้าโรชูได้รวมสมัครพรรคพวกเข้าปราบมาก โดยเดินทางมาถึงสำนักดุลด้าแห่งนี้ ในขณะนั้น เจ้าสำนัก เทนชิน ได้เป็นคนฝึกฝนท่านผู้กล้า ร่วมกับนักเวทย์อีกคนนึงชื่อ อุราโนส เมื่อฝึกฝนสำเร็จ ทั้งสองก็สาบานเป็นเพื่อนกันออกปราบจอมมารจนสำเร็จ และได้ทำแผ่นศิลาจารึกเอาไว้ ณ ที่แห่งนี้
มาถึงด้านในสถานที่ฝึก ซันโปก็บอกว่า สถานที่นี้ รัชทายาทแห่งยุกนอร์ได้ใกต่อๆกันมา ท่านโรว์ตาของท่านก็ฝึกด้วยเช่นกัน และได้ทำสถิติที่ไม่มีใครทำลายได้ นั่นคือการถูกตีก้นโวยไม้ตีก้นถึง หนึ่งหมื่นครั้ง !!!! (น่าภูมิใจมาก) เช้าวันต่อมา ระหว่างทางเดินไปลานฝึก ก็มีลูกศิษย์สำนักเข้ามาบอกว่าให้ไปช่วยคนที่มาฝึกวิชาที่ยอดเขาดูลด้าที ตั้งแต่จอมมารปรากฏ ก็มีมอนสเตอร์เต็มไปหมด ซันโปเล่าว่าเมื่อสองสามเดือนก่อน มีชายคนนึงจะมาฝึกวิชาที่นี่ แต่พอทราบว่าท่านนิมาเสียชีวิตแล้ว ก็เดินขึ้นเขาหายไปเลย ลูกศิษย์พยายามตามหา แต่ก็ขึ้นไปไม่ถึงยอดเพราะมอนสเตอร์เยอะมาก อยากให้เราไปช่วยที(ตลอด)
เมื่อเดินทางมาถึงยอดเขาดูลด้า ก็พบชายแก่ผอมเหี่ยวนั่งกรรมฐานอยู่ที่ยอดเขา เมื่อพวกเราเข้าไปดูใกล้ๆก็พบหนังสือลามกที่คล้ายกับของท่านโรว์ ใช่แล้ว นี่คือร่างของท่านโรว์น่ะเอง ซันโปเข้าไปตรวจสอบร่าง บอกว่าท่านยังไม่เสียชีวิต แต่ก็อยู่ระหว่างความเป็นและความตาย ถ้าอยากช่วย ต้องทำพิธีถอดจิตเข้าไปยังยมโลก พระเอกจึงต้องถอดจิตเข้าไปช่วย เมื่อเข้าไปยังยมโลก ก็พบกับท่านเจ้าสำนักนิม่า(สาวหมวยอึ๋ม) และโรชูที่กำลังฝึกท่าแกรนครอส นิม่าบอกว่าผู้กล้าเองก็ต้องใกด้วยเช่นกัน ท่าแกรนครอสเป็นของท่านอุราโนส ส่วนท่าที่ผู้กล้สจะเรียนเรียกว่าดาบผ่าราชันย์ เป็นท่าของท่านโรชู ไม่เคยมีใครทำได้มาก่อน หากเจ้าจะฝึกในเวลาอันสั้น จะต้องพยายามหน่อยนะ จากนั้นผู้กล้าก็ต้องสู้กับโรว์ และสุดท้ายก็สามารถใช้ท่าดาบผ่าราชันย์ได้ ทันไดนั้นเอง ร่างจำแลงขนาดใหญ่ของอุลโนก้า ก็ได้บุกเข้ามายังยมโลก ท่านนิม่ากางบาเรียทัน แต่ก็เริ่มจะยันไม่ไหว ท่านมิน่าจึงสอนท่าไม้ตายสุดยอดของสำนักดูลด้า ซึ่งนั่นก็คือท่า แกรนด์เนบิวล่า ท่าประสานของผู้กล้ากับรอว์ ทั้งสองใช้ท่าแกรนด์เนบิวล่า จนทำลายร่างแปลงของอุลโนก้าได้สำเร็จ
ทั้งผู้กล้าและรอว์สำเร็จวิชาแล้วก็กลับสู่โลกปกติ รอว์บอกว่าให้ตามหาเพื่อนที่เหลือ จากดินแดนนี้ไปทางตะวันตก จะสามารถไปยังทวีปเมดาชาร์ตได้แล้ว เนื่องจากผาหินที่เคยกั้นไว้ถล่มลง กลายเป็นทางเชื่อมทวีป พวกของผู้กล้าจึงออกเดินทางไปยังทวีปเมด้าชาร์ตต่อไป

พาเรดกู้โลก
มาถึงดินแดนเมด้าชาร์ท ขึ้นไปที่โรงเรียนหญิงเมดัล พบครูใหญ๋ใส่สมุดแสตมป์เหรียญเพิ่ม จากนั้นเดินลงมาทางใต้เพื่อไปหาข้อมูลยังเมืองปูจาราโอ ระหว่างทางพบมอนสเตอร์กำลังทำร้ายชาวบ้าน เกรกกำลังเข้าไปช่วย ก็ปรากฏขบวนพาเรด ซึ่งนำโดยซิลเวียของเรานี่เอง ซิลเวียลบอกว่านี่คือขบวนพาเรดกู้โลก เราจะกำจัดปีศาจให้หมด หลังจากปีศาจเสือโดนซิลเวียจัดการหนีไปแล้ว ซิลเวียก็ดีใจมากที่เรายังไม่ตาย และบอกให้เราร่วมขบวนพาเรดกู้โลกด้วย โดยเอาชุดพาเรดตุ๊ดแตกมาใส่ให้ผู้กล้า ผู้กล้าก็บ้าจี้เต้นตามไปด้วย เวรกรรม เกรกรู้สึกติดมใจซิลเวีย เหมือนเคยเห็นที่ไหนมาก่อน
