<<
<
1
2
3
4
5
6
>
>>
Reply
Vote
# Fri 1 Mar 2019 : 12:27PM
เครดิตคุณ Dark Light
ลอง ๆ แปลเนื้อหาฉบับนิยาย Devil May Cry 5 -Before the Nightmare-
เครดิตการแปลฉบับภาษาอังกฤษ @DMC5Info [Link]
หากใครต้องการอ่านฉบับภาษาอังกฤษที่ทาง @DMC5Info ได้แปลไว้ สามารถอ่านผ่าน doc.google ได้ที่ [Link]
หมายเหตุ
ทางผู้แปลภาษาอังกฤษได้บอกไว้ว่า เนื้อหาในนิยายช่วงต้นนั้น ปลอดภัย ไม่มีสปอยล์
แต่ ตั้งแต่ Nico Chapter 2 จะเป็นการเล่าขยายความของเนื้อหาช่วงต้นเกม
(ตรงส่วนนี้ จากที่ผมแปล เข้าใจว่ามันจะเป็นการเล่าขยายความที่ส่วนใหญ่เราจะเห็นกันจากเทรลเลอร์เกมทุกตัวที่ผ่านมา)
ดังนั้นจึงขออภัยอย่างสูงที่ผมไม่อ่านจากทางต้นฉบับให้ดี และจะทำการแก้ไขตรงหัวข้อแต่ละ chapter เอาไว้
---------------------------------------------------------
Nero Chapter 1
เรื่องเริ่มตรงที่เนโร กำลังทำงานอยู่ในโรงรถของเขา
เนโรกำลังทำการปรับแต่งดาบ Red Queen ของเขาให้มีประสิทธิภาพดีขึ้น
ระหว่างทำก็พูดคุยกับดาบไปเรื่อย เหมือนหมอที่ถามอาการคนไข้
.
ระหว่างเนโรเก็บกวาดข้าวของในโรงรถ จูลิโอ เด็กกำพร้าที่เขาและคิริเอะรับมาดูแล
ก็เข้ามาบอกว่า "พี่เนโร มีผู้หญิงแปลกๆอยู่ข้างนอกแน่ะ"
เนโรก็ถามกลับ "แปลกยังไง? หล่อนมีสามตา แล้วไม่มีจมูกหรือไง"
จูลิโอตอบกลับ "ท่าทางของเธอต่างหากที่แปลก แล้วอีกอย่างเหมือนเธอจะมาตามหาพี่เนโร"
.
ตั้งแต่เหตุการณ์ลัทธิภาคีแห่งดาบ (ภาค 4) เนโรก็ระมัดระวังพวกคนแปลกหน้า
ที่เป็นทั้งผู้สื่อข่าว หรือนักเขียนนิยาย ที่มาในเมืองเพื่อสอบถามถึงรายละเอียดที่เกิดขึ้น
แต่เขาก็บอกความจริงทั้งหมดไม่ได้
.
จูลิโอบอกว่า ผู้หญิงคนนั้นผิวคล้ำและใส่แว่น น่าจะเป็นกลอเลีย (เจ๊ผิวคล้ำ ผมสีขาวในภาค4)
เนโรถามกลับว่าผมเธอสีขาวหรือเปล่า จูลิโอบอกว่าไม่ใช่ แต่เป็นสีดำและหยิกมาก
พอได้ยินแบบนั้น นิโค่ก็ตะโกนเข้ามา "ใครผมดำและหยิกห๊ะ ไอ้เด็กเหลือขอ"
หลังจากนั้นนิโค่ก็เดินมาอยู่ตรงหน้าทางเข้าโรงรถ จูลิโอเลยชี้นิ้วไปที่เธอ
"ชี้นิ้วใส่กันแบบนี้มันหยาบคายนะไอ้หนู"
.
จูลิโอคงจะมารายงานตามปกติ แต่เนโรก็บอกให้เขากลับเข้าไปในบ้านกับคิริเอะด้วยสีหน้าจริงจัง
.
เนโรเริ่มต้นถามว่า "เธอมาทำอะไรที่นี่" พร้อมกับเอาแขนขวาของเขาหลบให้พ้นสายตาของนิโค่
แขนขวาที่มอบพลังปีศาจให้กับเขา และเขาก็ใช้มันปกป้องผู้คนที่เขารัก
แม้ระหว่างที่เขาใช้ มันจะทำให้เขาดูน่าเกลียดน่ากลัวก็ตาม แต่ตอนนี้เข้าก็ยินดีกับพลังนี้
.
เนโรสามารถใช้แขนขวาเพื่อสัมผัสได้ว่าใครเป็นมนุษย์หรือปีศาจ
ถ้าแขนของเขามีปฏิกริยา นั่นคือปีศาจ แต่ถ้าไม่ เธอก็เป็นมนุษย์ธรรมดา
หรือไม่ก็เป็นปีศาจที่ไม่มีพลังสูงพอที่จะเป็นอันตราย
.
นิโค่ถามว่า "นายคือเนโรใช่มั้ย?" ก่อนที่เนโรจะสั่งให้เธอหยุดสูบบุหรี่ถ้าจะถามกันมากกว่านี้
เพราะเขาไม่อยากให้ใครมาสูบบุหรี่ในโรงรถที่เต็มไปด้วยวัตถุไวไฟแบบนี้
.