พาเรดเดินทางมาถึงเมืองปูจาราโอ ชาวบ้านที่ซิลเวียช่วยไว้ชื่อ บาฮาโตร่า ก็ขอบคุณแล้วเดินหายไปในใทองทำหน้าเศร้าๆ คนแถวนั้นบอกว่าบาฮาโตร่ากำลังเศร้าที่ลูกชายหายตัวไป พวกเราไปที่บ้านของเขา คุยได้ความว่า เมื่อตอนที่ต้นไม้โลกถล่ม ได้มีปีศาจบุกเข้ามาที่หมู่บ้านนี้ แล้วบอกว่า เอาของมีค่ามาฝากไว้ที่มันได้ จะดูแลรักษาให้ แต่ปรากฏว่าจริงๆแล้วปีศาจมันหลอกเอาไปหมดเลย รวมถึงลูกชายของบาฮาโตร่าด้วย รังของมันอยู่ที่ถ้ำทางใต้ พวกผู้กล้สจึงออกเดินพาเรด?? กำจัดปีศาจ เดินทางมาใกล้ถึงรังปีศาจ ก็ได้พบกับเชนลอน ซึ่งแอบปีศาจอยู่ เกรกถามว่าเชนลอนน่าจะโดนจับตัวไปแล้วนี่ แต่เชนลอนบอกว่า พ่อของเขาบาฮาโตร่า บอกว่าของสำคัญที่สุดในชีวิตเขาคือจี้ห้อยคอคุณแม่ค้าบ ผมเลยไม่โดนจับตัว แต่จี้มันอยู่ด้านใน พวกเราจึงลุยเข้าไปกำจัดปีศาจ เมื่อกำจัดปีศาจมังกือฟูลฟูลได้แล้ว ชาวบ้านและของมีค่าก็ถูกปล่อยกลับคืนหมู่บ้าน แต่จี้ห้อยคอของแม่เชนลอน(เมียบาฮาโตร่า)ได้พังซะแล้ว เชนลอนกลัวพ่อด่า เลยไม่กล้ากลับเมือง แต่ซิลเวียให้กำลังใจ เชนลอนเลยเข้าไปบอกพ่อตรงๆว่าจี้พังแล้ว ขอโทษค้าบ บาฮาโตร่าเลยบอกว่าเจ้าโง่เอ้ย สิ่งที่สำคัญที่สุดของพ่อคือเจ้านะเชนลอน ที่พ่อบอกว่าจี้แม่ เพราะว่ากลัวจะเสียเจ้าไปอีกคน สองพ่อลูกจึงปรับความเข้าใจกันได้ ระหว่างนั้นซิลเวียหายไปไหนไม่รู้ ผู้กล้าตามหา ก็พบซิลเวียกำลังนึกถึงพ่อตัวเอง ซิลเวียบอกว่าจะเลิกทำพาเรดละ เพราะจะเข้าร่วมกับผู้กล้ากำจัดเจ้าจอมมารซัง ให้ไปที่โซลเทโก้ที จะเอาไปฝากไว้กับพ่อ เกรกเข้ามามองหน้าใกล้ๆ ก็ตกใจ เพราะจำได้แล้วว่าซิลเวียก็คืออัศวินโกราเต้ ที่ได้รับการฝึกฝนโดยท่านเจโก้นั่นเอง ถึงกับช้อคไปเลย เพราะไม่นึกว่าอัศวินที่เก่งกาจจะกลายเป็นแบบนี้ จากนั้นขบวนพาเรดก็มุ่งหน้าสู่เมืองโซลเทโก้
เมื่อมาถึงเมืองโซลเทโก้ ซิลเวีย ขอตัวแป๊บ ยังไม่กล้สเข้าไปหาพ่อ ผู้กล้าจึงเข้าไปหาเจโก้ที่บ้านเจ้าเมือง เมือ่ไปถึง
เกรกก็เข้าคำนับ ไม่เจอกันนานนะครับท่านอาจารย์เจโก้ ตั้งแต่ผมเคยได้รับการฝึกเป็นอัศวินกับท่านเมือหลายสิบปีก่อน จากนั้นเกรกจะขอตัวคุยกับเจโก้ โดยให้เราไปตามซิลเวียมา ไปที่ชายหาดพบซิลเวียกำลังเหม่อ ซิลเวียบอกว่า พอเอาเข้าจริงก็ไม่กล้าสู้หน้าพ่อ ตอนเด็กชั้นฝึกการเป็นอัศวินอย่างหนัก และได้เป็นอัศวินที่เมืองนี้ แต่ที่ชั้นหนีออกจากบ้าน เพราะวิถีแห่งอัศวินของชั้น คือการทำให้ทุกคนมีรอยยิ้ม ไม่ใช่ดาบเปื้อนเลือด ทำให้พ่อโกรธมาก ชั้นเลยไม่กล้ากลับมา แต่พอมาแล้วก็ต้องทำให้ได้ไม่แพ้เด็กที่เมืองปูจาราโอ ซิลเวียจึงตามพระเอกกลับเข้าบ้าน พอเจอหน้าเจโก้ ซิลเวีย ก็ขอโทษขอโพยใหญ่ แต่เจโก้บอกว่า เจ้าลูกโง่ ข้าไม่ได้โกรธเพราะแกเป็นแบบนี้ แต่โกรธเพราะแกยังทำตามความฝันของตัวเองไม่ได้แล้วกลับมาทำไม ซิลเวียบอกว่าเป็นเพราะจอมมาร พ่อของซิลเวียจึงบอกให้ซิลเวียเดินท งไปกับผู้กล้าและเกรก เพื่อกำจัดจอมมารเถอะ ตรงนี้พ่อดูแลเอง ซิลเวียดีใจมากที่พ่อเข้าใจตุ้ม จึงเอาพาเรดมาฝากไว้ที่เมือง พร้อมกับเปลี่ยนเสื้อผ้าให้พ่อตัวเองเสร็จสรรพ จากนั้นก็ออกเดินทาง โดยอริสจังจะเอาเรือมารับที่ท่าเรือด้านนอก เราสามารถใช้เรือได้เลย รอว์บอกว่าให้พวกเราออกตามหาเพื่อนที่เหลือได้เลย แต่อนะนำให้ไปที่เมืองเนลเซ่นก่อน เพราะเป็นศุนย์รวมนักเดินทาง อาจจะรู้ข่าวอะไรก็เป็นได้..