นิโค่ก็ยังคงพูดคุยตามปกติ "นายต้องอบรมเด็กนั่นหน่อยนะ"
เนโรเริ่มหงุดหงิดกับท่าทางและคำพูดของนิโค่ และสั่งให้เธอหยุดสูบบุหรี่หรือไม่ก็ออกไปจากที่นี่ซะ
นิโค่ทิ้งบุหรี่ในมือลงพื้น ก่อนจะใช้รองเท้าเหยียบจนไฟดับ
"แบบนี้โอเคแล้วใช่มั้ย พ่อหนุ่มไม่สูบบุหรี่"
เนโรคิดว่าผู้หญิงคนนี้ไม่มีอะไรที่สมกับเป็นผู้หญิงสักนิดเดียว
.
เนโรมองและประมาณอายุระหว่างเขาและนิโค่ น่าจะอายุเท่ากัน หรือไม่ก็เธออายุน้อยกว่า
แต่เธอกลับแสดงและใช้คำพูดเหมือนเธออายุมากกว่าเขา
.
พอนิโค่เข้ามาในโรงรถ เธอก็ยกแขนทั้งสองข้างชูค้างไว้ ก่อนจะพูดแซว
"นี่นายจะทำร้ายผู้หญิงอ่อนแอแบบฉันหรือไง?"
พอเธอเข้ามาใกล้เนโร เธอก็มองเห็นแขนขวาของเนโรชัดเจนขึ้น
เนโรกังวลว่าอาจจะเกิดอะไรขึ้นถ้านิโค่เห็นแขนขวาของเขา
แต่หลังจากนั้น นิโค่นั่งลงที่กล่องตรงมุมห้องและพูดว่า
"มันคงจะมีอะไรซับซ้อนกับแขนนั่นสินะ ไม่ต้องห่วงหรอก ยังไงมันก็เป็นส่วนหนึ่งของนายนี่นะ"
หลังจากนั้นเธอก็แนะนำตัวว่าชื่อ นิโคเลตต้า โกลด์สตีน และเธอมีเรื่องที่จะถามเนโร
.
นิโค่กำลังตามหาบันทึกการวิจัยที่หายไป บันทึกการทดลองปีศาจ ของภาคีแห่งดาบ
เธอบอกว่าไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากจะมาถามกับสมาชิกภาคีที่รอดชีวิตมาได้ เพื่อให้เขาช่วยกันตามหาบันทึก
ระหว่างคุยกับนิโค่ เนโรสังเกตุเห็นว่าไม่มีความมุ่งร้ายจากสายตาของนิโค่ แต่เหมือนเด็กที่อยากรู้อยากเห็นมากกว่า
.
เนโรถามกลับ ว่านิโค่รู้ได้ยังไงว่าภาคีทำการวิจัยเกี่ยวกับปีศาจ เพราะมันไม่ใช่ข้อมูลที่เปิดเผยกับสาธารณะ
เธอตอบว่า เธอทำการรวบรวมข้อมูลจากผู้คนในวงการนี้ จากนักล่าปีศาจไปจนถึงนักสูบบุหรี่
และหญิงชราที่รักในการพูดคุยเรื่องซุบซิบนินทา
.
พอนิโค่โชว์ว่าเธอมีความรู้เกี่ยวกับปีศาจ และนักล่าปีศาจ
เนโรก็นึกขึ้นได้ว่านี่เป็นครั้งแรกที่เจอคนธรรมดาที่รู้จริงๆเกี่ยวกับปีศาจมาค้นหาเขาจนเจอ
เพราะแบบนั้น เขาจึงปฏิเสธที่จะช่วยเธอตามหาบันทึกการวิจัยของภาคี
.
หลังจากถูกเนโรปฏิเสธไป นิโค่ยังไม่กลับไปในทันที แต่เธอกลับถามอีกว่า แอกนัสเป็นยังไงบ้าง(นักวิทยาศาสตร์เพี้ยนในภาค 4)
คำถามนี้ทำเนโรช็อคไป ก่อนจะตอบว่า แอกนัสถูกฆ่าตายไปแล้ว
หลังจากนิโค่นิ่งเงียบไป เธอก็บอกว่าได้ยินข่าวลือนี้มาบ้างเหมือนกัน
เนโรถามว่านิโค่รู้จักไอ้เวรนั่นได้ยังไง
เธอตอบว่า เขาคือพ่อแท้ๆทางสายเลือดของเธอ
.
เนโรนั้นไม่เชื่อและถามนิโค่ไม่หยุด แต่เธอก็ตอบง่ายๆกลับมา
"ใช่แหละ อะไรจะโชคร้ายแบบนี้"
.
ระหว่างถามกันว่า "เธอเป็นลูกไอ้เบื๊อกนั่นจริงๆหรอ?"
นิโค่สังเกตุเห็นดาบ Red Queen และจะเข้าไปหยิบจับทันที
เนโรด่าและห้ามไม่ให้เธอแตะต้องอุปกรณ์ใดๆของเขาก่อนได้รับอนุญาต
.
นิโค่เริ่มตรวจดาบ Red Queen และตื่นเต้นมากจนเริ่มพูดติดอ่าง
เนโรพยามยามที่จะคว้าแย่งดาบมาจากเธอ แต่ก็หยุดเมื่อนิโค่บอกถึงอาการขัดข้องของดาบที่เขากำลังหาทางซ่อมแซมได้อย่างรวดเร็ว
นิโค่เริ่มต้นซ่อมแซมดาบ Red Queen ทันที
.
พอนิโค่ได้เริ่มซ่อมดาบ เธอก็เรียกเนโรว่าเป็นไอ้โง่ทันที เพราะไม่ดูแลซ่อมแซมดาบเป็นประจำ
เนโรเริ่มเชื่อว่าเธอเป็นลูกของแอกนัสจริงๆ ด้วยวิธีแสดงออกว่ารักในงานวิจัย และสีผิวที่เหมือนกันอีก
.
ระหว่างซ่อมดาบ นิโค่ก็พูดคุยกับดาบเหมือนกัน "ไงจ้ะหนู เป็นยังไงบ้าง?"
เธอทำการทดสอบด้วยการบิดคันเร่งที่ดาบ แต่ก็โดนพลังมันดีดกลับจนร่วงไปกองที่พื้น
พอเห็นแบบนั้นเนโรก็นึกว่าเธอจะโมโห แต่นิโค่กลับยิ้มและลุกขึ้นมาปัดฝุ่นจากเสื้อผ้า
นิโค่บอกว่าดาบ Red Queen นั้นเกเรมาก แต่ก็น่ารักเหมือนกัน
.
หลังจากซ่อมดาบเสร็จแล้ว เนโรรู้สึกเป็นหนี้บุญคุณนิโค่ จึงตัดสินใจจะเอาบันทึกของภาคีให้กับนิโค่ดู
และนั่นทำให้เธอยิ้มกว้างมากๆ เธอถามว่าจากนี้จะให้เรียกชื่อกันยังไง เนโรบอกว่าเรียกชื่อเนโรเฉยๆก็ได้
เนโรเริ่มคิดในใจเกี่ยวกับชายที่ฆ่าพ่อของนิโค่... คนนั้นคือดันเต้
---------------------------------------------------------
Dante Chapter 1
ดันเต้มาถึงเกาะดูมารี และพูดคุยกับมาเธียร์ที่ท่าเรือ
ดันเต้พยายามที่จะนึกชื่อของเธอ ก่อนจะเอ่ยปากถามว่าเธอชื่อมาเทีย ใช่ไหม?
ซึ่งเธอก็ตอบว่าออกเสียงถูกต้องแล้ว
มาเธียร์พูดต่อ ว่าสปาร์ด้าเองก็คงจะลืมชื่อเธอและผู้หญิงคนอื่นๆบนเกาะนี้เหมือนกัน
.
สปาร์ด้าเคยเป็นสมุนมือขวาของมุนดัส ก่อนที่จะทรยศใส่มุนดัส เนื่องจากรู้สึกเห็นใจเหล่ามนุษย์
ก่อนที่จะพบกับอีวา(แม่ของดันเต้) สปาร์ด้าได้เดินทางไปรอบโลก และนั่นทำให้เขาได้พบกับมาเธียร์
ดันเต้ถามว่ามาเธียร์อายุเท่าไหร่กันแน่ เธอตอบว่า หยุดนับไปตั้งแต่ 100 ปีก่อนแล้ว
.
ดันเต้ไม่มีความทรงจำเกี่ยวกับสปาร์ด้ามากนัก แต่ก็ทำให้นึกย้อนไปถึงการฝึกซ้อมวิชาดาบกับเวอร์จิล
ในตอนนี้เขาไม่รู้เลยว่าพ่อเขาเป็นปีศาจแบบไหน และไม่รู้อะไรเกี่ยวกับตำนานของสปาร์ด้าเลย
.
มาเธียร์บอกว่าดันเต้นั้นใจร้าย ที่ไม่ยอมกลับมาเยี่ยมกันเลยตั้งเหตุการณ์เมื่อสิบปีก่อน
ดันเต้บอกว่า ก็ช่วยไม่ได้ เพราะเขาติดอยู่ใน 'หลุมขยะ' (นรก)
และการจะเดินทางผ่านระหว่างโลกมนุษย์และโลกปีศาจนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย
.
มาเธียร์ถามว่า แล้วดันเต้หาทางออกมาจากนรกได้ยังไง
ดันเต้ตอบว่า มันมีหลุมประหลาดที่โผล่ขึ้นมากระทันหัน เขาก็แค่เดินผ่านหลุมนั่นมา
บางทีมันก็มีหลุมที่เชื่อมต่อระหว่างโลกมุษย์และโลกปีศาจโผล่ขึ้นมากระทันหันเหมือนกัน
เพราะเหตุนี้ เกาะดูมารีจึงจำเป็นต้องมีผู้พิทักษ์คอยปกป้องเกาะจากปีศาจที่ออกมาจากหลุมที่เชื่อมต่อโลกปีศาจ
.
นั่นก็เพราะ เกาะดูมารีนั้นเป็นเพียงท่าเรือเล็กๆ จึงมีโอกาสสูงที่จะเกิดหลุมที่เชื่อมต่อระหว่างทั้งสองโลก
และนั่นก็ใช้อธิบายได้ว่าทำไมเกาะดูมารี และเมืองฟอร์จูน่าถึงมีปีศาจโผล่มา
.
ในนิยายกล่าวว่า เมื่อปีศาจเข้ามายังโลกมนุษย์ พวกมันจะใช้จิตสำนึกเปลี่ยนพลังของมันสู่ร่างกายเนื้อในอีกรูปแบบหนึ่ง
แต่ถ้าหากปีศาจอยากจะเข้ามาในโลกมนุษย์ด้วยกายเนื้อพวกมันจริงๆ หลุมนั้นจะต้องใหญ่มากๆ
ดันเต้รู้สึกว่ามันเป็นเรื่องบังเอิญมากๆที่มันเกิดหลุมที่ใหญ่ พอที่เขาจะเดินทางผ่านมาได้
เมื่อเขาไปที่เมืองฟอร์จูน่า และได้เห็นประตูนรก (ในเหตุการณ์ภาค 4)
เขาก็เข้าใจในทันที ว่าการที่เขาหนีออกมาได้นั้นมันเกี่ยวข้องกับดาบยามาโตะ
.
ดันเต้อธิบายว่า ดาบยามาโตะนั้นเป็นของที่ละลึกจากพ่อของพวกเขา
และดาบนั้นมีความสามารถในการตัดการเชื่อมต่อระหว่างโลกมนุษย์และโลกปีศาจ
.