คืนพลังผู้กล้า
เมื่อเดินเรือข้ามทวีปมาใกล้ๆถึงท่าเรือที่พักเนลเซ่น ก็พบปีศาจปลาขนาดยักษ์ตัวเดียวกับที่บุกเข้าวังราชินีเงือก จาโกร่า รอว์ใช้แกรนด์ครอสใส่ แต่ทำอะไรไม่ได้ จาโกร่าบอกว่าเพราะพลังแห่ง เรดออร์บ ท่าแบบนั้นทำอะไรมันไม่ได้หรอก แล้วก็มุดลงน้ำ ทำให้เรือของเราโคลง ตัวเอกตกลงไปในน้ำสลบไป(อีกแล้ว)
เมื่อฟื้นขึ้นมาก็อยู่ที่ไหนก็ไม่รู้ มีบ้านหลังหนึ่งที่มีคนตกปลาอยู่บนหลังคา สามารถแปลงร่างเป็นใครก็ได้ คนตกปลาบอกว่า ที่นี่คือที่ที่อยู่ระหว่างความเป็นและความตาย ข้าคือผู้ส่งสาร สามถเปลี่ยนรูปร่างได้ตามแต่คนที่เห็น เจ้าคือผู้กล้าสินะ กลับไปได้แล้ว ไปกำจัดจอมมารซะ ที่นี่ยังไม่ใช่ที่ของเจ้า... ผู้กล้าตื่นขึ้นมาที่บ้านชาวเล ทวีปบันเดโฟน หลังจากตื่นขึ้น มองไปที่ทะเล เห็นข้อความขึ้นมาว่า ความกล้าหาญในหัวใจ สายฟ้าอยู่ในมือ จากนั้นก็ได้เดินทางไปที่พักเนลเซ่น ที่นี่มีข่าวลือว่า ใครมานอนพัก จะฝันเห็นเหมือนกันหมด พวกเราจึงนอนพัก และได้ฝันเห็นอัศวินใส่เกราะ รำพันว่า ข้าถูกโซ่แห่งความแค้นพันธนาการอยู่ ได้โปรดเถอะ ใครก็ได้ มาช่วยปลดปล่อยข้าที เมื่อตื่นนอน รอว์บอกว่าชุดเกราะเหมือนเกราะของอัศวินยุกนอร์ ให้ไปดูกันเถอะ
เมื่อทุกคนเดินทางไปถึงซากปราสาทยุกนอร์ รอส์ก็พาไปที่จุดนึง เป็นทางลับที่ใช้หนีตอนมีภัยของคนในปราสาท แต่ตอนนี้โดนซากปราสาทถล่มปิด ทุกคนช่วยกันเอาซากที่ขวางออก แล้วเดินลงไปด้านล่าง จนสุดทางจะพบกับร่างของอัศวินสวมเกราะ เฝ้ารอผู้มาเยือนด้วยความแค้น ทุกคนจึงต้องสู้เพื่อเรียกสติอัศวินตนนั้น เมื่อชนะแล้ว ก็มีเสียงดังขึ้น บอกว่านี่คือร่างของอาร์วิน กษัตริย์แห่งยุกนอร์ ผู้ซึ่งใช้ดาบปกป้องคนในปราสาทอย่างเดียวดาย จากเหตุการณ์ร้ายเมื่อ 16 ปีก่อน ผู้กล้าเข้าไปใกล้ๆ ก็ถูกวาร์ปมายังอดีต เมื่อ 16 ปีก่อน ขณะนั้นกำลังมีการจัดการประชุมใหญ่ทั้ง 4 ประเทศเกี่ยวกับผู้กล้าที่มาเกิดใหม่แห่งโรโตะเซตาเชีย ได้แก่ ยุกนอร์ เครโมรัน(ปราสาทหิมะ) ซามาดี้(ปราสาททะเลทราย) และเดคาดาล และมีการเฉลิมฉลองเจ้าชายแห่งยุกนอร์ด้วย เดินในปราสาท จะพบแม่ของผู้กล้า ราชินีเอเลนอร์ และมัลทีน่าตอนเด็ก กำลังคุยกันว่าผู้กล้านี่ตัวเล็กจังเนอะ จากนั้นเอลวินก็ได้มาพาผู้กล้าเพื่อไปยังการประชุม
ในการประชุมโต๊ะกลม รอว์ได้พูดถึงเรื่องของการรุกรานของปีศาจที่เพิ่มขึ้น อณาจักรบันเดโฟนที่ล่มสลายไปแล้วนำโดยกษัตริย์อาเธอร์เป็นตัวอย่างที่ดี จากนั้นผู้กล้าก็ได้กำเนิดขึ้นใหม่ เหล่าราชาทุกท่านน่าจะตระหนักถึงอันตรายที่กำลังจะเกิดขึ้นได้สินะ กษัตริย์เดลคาดอบอกว่า จำกลอนแห่งผู้กล้าบทที่ 1 ได้ไหม ที่ใดมีผู้กล้า ที่นั้นย่อมจะต้องมีปีศาจร้าย กษัตริย์เครโมลันผู้เย็นชากล่าวต่อว่า ผู้กล้าที่กำเนิดใหม่เนี่ย อาจจะนำพาหายนะมาให้ก็ได้นะ เฉกเช่นดังแสงสว่าง ที่ใดมีแสงสว่าง ก็ย่อมเกิดเงา ดังนั้นเราอาจจะต้องกำจัดต้นเหตุแห่งเงาทิ้ง..อาร์วินพ่อของผู้กล้าก็โมโห ท่านพูดอย่างงั้นได้อย่างไร มาหาว่าลูกของข้านำพาปีศาจมารึ.... แง๊ แง๊ ผู้กล้าร้องไห้ในเปล...ทุกคนเงียบ มาคุมาก...แต่แล้วอาร์วินก็ได้พูดขึ้นมาว่า ไม่ใช่ ลูกของชั้นไม่ใช่คนนำพาความมืดมา แต่ลูกของชั้นคือแสงสว่าง ที่จะล้างความมืดมิดให้หายไปต่างหาก ลูกของชั้นจะต้องนำพาความสงบมาสู่โรโตะเซตาเซียได้อย่างแน่นอน...กษัตริย์เดคาดาลปรบมือสิ รออะไร แล้วบอกว่า พูดได้ดีนี่อาร์วิน งั้นข้าก็จะเห็นด้วยกับเจ้า.... สรุปแล้วก็คือกษัตริย์คนอื่นๆแกล้งพูดให้อาร์วินเขว เพื่อดูปฏิกิริยาของอาร์วิน แต่จริงๆแล้วทุกคนล้วนต้องการปกป้องผู้กล้า เพื่อนำทางไปสู่การต่อสู้อันยิ่งใหญ่ในอนาคต
ทันใดนั้น ทหารบาดเจ็บก็เข้ามาแจ้งว่ามีปีศาจมาล้อมปราสาทไว้ ให้รีบหนีไป อาร์วินจึงพาผู้กล้าไปให้เอเลนอร์และมัลทีน่าพาหนี ส่วนตัวอาร์วินและกษัตริย์คนอื่น จะคอยป้องกันปราสาทไว้เอง สู้กับมอนสเตอร์สักพัก กษัตริย์เดคาดาลก็ตามมาถึง แต่ถูกอุลโนก้าจับตัวไว้และเข้าสิงร่าง อาร์วินไม่รู้ว่ากษัตริย์เดคาดาลโดนสิง จึงเข้าไปใกล้ๆ หวังจะช่วย แต่ก็ถูกอุลโนก้าในร่างกษัตริย์แทงเข้าเต็มๆ!!!!! เกรกโผล่มาสอบถามว่าเกิดอะไรขึ้น กษัตริย์เดคาดาลบอกว่า อยู่ดีๆอาร์วินก็หันดาบมาใส่ข้า ข้าจึงจำเป็นต้องป้องกันตัว แบบนี้ไม่ผิดแน่ เจ้าเด็กผู้กล้านั้น ต้องเป็นลูกของปีศาจ พอมันเกิดมา คนของยุกนอร์ก็เปลี่ยนไป เด็กคนนั้น ต้องตามกำจัดมันให้ได้ มันคือลูกของปีศาจที่นำพาหายนะมาสู่โรโตะเซตาเซียแห่งนี้!!