มาเธียร์พูดว่า ลูเซียนั้นคัดค้านที่จะเรียกดันเต้กลับมาที่เกาะดูมารี
เพราะที่เกาะนี้มีชายหนุ่มเหลืออยู่ไม่มาก
ดันเต้บอกว่าเขานั้นไม่ใช่ชายหนุ่มอีกแล้ว เขาคิดว่าช่วงอายุขัยของเขานั้นอยู่ในความสัมพันธ์กับสปาร์ด้า
และจะดีกว่าถ้าเขาตัดสินใจที่จะกลายเป็นคนชรา
(ตรงนี้แปลไปก็สับสนนิดๆ ตามความเข้าใจ ดันเต้นั้นสามารถใช้พลังที่ได้จากพ่อตัวเองคงสภาพให้ร่างกายหนุ่มเด้งได้
แต่ดันเต้ตัดสินใจที่จะปล่อยให้อายุขัยของเขาผ่านไปแบบมนุษย์ธรรมดา เลยแก่ขึ้นแบบนี้)
.
ลูเซียนั้นยังคงรอดันเต้กลับมาจากนรก และเดินทางไปที่ออฟฟิศของดันเต้บ่อยๆ เผื่อจะเจอเขากลับมา
เมื่อดันเต้กลับมา ทั้งสองโอบกอดกันและลูเซียก็ร้องไห้
ยังไงก็ตาม ดันเต้ก็แยกตัวออกมาในไม่ช้า หลังจากที่เขาได้รับโทรศัพท์พร้อมกับพาสเวิร์ดจากปลายสาย
(เผื่อจะงง ตรงนี้ทั้งคู่น่าจะเจอกันที่ร้าน DMC ของดันเต้ พอกอดกันแล้วลูเซียเริ่มร้องไห้ โทรศัพท์ก็ดังพอดี)
.
ดันเต้มีกฎที่ตั้งขึ้นมาเอง เพื่อให้เขามีสมาธิอยู่กับงานล่าปีศาจของเขา
มาเธียร์ก็ด่าดันเต้ ว่าเธอไม่ได้จะให้ดันเต้แต่งงานอยู่กับลูเซียตลอดชีวิตซะหน่อย
เธอต้องการให้ดันเต้มอบความทรงจำดีๆให้กับลูเซียแค่นั้น
ดันเต้ตอบว่า "ผมผิดเอง แต่มันก็มีเหตุผลอยู่นะ"
หลังจากนั้นมาเธียร์ก็ยังด่าเขาอีก ในคำขอโทษส่งๆแบบนี้ และบอกว่าสปาร์ด้าคงจะมีวิธีพูดที่ดีกว่านี้
ดันเต้จึงตอบกลับว่า เพราะแบบนั้นแหละทำให้เขาคิด ว่าเขาเป็นผู้ชายที่ดีกว่าพ่อตัวเอง
มาเธียร์จึงตีดันเต้ด้วยไม้เท้าของเธอ ก่อนจะพูดต่อ ถ้าในกรณีนั้น ก่อนอื่นดันเต้ต้องหยุดทำตัวหยาบคายใส่ลูเซีย
พอรู้ตัวว่ากำลังจะถูกอบรม ดันเต้ก็รีบเปลี่ยนเรื่อง และถามมาเธียร์ว่าเรียกเขามาที่เกาะนี้เพราะอะไร
.
มาเธียร์ถามดันเต้ว่าจำปีศาจที่เป็นต้นเหตุให้ดันเต้ต้องมาที่เกาะนี้ได้ไหม
ดันเต้บอกว่าเขาฆ่าไอ้ตัวที่เหมือนลิงยักษ์ไปแล้วนี่ (Orangguerra ในภาค 2)
แต่มาเธียร์ก็เตือนความจำเขา ว่าดันเต้ได้ปราบอาร์โกแซก (Argosax)
ดันเต้ก็พยายามคิด เพราะว่าส่วนใหญ่แล้วเขามักจะไม่จำว่าปราบปีศาจตนไหนไปบ้างให้รกสมอง
แต่ยังมีอยู่ชื่อนึงที่เขาจำไม่มีวันลืม มุนดัส ปีศาจที่นำภัยอันตรายมาสู่แม่ของเขา
.
มาเธียร์บอกว่า ปีศาจตนนึงได้ปรากฏตัวออกมา และมันเป็นสมุนมือขวาของอาร์โกแซก
ดันเต้ก็พูดจาติดตลกว่า เขาปราบลูกพี่เบอร์หนึ่งไปแล้ว ทำไมต้องไปเสียเวลาไปเล่นกับเบอร์สองอีกล่ะ
ดันเต้พยายามเค้นความจำเกี่ยวกับอาร์โกแซก แต่ก็นึกถึงภัยคุกคามจากมันไม่ได้เลย
.
ตามคำบอกเล่าของมาเธียร์ นรกครึ่งนึงนั้นอยู่ในการปกครองของมือขวาราชาปีศาจ
และในอดีตมันสงวนพละกำลังไว้เป็นเวลาสิบปีเพื่อเดินทางผ่านมายังโลกมนุษย์
ด้วยร่างกายใหญ่โตของพวกมันนั้น มาเธียร์ไม่คิดว่าพวกมันลอดจะผ่านรูเข้ามาได้ง่ายๆ
เธอคิดว่าคงจะมีมนุษย์ที่ทำพิธีอัญเชิญมันออกมา แต่มันก็คงไม่ได้ทำกันง่ายๆบนเกาะที่เธอและลูเซียคอยดูแลอยู่
.