จากนั้นพระเอกก็ถูกส่งวาร์ปมาที่แห่งนึง เจอปีศาจบาเคมอน กำลังกัดกินวิญญาณของอาร์วินอยู่ มันบอกว่ามันคอยกัดกินความสิ้นหวังของอาร์วินมา 16 ปี ช่างอร่อยยิ่งนัก บาเคม่อนได้ใช้คำสาปให้ผู้กล้าเห็นแต่ความสิ้นหวังที่ผ่านมา แต่ก็มีเสียงดังขึ้นอีก บอกว่าภายในตัวเจ้ายังมีแสงสว่างความหวังอยู่ ลืมตาขึ้นสิ จากนั้นก็มีแสงสว่างล้อมรอบตัวผู้กล้า พร้อมกับปีศาจบาเคม่อนก็ปรากฏตัวออกมา พวกผู้กล้าร่วมกันสู้ชนะมาได้ อาร์วินถูกปลดปล่อยจากพันธนาการ เสียงที่ดังขึ้น เป็นเสียงของเอเลนอร์ แม่ของผู้กล้านั่นเอง อาร์วินกลายเป็นแสงสว่าง ลอยขึ้นไปบนสวรรค์ สัญลักษณ์ผู้กล้าของเราก็เปล่งแสงขึ้นมาอีกครั้ง....เมื่ออกมาด้านนอก รอว์บอกว่าตอนนี้ยังไม่มีข้อมูลอะไร งั้นลองไปทางเหนือที่เมืองกรอตต้าก่อนแล้วกัน เผื่อจะมีข้อมูลอะไรเพิ่มเติม

อยากได้ เจ๊จัดให้
มาถึงกรอตต้า ก็พบว่าที่เมืองนี้กลายเป็นมนอสเตอร์คาสิโนไปแล้ว โดยการปกครองของบูกี้ 1 ใน 6 แม่ทัพมาร เข้าไปในคาสิโนชั้นใน ต้องใช้เลิฟลี่เอคิส ซึ่งแลกได้ด้วยชิพคาสิโน เมื่อเข้าไปในส่วน VIP แล้ว ก็ได้พบกับมัลทีน่าในชุดหูกระต่ายสุดเซกซี่ ทุกคนตกใจว่าเกิดอะไรขึ้น มัลทีน่าบอกว่า ชั้นไม่สนอุลโนก้าอะไรนั่นแล้ว ชั้นจะอยู่ที่นี่ทำให้เป็นคาสิโนที่ยิ่งใหญ่ ภายในการดูแลของท่านบูกี้ พวกเราทุกคนจึงต้องสู้กับมัลทีน่าเพื่อเรียกสติ พอชนะแล้วก็จะปรากฏร่างของบูกี้ มันบอกว่ามันเองแหล่ะที่ทำให้คนในเมืองเป็นมอนสเตอร์ รวมถึงมัลทีน่าจังด้วย จากนั้นเราก็จะสู้กับมัน พอชนะ มัลทีน่าที่คืนสติก็แค้นเจ้าอ้วนบูกี้ ทำการโซลร่างเดม่อน แล้วอัดซะเละ ได้กรีนออร์บมา รวมถึงพิณนางเงือกด้วยเช่นกัน เดินออกมาหน้าเมือง มีคนบอกว่าทางเหนือของเครโมรัน มีทางใต้น้ำเพื่อเชื่อมต่อไปยังปราสาทเครโมลันได้ พวกเราจึงออกเดินทางกันต่อ

พี่ชายที่แสนดี
ล่องเรือมาจนถึงปากแม่น้ำ ซิลเวียได้ยินเสียงแปลกๆที่ใต้ท้องเรือ ผู้กล้าลงมาดู พบว่าเป็นคามิวกำลังแอบขโมยกินอาหาร เมื่อคามิวเห็นเราก็ตกใจ ลนลานมากๆ ขอโทษขอโพยเป็นการใหญ่ รอว์แปลกใจว่าสงสัยจะความจำเสื่อม คามิวบอกว่า จำอะไรไม่ได้เลย ฟื้นขึ้นมาโลกก็เป็นแบบนี้ไปแล้ว และก็รู้สึกหิวมาก เลยย่องเข้ามาในเรือเพื่อหาของกิน ทุกคนเลยลงความเห็นให้คามิวที่ความจำเสื่อมติดตามไปด้วย เผื่อว่าจะได้หาทางฟื้นความจำต่อไป จากนั้นก็ล่องเรือกันต่อ
ล่องเรือมาจนถึงทางเหนือของอาณาจักรเครโมลัน ก็พบว่ามีน้ำแข็งสีทองขวางทางเข้าอยู่ จึงต้องไปที่เสาแห่งแสง เพื่อจะใช้พิณนางเงือกวาร์ปเข้าไป เมื่อถึงเสาแห่งแสง ก็ได้พบกับปีศาจปลายักษ์จาโกร่าอีกครั้ง คราวนี้ผู้กล้าใช้แสงแห่งสัญลักษณ์ เพื่อทำลายบาเรียได้สำเร็จ และสามารถเอาชนะมันได้ และได้เรดออร์บคืนมา
เมื่อเข้าไปในเมืองเครโมรัน ก็พบว่ามีคน และสัตว์บางส่วนกลายเป็นทอง คนไม่กล้าออกนอกบ้าน เพราะกลัวจะกลายเป็นทอง เข้าไปคุยกับราชินีชาลก็บอกว่า โรคทองคำนี้เกิดหลังจากต้นไม้โลกตกลงมา แม่มดลีสเลตก็ออกตามหาสาเหตุ ต่าวบ้านก็คิดว่าเป็นเพราะลีสเลต เลยต้องเอาตัวเธอไปขังไว้ก่อน พวกเราไปคุยกับลีสเลตในคุก เธอก็บอกว่าไม่เกี่ยวกับเธอ แต่เธอได้กลิ่นคำสาป ขอให้เราช่วยหาต้นเหตุด้วย เมื่อเดินออกมาด้านนอกปราสาท ก็พบกับหญิงแก่ กำลังทักทายคามิว แต่เธอก็กลายเป็นทองไปต่อหน้าต่อตา นักบวชคนนึงเดินมาสวดอาเมนให้หญิงแก่ และทักทายคามิว พวกเราจึงเข้าไปคุยกับนักบวชในโบสถ์ ได้ความว่า คามิวเดิมเป็นคนของชาวไวกิ้ง เป็นเด็กกำพร้าสองพี่น้องที่ถูกชุบเลี้ยงโดยชาวไวกิ้งขึ้นมา เกรกเลยบอกว่าเดลคาดาลปราบไวกิ้งอยู่ และได้จับตัวคามิวมาด้วย แต่คามิวจำอะไรไม่ได้เลย นักบวชพูดถึงน้องสาวคามิวว่า 5 ปีก่อนได้หายตัวไป แล้วคามิวก็หายไปด้วย ฟังสักพัก คามิวก็หนีออกไปจากห้อง พระเอกออกตามหาพบคามิวยืนเท่อยู่ด้านนอก บอกว่าตอนนี้สับสนไปหมดแล้ว ทั้งน้องสาว ทั้งไวกิ้ง
ขณะนั้นเองก็มีกองทับปีศาจสีทองเข้ามาโจมตีเมือง ถึงแม้พระเอกจะต้านไว้ได้ แต่คามิวก็ถูกจับตัวไป ชาวบ้านสงสัยว่าทำไมจับคามิวไป นักบวชก็บอกว่าวิธีการพูดของปีศาจสีทอง คล้ายๆกับพวกไวกิ้งเลย จากนั้นผู้กล้าจึงเดินทางไปที่รังของไวกิ้ง เจอกับกลุ่มปีศาจสีทองบอกว่าท่านคิร่าโกลด์ 1 ใน 6 แม่ทัพมาร จะต้องดีใจแน่ๆ พอจัดการเสร็จ คามิวก็เดินโซเซไปด้านหลัง เราตามไป ก็เจอรากต้นไม้โลก เมื่อตรวจสอบก็จะพบความทรงจำคามิวตอนที่ยังอยู่รังไวกิ้งกับน้องสาว สรุปได้ใจความว่า ทั้งคู่ทั้งคามิวและน้องสาวมายะอยากออกไปจากรังนี้ สักวันต้องมีตังค์เยอะๆให้ได้ ได้ข่าวว่าเรดออร์บ จะนำพาความมั่งคั่งมาให้นะ คามิวบอกว่ายังหาเรดออร์บไม่ได้ เอาสร้อยนี่ไปแทนนะของขวัญวันเกิด แต่สร้อยที่ให้มายะ เป็นสร้อยต้องสาป หากแตะโดนอะไรจะกลายเป็นทอง ตอนแรกมายะดีใจมาก เปลี่ยนทุกอย่างเป็นทองหมด แม้แต่นกพิราบ คามิวไม่พอใจที่ทำให้สิ่งมีชีวิตกลายเป็นทอง จึงเตือนสติมายะ มายะจึงจะถอดสร้อยออก แต่พอจะถอด คำสาปจึงทำให้มายะกลายเป็นทองไปด้วย คามิวเสียใจที่ช่วยน้องไม่ทัน จึงหนีออกไปจากรังไวกิ้ง เพื่อหาวิธีแก้คำสาป ระหว่างหนีเรือก็อัปปาง คามิวได้พบกับผู้นำทาง(คนเดียวกับที่พระเอกเจอตอนตกน้ำ ที่นั่งตกปลา) คามิวอยากลืมเรื่องราว ผู้นำทางจึงทำให้คามิวลืมเรื่องน้องสาวไปหมด เหลือแค่ความปรารถนาในสมบัติ .... แต่ตอนนี้คามิวจำทุกอย่างได้แล้ว จึงขอไปช่วยน้องสาวด้วยตัวเอง
ด้านหลังของรังไวกิ้ง จะพบปราสาทที่ทำด้วยทองทั้งหลัง เข้าไปด้านในสุดจะพบคิร่าโกลด์ ซึ่งก็คือมายะนั่นเอง เมื่อต้นไม้โลกล่มสลาย อุลโนก้าก็ปรากฏตัวขึ้น และช่วยคลายคำสาปให้ ดังนั้นชั้นไม่ต้องการพี่ชายแบบแกอีกแล้ว ชั้นจะทำให้ทุกอย่างเป็นทอง ชั้นจะรวย!!!! จากนั้นมายะก็กลายร่างเป๋นปีศาจทองคำคิร่าโกลด์ เมื่อพวกเราปราบสำเร็จ มายะก็จะออกจากร่างนั้น แต่สร้อยต้องสาปยังไม่เสียหาย สร้างเกราะบาเรียและหนวดทองโจมตีผู้กล้า คามิวจึงตัดสินใจเข้าไปหาน้องสาวเพื่อจะช่วย แต่ร่างกลายเป็นทองไปก่อน มายะเสียใจ บอกว่าชั้นไม่ต้องการความรวยแล้ว ขอแค่มีพี่ชายก็พอแล้วน้ำตาก็ร่วงใส่สร้อยต้องสาปนั้น แตกกระจายเป็นเสี่ยงๆ สุดท้ายมายะและทุกคนในเมืองก็พ้นจากคำสาป คามิวฝากมายะไว้ที่โบสถ์ และออกเดินทางเพื่อปราบจอมมารต่อไป

สองรวมเป็นหนึ่ง
ออกจากเครโมรัน ก็มุ่งหน้าไปยังเมืองศักดิ์สิทธิ์แลมด้า ตอนนรี้น้ำแข็งทองคำหายไปแล้ว เดินทางต่อได้ ก่อนจะเข้าแดนศักดิ์สิทธิ์ ก็เจอกับมังกรทมิฬ เนโดรมาขวางทาง บอกว่าพอน้ำแข็งละลาย ข้าก็ออกมาได้แล้ว พวกแกเป็นอาหารมื้อแรกของข้าเสียเถอะ สู้จนชนะ มังกรก็พ่นลมหายใจชาออกมา พวกผู้กล้าชากันหมด ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงพิณ เซเนียนั่นเอง!!! เธอใช้พลังแห่งลม จัดการมังกรได้สำเร็จ(อะไรฟะ พวกตู 6 คนสู้แทบแย่) เซเนียบอกว่าหลังจากเหตุการณ์นั้น ก็ตั้งใจว่าจะเดินทางมาที่แลมด้า เพราะพรากกับพี่สาวเวโรนิก้า แต่เจอน้ำแข็งทองขวางทาง ตอนนี้ก็กำลังมุ่งหน้าไปแลมด้า เซเนียจึงเข้าร่วมเดินทางไปด้วยกัน
เมื่อไปถึงแลมด้า ทุกคนกำลังเศร้า เพราะคิดว่าเซเนียและเวโรนิก้าตายไปแล้ว พอเจ้าเมืองเห็นเซเนียก็ดีใจ แต่ก็ถามว่าเวโรนิก้าไปไหน เซเนียก็แปลกใจนึกว่าพี่สามมาที่นี่แล้ว เพราะเหมือนมีเซนส์ของฝาแฝดว่าพี่อยู่นี่ แล้วเซเนียก็เดินไปทางป่าข้างๆเมือง ที่ทั้งสองชอบมาเล่นกันตอนเด็ก ก็ได้เจอกับไม้เท้าของเวโรนิก้า และพบตัวเวโรนิก้านอนสลบอยู่ จากนั้นคฑาของเวโรนิก้าก็ทำปฏิกิริยากับสัญลักษณ์ของผู้กล้า ทำให้เห็นภาพขณะที่ต้นไม้โลกกำลังจะล่มสลาย ก็พบว่าเวโรนิก้าเนี่ยแหล่ะ ที่เป็นคนกางบาเรียให้ทุกคนได้ทันก่อนที่ต้นไม้จะถล่ม ส่วนตัวเองก็ยอมสละชีวิตอยู่บนต้นไม้นั้น...