ดันเต้ถามว่าหากมาเธียร์รู้ ว่าใครเป็นคนอัญเชิญปีศาจมายังโลกมนุษย์
แต่เธอก็ไม่มีหลักฐานชัดเจนพอว่าใครเป็นคนทำ เพราะเอเรียสก็ตายไปแล้ว
ดันเต้ถามชื่อของปีศาจที่จะให้ไปกำจัด มาเธียร์ก็หัวเราะพร้อมกับพูดว่า
"เดี๋ยวพรุ่งนี้ก็ลืมแล้วไม่ใช่เรอะ ปีศาจตนนี้ชื่อว่าบัลร็อก จากคำบอกเล่าของตำนาน มันเป็นปีศาจไฟที่อันตรายทีเดียว ระวังตัวหน่อยล่ะ"
พอได้ยินคำเตือน ดันเต้ก็ได้แต่ยิ้ม
---------------------------------------------------------
Nero Chapter 2
นิโค่และเนโร อยู่ในชั้นใต้ดินของปราสาทฟอร์จูน่า สถานที่ที่แอกนัสทำการวิจัยเกี่ยวกับปีศาจ
นิโค่นั้นดี๊ด๊าร่าเริงกับอุปกรณ์ต่างๆในศูนย์วิจัยนี้ เธอมองไปทุกที และจับต้องทุกอย่าง
เธอหมุนวัตถุทรงกระบอกที่ครั้งนึงเคยใช้เป็นที่กักขังปีศาจในการวิจัย และเป็นอีกครั้งที่เธอตื่นเต้นจนพูดติดอ่าง
.
เนโรถามนิโค่ว่า เธอวางแผนจะทำยังไงกับเอกสารบันทึกวิจัยของแอกนัส
เขากลัวว่าลูกสาวของแอกนัสจะสานต่อการทดลองวิปริตนี้ และนำปีศาจมาบุกสู่โลกมนุษย์อีกครั้ง
ระหว่างที่เนโรตั้งคำถาม เขาก็ปกปิดมือข้างนึงที่กำลังถือปืน Blue Rose
ถ้าหากเขาจำเป็นต้องฆ่าเธอ ทุกอย่างขึ้นอยู่กับคำตอบของนิโค่
.
นิโค่ตอบว่าเธออยากจะเป็นศิลปิน
คำตอบนี้ทำเอาเนโรงุนงง และนำนิ้วออกจากไกปืน Blue Rose
เนโรพูดต่อ ว่าถ้านิโค่อยากจะวาดรูปปีศาจ... นั่นทำให้นิโค่ระเบิดเสียงหัวเราะออกมาทันที
นิโค่ตอบว่า เธอไม่สนใจเรื่องภาพวาดเลย เธออยากจะเป็นศิลปินชั้นหนึ่งผู้สร้างอาวุธต่างหาก
เนโรนึกขึ้นได้เกี่ยวกับทักษะความสามารถของนิโค่ ในตอนที่เธอแยกชิ้นส่วนเพื่อซ่อมแซมดาบ Red Queen
.
นิโค่ถามว่า ถ้าเนโรเคยได้ยินชื่อของยายเธอ ศิลปินผู้สร้างอาวุธเจ้าของร้าน .45 Calibre
เนโรส่ายหัว และนั่นทำให้นิโค่โมโหนิดๆ เธอส่ายหัวเหมือนจะล้อเลียนเนโร
ก่อนจะพูดว่า "นายมันไม่รู้อะไรสักนิดเลยไอ้หนู"
เนโรพยายามรักษามาดไว้ แม้เพิ่งจะโดนดูถูก เขาฝึกคุณลักษณะนี้ในการใช้ดูแลเด็กกำพร้า
ฝึกความอดทนและต้านทานจากคำด่าของเด็กที่อายุน้อยกว่า
.
เนโรอธิบายว่า ช่วยไม่ได้ที่เขาไม่เคยได้ยินชื่อยายของนิโค่ ก็เพราะว่าปืนนั้นไม่เป็นที่นิยมในเมืองฟอร์จูน่า
เนโรบอกว่าในอดีต ผู้คนต่างพากันมองเขาแบบเหยียดหยามที่ใช้ปืน และนั่นทำให้นิโค่สนใจ
นิโค่ถามว่าเนโรมีปืนใช่มั้ย เนโรลังเลเล็กน้อย ก่อนจะดึงปืน Blue Rose ที่ซ่อนอยู่ออกมา
นิโค่รีบวิ่งเข้าไปดูทันทีและหยุดดูไม่ขยับไปไหน และอีกครั้งที่เธอตื่นเต้นจนพูดติดอ่าง นั่นทำให้เนโรนึกถึงแอกนัส
.
นิโค่ถามว่าเธอสัมผัสปืนนี่ได้มั้ย และเนโรก็อนุญาต
เธอตื่นเต้นกับปืน Blue Rose นี้มาก
และอธิบายถึงลำกล้องคู่ของปืนนี้ ที่จะยิงกระสุนพร้อมกัน แต่ละนัดจะมีการหน่วงเวลาเล็กน้อย
กระสุนหนึ่งนัดจะยิงตามออกมา เมื่อกระสุนนัดแรกถูกจุดชนวน
.
เนโรรู้สึกประหลาดใจมาก ที่นิโค่สามารถระบุถึงความแตกต่างของกระสุนทั้งสองนัด เพียงแค่มองเท่านั้น
นิโค่จึงขิงใส่ "คิดว่าฉันเป็นใครล่ะ?"
.
เนโรบอกว่า ปืน Blue Rose ก็อาจจะใช้แนวคิดคอนเซปต์แบบนั้น
แต่มันก็ยากที่จะหาใครที่เชี่ยวชาญมาทำให้แนวคิดนี้ใช้ได้จริง
.