พอภาพนิมิตหายไป เซเนียก็เข้าไปจับตัวเวโรนิกาที่นอนสลบอยู่ รากฎว่าร่างนั้นสลายหายไป เวโรนิก้าตายแล้วรึ หรือนี่คือวิญญาณ ทุกคนตกอยู่ในความเศร้าโศก แต่เซเนียทำหน้าเข้มแข็ง คว้าคฑาของพี่สาว แล้วบอกว่า เจตจำนงของพี่ หนูจะของรับไว้เอง...จากนั้นในหมู่บ้านก็มีพิธีส่งวิญญาณเวโรนิก้ากัน จบพิธี ขณะกำลังจะเข้านอน ทุกคนก็ได้ยินเสียงพิณอันเศร้าสร้อย ผู้กล้าออกตามหาที่มาของเสียง ก็พบเซเนียบรรเลงพิณอยู่ใต้ต้นไม้ เซเนียเล่าว่าเคยสัญญาว่าจะไม่พรากจากกัน แต่พอมาถึงตอนนี้ ชั้นต้องอยู่ให้ได้ Live must Go on จากนั้นเซเนียก็ตัดผมตัวเอง เพื่อส่งวิญญาณพี่สาว คฑาของเวโรนิก้าเปล่งแสง ลอยเข้ามาในตัวของเซเนีย บัดนี้ พลังเวทย์ทั้งหมดของเวโรนิก้าก็เข้ามาอยู่ในตัวของเซเนียแล้ว แสดงว่า เวโรนิก้า จากไปอย่างไม่มีวันกลับแล้วสินะ...เศร้ามาก
เช้าวันต่อมา ทุกคนก็มารวมตัวกันอยู่ด้านหลังหมู่บ้าน เดินขึ้นไปถึงลานกว้างบนยอดเขา หัวหน้าหมู่บ้าน เอาขลุ่ยที่ตกทอดกันมาตั้งแต่สมัยท่านเซนิก้า มาให้ตัวเอก ตอนแรกตัวเอกก็ทำท่าจะเป่า แต่ขลุ่ยก็กลายเป็นคันเบ็ดยื่นลงไปในอากาศ ทันใดนั้นสิ่งมีชีวิตคล้ายปลาวาฬมีปีก ก็บินขึ้นมาจากหมู่เมฆ!!! ใช่แล้ว สิ่งมีชีวิตเทพนั้นคือ เคโทส เป็นพาหนะเทพที่สามารถบินบนท้องฟ้าได้ อยู่ในตำนานของแลมด้า และสามารถเรียกมาได้ด้วยขลุ่ยอันนี้นี่เอง

ดาบโรโตะเล่มใหม่
หลังจากนั้นทุกคนก็ขึ้นไปบนหลังเคโทส หัวหน้าหมู่บ้านบอกว่า บนท้องฟ้า จะมีเผ่าเทพที่อาศัยบนฟ้าอยู่ ให้ลองไปดู พวกเราทั้งหมดจึงขี่เคโทสแล้วมุ่งหน้าไปยังเกาะลอยฟ้าของเผ่าเทพ ถ้าลองบินไปใกล้ปราสาทจอมมาร จะพบว่ามีบาเรียขวางอยู่เข้าไปไม่ได้ บินไปสักพัก จะถึงเกาะลอยฟ้า เข้าไปด้านในจะมีวิหาร และจะพบชาวเทพชื่อ เดด้า ชาวเทพเล่าว่า ก่อนที่ต้นไม้โลกจะล่มสลาย มีเมืองเทพลอยฟ้าหลายเมือง แต่พอจอมมารโผล่ เมืองได้ตกลงไปด้านล่าง เหลือที่นี่ที่เดียว บังเอิญข้าทำความสะอาดอยู่ด้านใน ซึ่งมีลูกไฟศักดิ์สิทธิ์คุ้มกันอยู่ ทำให้ไม่โดนพลังของจอมมาร ลูกไฟศักสิทธิ์อยู่คู่กับโลกนี้มาตั้งแต่ก่อสร้างโลกโดยที่ไม่เคยดับ แต่มันไม่ใช่อาวุธที่ต่อกรกับจอมมารได้ จากนั้นพวกเราเข้าไปด้านใน เจอลูกไฟศักดิ์สิทธิ์ ด้วยพลังของผู้กล้า ลูกไฟจึงลดขนาดลงมาอยู่ในตะเกียงเล็กๆ ด้านในวิหารนั้นยังมีต้นอ่อนของต้นไม้โลกอีก 3 ต้น เมื่อเข้าไปสำรวจ ก็มีภาพนิมิตของผู้กล้าโรชู ที่ตามหาแร่อะไรสักอย่าง และมีภาพค้อนปริศนา และสุดท้ายคือภาพการตีดาบในภูเขาไฟสักแห่ง เมื่อภาพนิมิตจบลง ทุกคนก็ตีความว่า น่าจะมีการตีดาบผู้กล้าขึ้นมาใหม่ โดยค้อนตีดาบน่าจะอยู่ที่ซามาดี้ ภูเขาไฟน่าจะที่โฮมูระ ส่วนแร่ปริศนาไม่รู้อยู่ไหน
ชาวเทพเดด้าบอกว่า มีเกาะลอยฟ้าอยู่เกาะนึง เรียกว่าเกาะแห่งการต่อสู้ เป็นเกาะที่เคยมีการต่อสู้แย่งชิงสมบัติบนเกาะนั้น ผู้กล้าเองก็เคยไปที่นั่น ให้เราลองไปดู เผื่อเจออะไร(เผื่อเจอนี่ก็เจอทุกที) จากนั้นเราก็ขี่เคโทสไปยังเกาะแห่งการต่อสู้ เข้าไปด้านในก็พบว่าเป็นเหมืองแร่ มีแร่หายากเต็มไปหมด ที่ด้านในสุดจะพบกับแร่ศักดิ์สิทธิ์ โอริฮารูก้อน
จากนั้นพวกเราก็ไปต่อที่ปราสาทซามาดี้ ดินแดนแห่งทะเลทราบเพื่อไปเอาค้อน เมื่อมาถึง ก็พบว่ามีวัตถุทรงกลมขนาดใหญ่ ลอยอยู่เหนือทะเลทราย เกรกบอกว่านั่นคือดาวแห่งผู้กล้า รอว์บอกว่าเคยมีเรื่องเล่าที่ยุกนอร์เหมือนกันว่า ในตอนที่โรชูปราบจอมมารคนก่อนสำเร็จ ก็จะปรากฏดาวของผู้กล้า เพื่อที่จะปกป้องรักษาโรโตะเซตาเซียเอาไว้น่ะ แต่ปกติดาวนี้จะอยู่บนฟ้านะ แต่ทำไมมันหล่นลงมาต่ำขนาดนี้ เมืองซามาดี้อาจเป็นอันตรายได้ ระหว่างที่เล่าก็มีตัวยชชิสีดำโผล่มา โดยที่ไม่มีใครเห็น มีแต่ผู้กล้าเห็นคนเดียว
เข้าไปคุยกับพระราชาซามาดี้ บอกว่าดาวผู้กล้านี้ตกลงมาหลังจากต้นไม้โลกล่มสลาย ไม่รู้มาได้ยังไงเหมือนกัน เจ้าชายฟารีสบอกว่าจะไปดูด้วยตาตัวเอง เพราะเห็นเหมือนมีตัวอักษรให้อ่าน พระราชาห้ามไว้ แต่เจ้าชายฟารีสยืนยันจะไปให้ได้ แล้วก็วิ่งออกไป พวกเราจึงอาสาออกไปตามเจ้าชายฟารีส และจะได้ถือโอกาสไปดูดาวผู้กล้าใกล้ๆ เมื่อไปถึง เจอฟารีสนอนหงายเพื่อดูตัวอักษร ฟารีสบอกว่าโบราณสถานแห่งนี้มีมานานสมัยปู่ของปู่ของปู่ รอว์ก็ควักกล้องมาส่องด้วย ขณะนั้นก็มีตัวยชชิสีดำเดินผ่านไป ทำพิธีอะไรสักอย่าง ดาวก็ค่อยๆหล่นลงมา ขณะที่ทุกคนกำลังหนี ก็มีปีศาจลึกลับ เหาะมาใช้ดาบฟันดาวแตกกระจาย ดาบเล่มนั้นคือดาบจอมมาร ก่อนจะจากไป ปีศาจนั้นบอกว่า “เท่านี้ โลกก็เป็นของข้าแล้ว” เมื่อเหตุการณ์สงบ รอส์บอกว่าอ่านได้คำว่า “นีส เซล ฟา” แต่ก็ไม่รู้ความหมายว่าคืออะไร กลับไปถามราชาซามาดี้ก็ไม่ร้เหมือนกัน จากนั้นรอว์ก็ได้ถามถึงค้อนแห่งตำนานที่น่าจะอยู่ที่ซามาดี้ พระราชาให้ฟารีสเอามาให้ ฟารีสบอกว่าค้อนประจำตระกูลนี้ท่านพ่อจะเอาไปขายเพื่อจัดงานแข่งถ้วยฟารีสปีหน้าไม่ใช่รึ ราชาเอิ่กอั่ก บอกว่าถ้ามันสำคัญกับผู้กล้า ก็ให้ผู้กล้าไปเถอะ (ราชานี่จะขายของประจำตระกูลกินตลอด) แล้วเราก็ได้ค้อนไกอามา
ออกเดินทางต่อไปยังเมืองโฮมูระซึ่งเป็นที่ตั้งของภูเขาไฟฮิโนโนกิ เมื่อไปถึง ก็มีข่าวลือเรื่องปีศาจมังกรไฟที่ออกอาละวาด แต่ว่าท่านยายาคุได้ปราบเรียบร้อยแล้ว แต่ก็กลับมีหมีปีศาจออกอาละวาดอีกรอบ ขึ้นไปที่ศาลเจ้า ยายาคุ พบกับร่างทรงยายาคุบอกว่าให้พวกเราช่วยไปกำจัดหมีปีศาจที่ทางเข้าภูเขาไฟให้หน่อย เพราะจะต้องทำพิธีบูชาเทพแห่งไฟ แต่ท่านยายาคุข้อเท้าเจ็บตอนปราบกับปีศาจมังกรไฟคราวก่อน....จากนั้นก็ออกเดินทางไปที่ภูเขาไฟ เมื่อไปถึงตีนเขา ก็เจอหมีปีศาจจะเข้ามาทำร้าย แต่สุดท้ายก็กลายเป็นเด็กน้อยสองคนเทบะกับซาคิ ที่ปลอมเป็นหมี เพื่อป้องกันนักเดินทางเข้ามา เด็กสองคนบอกว่าไม่อยากให้ท่านยายาคุมาทำพิธีที่นี่ เด็กเล่าว่า...ที่ไม่อยากให้ทำพิธีเพราะว่าแม่ของเด็กจะเป็นคนที่ถูกบูชาญัญ ปกติจะใช้พืชผักบูชาญัญ แต่พอท้องฟ้าไม่มีแดด พืชผักปลูกไม่ได้ ท่านยายาคุเลยบอกว่าต้องบูชาญัญโดยมนุษย์โดยท่านยายาคุเลือกแม่ของเด็กสองคนนี้ เด็กชายเทบะบอกว่ารู้สึกแปลกๆ เพราะก่อนวันเลือกเหยื่อบูชาญัญ 1 วัน คุณแม่ไปบังเอิญเห็นท่านยายาคุเข้าไปในภูเขาไฟคนเดียวท่าทางแปลกๆ แต่แม่โดนพบพอดี วันต่อมาท่านยายาคุก็เลือกแม่ตัวเองมาเป็นเหยื่อ อาจมีอะไรเกี่ยวข้องกันก็ได้ ขอให้เราสืบหาความจริงให้หน่อย เดินต่อเข้าไปด้านในถ้ำ ก็จะพบกับปีศาจมังกรไฟที่ยังมีชีวิตอยู่!!! พวกเด็กสงสัย เพราะได้ข่าวว่าท่านยายาคุปราบไปแล้วนี่ นี่เองสินะเป็นเหตุผลที่ท่านยายาคุแอบซ่อนไว้ แล้วแม่ไปเห็นเข้า จากนั้นพวกเราจึงกลับไปถามความจริงที่เมืองโฮมูระ
กลับไปที่เมือง ไปที่ศาลเจ้ายายาคุ พวกเด็กก็บอกว่า ท่านยายาคุโกหก ที่จริงมังกรไฟยังไม่ตาย ระหว่างกำลังทะเลาะกัน มังกรไฟก็บินมาที่เมือง ทุกคนออกไปต่อสู้กับมังกรไฟ แต่ท่านยายาคุเข้าขวางไว้ แล้วหันไปบอกมังกรว่า ถ้าจะกิน ก็กินชั้นแทนแล้วกัน ว่าแล้วมังกรฏ้กินยายาคุเข้าไปจริงๆ พระเอกเข้าไปต่อสู้ มังกรบินหนีไปทางภูเขาไฟ ผู้กล้าเข้าไปที่ศาลเจ้า เพื่อไปเอากุญแจเปิดทางเข้าภูเขาไฟ และได้พบกับบันทึกของยายาคุ อ่านก็ได้ใจความว่า ตอนที่มังกรไฟออกอาละวาด ยายาคุกับลูกชายชื่อฮาริม่า ได้เข้าไปต่อสู้ พอชนะแล้ว มังกรก็กลายเป็นควัน ฮาริม่าสูดเข้าไปแล้วสลบลง พอกลับมาที่หมู่บ้าน ฮาริม่าก็กลายร่างเป็นมังกรไฟ ยายาคุจึงแอบเอาไปไว้ที่ภูเขาไฟ ยายาคุหาวิธีคืนร่างโดยใช้กระจกแห่งยาตะ แต่ก็ไม่สำเร็จ ยายาคุสงสารลูกชายตัวเอง จึงต้องให้คนในหมู่บ้านเข้าไปเป็นอาหาร พวกผู้กล้าจึงต้องเดินทางไปกำจัดมังกรไฟ ช่วยเหลือบ่วงกรรมที่เกิดขึ้น แต่กระจกยาตะนั้นท่านยายาคุ พกติดตัวตลอด ตอนนี้คงอยู่ในท้องมังกรไฟแล้วล่ะ
ไปที่ภูเขาไฟจนสุด ก็ต่อสู้กับมังกรไฟกินคน(ฮาริม่า) เมื่อชนะได้ มังกรไฟก็กลับร่างเดิมของฮาริม่า แล้วบอกว่าที่กลับร่างเดิมได้เพราะได้กระจกแห่งยาตะไปส่องด้านในตัว ว่าแต่กระจกอันนี้มาอยู่ในตัวได้อย่างไร แต่ไม่มีใครกล้าบอกความจริง ฮาริม่าบอกว่าเนื่องจากกลายร่างเป็นมังกรไฟ ทำให้ถูกสูบชีวิตไป อยู่ได้อีกไม่นานก็คงต้องสลายไป ฮาริม่าฝากบอกพวกเราว่าให้แจ้งคุณแม่ว่าเราไม่เป็นไรแล้ว สบายดี ขอให้คุณแม่สบายใจได้ แล้วร่างก็สลายไป พอกลับไปที่เมือง พวกผู้กล้าก็ไม่ได้เล่าให้ใครฟัง หมู่บ้านก็อยู่กันอย่างสงบสุข ท่านยายาคุและฮาริม่าก็เป็นฮีโร่ของหมู่บ้านนี้ต่อไป...กลับไปที่ศาลเจ้า คนดูแลศาลเจ้าบอกว่าพวกเราเป็นคนช่วยเมืองนี้ จึงมอบกุญแจเข้าสู่แดนหวงห้ามในภูเขาไฟให้เรา
พวกผู้กล้าเดินทางลึกเข้าไปอีกในภูเขาไฟ จนพบแท่นตีหินโบราณที่ขึ้นมาจากลาวา จากนั้นทุกคนก็รวมพลังกัน นำเอาโอริฮารูก้อน ไฟศัดิ์สิทธิ์ และค้อนไกอา ตีดาบแห่งผู้กล้าขึ้นมาใหม่จนสำเร็จ!!!