เนโรนึกถึงสถานการ์ชีวิตที่ผ่านมาของเขา เมื่อเขารู้สึกว่าศีลธรรมนั้นคือความน่าสงสัย
เขาได้รับการเลี้ยงดูในบ้านที่ให้ความสุขและสมบูรณ์
เขามองไปถึงเครโด้ คนที่เหมือนเป็นพี่ชายสำหรับเขา แต่ตอนนี้เขามีคิริเอะ คนที่เขารักมากที่สุด
.
นิโค่พูดถึงปืนที่ยายเธอสร้างนั้นใช้ง่ายและสวยงามขนาดไหน
เธอเล่าต่อ ว่าปืนคู่สุดท้ายที่ยายเธอสร้างนั้นถูกออกแบบมาได้ยอดเยี่ยม และสวยงามมากๆ
นิโค่ยังเล่าต่อไปเรื่อยๆ แต่เนโรก็ไม่ได้สนใจที่จะตั้งใจฟัง จนนิโค่พูดถึงประโยค
"ปืนคู่นั้นมีชื่อว่า 'Ebony and Ivory'กระบอกนึงสีดำและอีกกระบอกสีขาว เหมาะสมสำหรับงานศิลปะมากๆ"
ชื่อของปืนคู่นั้น ทำให้เนโรสนใจขึ้นมา
นิโค่ยังคงอธิบายถึงปืนคู่นั้นต่อไป พูดถึงรายละเอียดว่ากระบอกนึงยิงได้ต่อเนื่องและลื่นไหล และอีกกระบอกที่มีพลังทำลายล้างมากกว่า
ปืนคู่นั้นออกแบบตามความต้องการของนักล่าปีศาจคนนึง และเธอเชื่อว่าปืนคู่นั้น ปัจจุบันยังคงถูกใช้โดยนักล่าปีศาจ
เมื่อนิโค่พยายามนึกถึงชื่อเจ้าของปืนคู่นั้น เนโรจึงพูดชื่อนึงขึ้นมาทันที -- "ดันเต้"
.
นิโค่ตอบว่าชื่อนั้นแหละถูกต้องแล้ว และบอกว่าชื่อนั้นโด่งดังในวงการนักล่าปีศาจ
เนโรยังคงตะลึงในความเชื่อมโยงเหล่านี้ ว่าเขาจะตอบยังไง
ยายของนิโค่ เป็นผู้สร้างปืนที่ต่อมาถูกใช้ยิงเข้าที่หัวของพ่อนิโค่
.
นิโค่ยังคงยิงคำถามใส่เนโร
"ฉันอยากรู้ว่าคนที่ใช้ปืนที่ยอดเยี่ยมที่สุดที่ยายฉันสร้างมา เป็นคนยังไง? เดี๋ยวก่อน อย่าบอกนะว่าหมอนั่นก็เป็นพวกสารเลว"
เนโรบอกว่าให้นิโค่ใจเย็นหน่อย ระหว่างที่เขากำลังประมวลคำตอบจากข้อมูลที่ได้มา
.
เนโรย้อนคิดกลับมา ว่าดันเต้คือบุคคลสำคัญสำหรับเขา
ดันเต้ช่วยชีวิตเขาจากเหตุการณ์โกลาหลที่เกิดขึ้นในเมืองฟอร์จูน่า
แต่ระหว่างนั้นดันเต้ก็เป็นคนฆ่าแอกนัส
แล้วตอนนี้ลูกสาวแอกนัสก็มายืนต่อหน้าเขาถามว่าคนที่ฆ่าพ่อเธอนั้นเป็นคนยังไง
นิโค่เลิกคิ้วขึ้นมาเหมือนจะเร่งเอาคำตอบจากเนโร
"เวรล่ะ แล้วจะอธิบายยังไงดีเนี่ย..."
---------------------------------------------------------
Dante Chapter 2
ดันเต้จัดการฆ่าปีศาจหน้าเหมือนลิง ระหว่างทางที่เดินไปหาบัลร็อก
หลังจากใช้ปืนฆ่าพวกปีศาจตามทาง ดันเต้ก็รู้สึกทึ่งกับความยอดเยี่ยมของปืน Ebony & Ivory
แล้วก็นึกถึงเนล โกลด์สตีน ผู้สร้างปืนคู่นี้ ว่าจะเป็นอยู่ยังไงบ้างในเวลานี้
.
ระหว่างยิงกำจัดปีศาจ ดันเต้ได้ยินเสียงสำเนียงฝรั่งเศสมาจากทางด้านหลัง
"ยังใช้ปืนได้ยอดเยี่ยมเหมือนเดิมนะ"
ดันเต้หันกลับไปมองจากทิศทางเสียงที่ได้ยิน ก่อนจะตอบกลับไป
"ไม่ได้เจอกันนานนะ ลูเซีย"
ลูเซียถามว่าดันเต้ดูแก่ขึ้นนิดหน่อยหรือเปล่า ดันเต้ได้แต่ยิ้มอ่อนตอบกลับไป
ดันเต้บอกว่าลูเซียนั้นทึกทักไปเองหรือเปล่า ก่อนจะบอกว่าลูเซียต่างหากที่ดูไม่เปลี่ยนเลยสักนิด
และลูเซียก็ย้ำกับดันเต้ ว่าจะเวลาผ่านไปนานแค่ไหนเธอก็จะดูไม่แก่ขึ้นหรอก
.
ดันเต้พยายามที่จะบอกว่าลูเซียนั้นสบายแค่ไหน
เพราะมนุษย์ผู้หญิงต่างพากันใช้เงินอย่างมาก เพื่อให้ตัวเองดูเยาว์วัย แต่ลูเซียกลับไม่ต้องใช้เงินเลยสักนิด
.
ลูเซียนั้น ดั้งเดิมแล้วเป็นปีศาจเทียมที่ถูกสร้างขึ้นมาซ้ำๆ
ดันเต้ก็สังเกตว่าใบหน้าของเธอเต็มไปด้วยความรู้สึกอ้างว้าง
.
ดันเต้เริ่มพูดทำลายบรรยากาศกับลูเซีย บอกว่ารู้สึกเป็นเกียรติมากที่อยู่ท่ามกลางสถานที่แบบนี้
เพราะมันทำให้เขาเหมือนอะไรบางอย่างที่ลงมาจากสวรรค์
คำพูดนั้นทำให้ลูเซียเริ่มยิ้มจางๆ เธอพูดขอบคุณดันเต้ที่มาในครั้งนี้ พร้อมกับวางมือไปที่ตัวเขา
.
นั่นทำให้ดันเต้รู้สึกประหลาดใจ เพราะว่าลูเซียไม่ได้ยินดีที่ดันเต้มาที่เกาะนี้เหมือนที่มาเธียร์บอก
ลูเซียพูดว่า บัลร็อกนั้นดูแตกต่างจากเดิมไปเล็กน้อย ดังนั้นเธอจะช่วยดันเต้สู้เพื่อที่จะจัดการกับมันให้ไวขึ้น
ดันเต้ยิ้ม และคิดว่านี่จะซ่อนความรู้สึกเขาเอาไว้ เหมือนใส่หน้ากากบางๆปกปิดใบหน้าของเขา
'ฉันทำแบบนี้ไม่ได้หรอก'
แต่เขาก็รู้สึกดีขึ้น เมื่อเห็นลูเซียมีความมั่นใจขึ้นมา
.
ดันเต้และลูเซีย เดินเคียงบ่าเคียงไหล่ระหว่างทางที่สู้กับบัลร็อก
เขานึกขึ้นได้ว่านานแล้วที่ทั้งสองคนไม่ได้อยู่ด้วยกันแบบนี้ แต่ทั้งสองก็ยังคงเดินต่อไปด้วยกันเหมือนเป็นคู่หูเก่า
นี่ก็เป็นเพราะความเชื่อใจที่มีให้กันและกันระหว่างทั้งสอง
.
ทั้งคู่เดินทางมาถึงสถานที่ที่จะสู้กับบัลร็อก และบัลร็อกก็มองมาที่พวกเขา
ดันเต้พูดใส่ว่าถ้าเขาอายจะทำยังไงเนี่ย
บัลร็อกก็ตอบกลับ "ในที่สุดเจ้าก็มา"
ดันเต้ถามกลับว่า บัลร็อกมารอเขา อย่างกับเชื่อว่าพวกเขาจะมาปรากฏตัวตรงนี้
บัลร็อกตอบว่าก็รอจริงๆ ในที่สุดแล้วคนที่แข็งแกร่งก็จะมาหามันในที่นี้
บัลร็อกเริ่มย่างก้าวเข้ามาหาพวกดันเต้ เพียงแค่นั้นพื้นดินก็สั่นสะเทือน
ระหว่างที่พูดคุยกัน ดันเต้ก็สัมผัสได้ถึงความรู้สึกที่คุ้นเคยว่าอะไรบางอย่างใกล้ๆการต่อสู้นี้
.
บัลร็อกพูดว่า หลังจากเสียคู่หูอย่างอาร์โกแซกไป มันก็พัฒนาเติบโตขึ้น แต่มันก็น่าเบื่อ
และในตอนนี้ มันได้พลังใหม่อยู่ในกำมือมันแล้ว
ดันแต่สังเกตเห็นอะไรบางอย่างส่องแสงวูบวาบอยู่ในหมัดของบัลร็อก
เขาจำมันได้ทันที มันคือเศษดาบยามาโตะ
เหมือนว่าชิ้นส่วนที่กระจัดกระจายไปของดาบยามาโตะ บางชิ้นยังคงหลงเหลืออยู่ในนรก
และบัลร็อกก็ใช้เศษดาบยามาโตะ เดินทางข้ามมายังโลกมนุษย์
.
ดันเต้อนุมาณว่า บัลร็อกนั้นใช้เศษดาบยามาโตะเดินทางข้ามมายังโลกมนุษย์
ซึ่งหลุมที่ดันเต้ใช้หลบหนีออกมาจากนรก อาจจะเป็นหลุมเดียวกับที่บัลร็อกใช้เดินทางมายังโลกมนุษย์ก็ได้
.
ดันเต้พูดว่า "ยามาโตะ..." ซึ่งเสียงนั้นดังเบาๆไม่ต่างจากสายลม
ยามาโตะที่ครั้งนึงเคยถูกใช้เพื่อกันปีศาจไม่ให้บุกเข้ามาในโลกมนุษย์
ในตอนนี้กลับเป็นเครื่องมือที่ช่วยให้ปีศาจใช้บุกโลกมนุษย์
ภาคีแห่งดาบเก็บสะสมเศษดาบยามาโตะ เพื่อที่จะเติมเต็มความทะเยอทะยานของพวกเขา
ผลลัพธ์คืออุบัติการณ์ที่เกิดขึ้นในเมืองฟอร์จูน่า
.