การต่อสู้ครั้งสุดท้าย
พวกของผู้กล้าทั้งหมด เดินทางไปยังปราสาทปีศาจนภา ผู้กล้าใช้ดาบโรโตะเล่มใหม่ ฟาดพลังใส่บาเรีย ทำให้บาเรียหายไป จากนั้นผู้กล้าก็มุ่งหน้าไปที่ปราสาท ถึงทางเข้า เจอ 1 ใน 6 แม่ทัพมาร การิงก้า(นี่มันดาร์กดรีมชัดๆ) มาขวางทาง แต่สุดท้ายพวกเราก็ชนะมาได้ เข้ามาในปราสาท จนสุดทางก็พบกับเวโรนิก้า นั่งร้องไห้อยู่ ผู้กล้าเข้าไปถามว่าเกิดอะไรขึ้น เวโรนิก้าบอกว่าชั้นเหงา ชั้นตายคนเดียว ทำไมพวกนายไม่ตายไปด้วยกัน ห๊า เซเนียจึงหยิบพิณขึ้นมาเล่นเพลง เวโรนิก้าตัวปลอม ทนฟังไม่ไหว สลายหายไป เกรกบอกว่าคนที่คิดชั่วช้าแบบนี้ได้ ก็มีคนเดียวเท่านั้น คือโฮเมรอส ออกมาซะ โฮเมรอสปรากฏตัว บอกว่าด้านหลังคือที่อยู่ของท่านจอมมาร พวกแกไม่สามารถผ่านไปได้หรอก ข้าจะจัดการแกที่นี่แหล่ะ จากนั้นก็แปลงร่างเป็นปีศาจ และเข้าต่อสู้ พอพวกผู้กล้าชนะ ก่อนร่างสลายก็ตัดพ้อว่าทำยังไงชั้นก็ยังตามหลังนายอยู่ดี เกรก...
ผู้กล้ามุ่งต่อไปยังห้องของจอมมารอุลโนก้า ขณะกำลังเข้าจุดวาร์ป ก็มีโซ่ความมืด 6 เส้นมารัดตัวเพื่อนๆของเราไว้ ซึ่งนั่นคือเหล่า 6 แม่ทัพมารนั่นเอง โฮเมรอสบอกว่าถ้าหากผู้กล้าอยากไปหาท่านอุลโนก้าก็ไปได้เลยคนเดียว ส่วนเพื่อนๆนั้น ข้าขอจัดการตีงนี้แหล่ะ แต่เพื่อนผู้กล้าทุกคนไม่ยอมแพ้ เบ่งพลังสลายโซ่ความมืดและสลายเหล่าแม่ทัพมารจนสิ้น เหลือโฮเมรอส ที่ล้มลุกคลุกคลานอยู่ เกรกเข้าไปหาใกล้ๆ บอกว่า แกรู้ไหม จริงๆแล้วชั้นน่ะวิ่งตามหลังแกมาตลอดนะโฮเมรอส ความฉลาดของแกน่ะ เป็นแสงนำทางชั้นมาตลอด..โฮเมรอส มองตาปริบๆ แล้วสลายหายไป เหลือไว้เพียงจี้ห้องคอแห่งเดคาดาล..
พวกผู้กล้าทั้งหมด มุ่งหน้าไปที่ห้องจอมมารอุลโนก้า และก็ได้พบจอมมารนั่งบนบัลลังค์รอการมาของผู้กล้า (เป็นแบบนี้ทุกภาค ถ้าฆ่าผู้กล้าตั้งแต่เวล 1 ก็ง่ายแล้ว) อุลโนก้าก็พร่ำเพ้อไปเรื่อยตามประสาตัวร้าย พวกหนอนสกปรก พวกเศษใบไม้แห่งชีวิต พวกแกหายไปซะเถอะ!! เมื่อร่างแรกสู้ไม่ไหว อุลโนก้าก็แปลงร่างขั้นสุดยอด กลายเป็นมังกรมืดแห่งความชั่วร้าย 2 ตัว คืออุลโนก้า และอุลนาก้า แต่สุดท้ายแล้ว ด้วยพลังของผู้กล้าและผองเพื่อน ก็สามารถเอาชนะจอมมารลงได้
ความสงบสุขกลับคืน
หลังจากปราบอุลโนก้าได้ ก็มีเสียงดังขึ้น “ดีมากผองเพื่อนผู้กล้า เท่านี้ ชีวิตที่สูญเสียไป ก็สามารถกลับบคืนมาได้” จากนั้นปราสาทมารนภาก็ถล่มลง เคโทสบินมารับพวกผู้กล้าได้ทัน ซากปราสาทนภาก็สลาย กลายเป็นต้นไม้แห่งชีวิต โลกที่ล่มสลาย ก็ฟื้นคืนสภาพตามเดิม...จากนั้นทุกคนก็ได้กลับไปยังบ้านเกิดของตนเอง ซิลเวียกลับไปที่โซเทโก้ เพื่อพบคุณพ่อเจโก้และเหล่าพาเรดกู้โลก รอว์ กลับไปยังซากปราสาทยุกนอร์ เพื่อลำลึกถึงหลุมศพของลูกสาว และลูกเขย เซเนียกลับสู่เมืองศักดิ์สิทธิ์แลมด้า เคารพหลุมศพของเวโรนิก้า คามิวไปที่ปราสาทเครโมรัน เพื่อหาน้องสาว สุดท้ายพระเอก เกรก และมัลทีน่าก็กลับมาที่ป้อมปราการ(เมืองอิชิเดิม) มาพบกับเอม่า และราชาเดคาดาล...เวลาผ่านไป ทุกคนก็ได้มารวมตัวกันที่เมืองแลมด้า เพื่อเยี่ยมหลุมศพของเวโรนิก้า และมองไปที่ต้นไม้ใหญ่แห่งชีวิต....

To Be Continue…….

View all 1 comments >
Sat 2 Sep 2017 : 9:47PM

YoSaWa
member

Since 2013-10-13 00:21:27
(1314 post)
ขอบคุณมากครับ ที่ช่วยแปลให้เข้าใจและได้อรรถรสในการเล่นมากขึ้น


Reply
Vote




2 online users
Logged In :