ด้วยปฏิกริยาตอบสนอง ดันเต้จับดาบ Rebellion ในมือให้มั่น พร้อมกับตั้งท่าเตรียมต่อสู้
บัลร็อกก็เริ่มตะโกนเหยียดยาวอย่างบ้าคลั่ง แต่ดันเต้ไม่มีท่าทีจะสะทกสะท้านสักนิด
ดันเต้พูดกับลูเซียว่า นี่เป็นงานของเขา ก่อนจะกระโดดเข้าใส่บัลร็อกและโจมตีไปที่หมัดของมัน
---------------------------------------------------------
Nico Chapter 1
นิโค่มาเจอกับคิริเอะครั้งแรก
เอกสารการวิจัยของแอกนัสนั้นมีเยอะมาก นิโค่จึงต้องพักอยู่กับเนโรและคิริเอะในเมืองฟอร์จูน่าสักพัก
.
นิโค่ไม่ตัดสินคนจากความสวยความงาม เธอคิดว่าดาบและปืนที่ดีต่างหากที่สวยงาม
อย่างไรก็ตาม เธอคิดว่าคิริเอะคือผู้หญิงที่สวยที่หาได้ยาก
ด้วยสายตาที่คิริเอะมองมาที่เธอ ทำให้นิโค่นึกถึงแม่ของเธอ อลิซซ่า ที่ตายไปตั้งแต่เธอยังเด็ก
.
คิริเอะถามว่า จะโอเคไหมถ้าจะเรียกนิโค่เฉยๆ นิโค่ผงกหัวตอบรับทันที
"เธอจะเรียกฉันยังไงก็ได้ จะนิโค่ นิโคเลตต้า หรือนังแรดก็ได้"
เนโรตอบสนองทันทีด้วยการกระทืบเท้านิโค่ใต้โต๊ะ ชี้ไปทีนิโค่และตะโกนต่อว่า
"อย่าพูดจาหยาบคายต่อหน้าคิริเอะนะเฮ้ย"
.
นิโค่ได้ยินมาว่าคิริเอะคือแฟนของเนโร แต่ก็ไม่สามารถจินตนาการว่าคิริเอะนั้นสำคัญกับเนโรมากขนาดไหน
นิโค่ขอโทษคิริเอะสำหรับความปากเสียของเธอ และพูดต่อว่าถ้าจะโทษกัน ไปโทษพ่อเธอโน่น
(ประมาณว่าจะโบ้ยว่าเป็นเพราะกรรมพันธุ์ฝั่งพ่อเลยปากหมา)
เนโรก็จ้องตาขวางใส่นิโค่เล็กน้อย คิริเอะมองมาที่ทั้งคู่แล้วก็ยิ้ม เหมือนกำลังมองเด็กน้อยที่กำลังทะเลาะกัน
ซึ่งเธอก็ปล่อยให้นิโค่ทำตัวตามสะดวก
.
คิริเอะเอ่ยชวนให้นิโค่อยู่ทานอาหารด้วยกันเพราะที่นี่มีอาหารมากมาย พร้อมกับถามว่านิโค่ไม่ชอบทานอะไรบ้าง
นิโค่ตอบทันควัน "ถ้าเธอเอายางรถมาทำอาหารให้ฉัน ฉันก็กิน" ทำเอาคิริเอะหัวเราะยกใหญ่
.
หลังจากคิริเอะเข้าไปทำอาหารในครัว นิโค่ก็เริ่มต้นแซวเนโรทันที
"ผู้หญิงดีๆแบบนี้ ดีเกินไปที่จะมาอยู่กับนายนะ"
เนโรก็ตอบกลับเชิงน้อยใจ "เออ ฉันก็คิดแบบนั้นเหมือนกัน"
.
ตั้งแต่แอกนัสทิ้งนิโค่กับแม่ไปตั้งแต่เธอยังเป็นเด็ก เธอก็ไม่รู้สึกอะไรกับเขาให้มันซับซ้อน
พอเธอเริ่มรู้สึกกับเรื่องนี้ ก็หยิบกล่องใส่บุหรี่ออกมา เนโรก็รีบคว้ามันจากเธอทันที
เนโรบอกว่านิโค่สูบบุหรี่ในบ้านไม่ได้ นิโค่ก็ถามกลับว่าอย่างน้อยขอไปสูบที่โรงรถได้ไหมล่ะ
เพราะในโรงรถเด็กก็จะไม่เห็นเธอสูบบุหรี่ แล้วเธอจะทำงานต่อไม่ได้ถ้าไม่ได้สูบบุหรี่
และถ้าเธอไปสูบบุหรี่ข้างนอกก็อาจจะถูกชาวเมืองขับไล่เอาเพราะว่าเป็นคนนอก
.
นิโค่เคยฟังแม่ของเธอเล่าให้ฟังว่าเมืองฟอร์จูน่านั้นเป็นบ้านเกิดของพ่อเธอ
เธออ่านเกี่ยวกับกฎหมายบ้านเมือง เป็นผลพวงมาจากที่เธอรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับปีศาจของเมืองนี้
.
หลังจากนั้นเนโรก็ยังคงสั่งให้นิโค่ไปสูบบุหรี่ข้างนอก
พอนิโค่ลุกขึ้นเพื่อไปสูบบุหรี่ เธอถามว่าเนโรต้องการเทคโนโลยีบางอย่างจากเธอมั้ย
เนโรไม่พยักหน้าตอบรับหรือส่ายหน้าปฏิเสธ
แต่นิโค่ก็ทึกทักไปเองโดยปริยายว่านั่นคือการตอบรับข้อเสนอของเธอ
"ไม่เป็นไร มันก็แค่การให้และรับ ฉันจะสร้างอาวุธดีๆ และนายก็ใช้มันปราบปีศาจ
เราจะเป็นเหมือนเพื่อนร่วมธุรกิจกันไง"
.
เนโรถามกลับไปว่า "มันจะโอเคจริงๆหรอ ถ้าหากเขาคือคนที่สมรู้ร่วมคิดในการฆ่าพ่อของเธอ"
นิโค่มีปฏิกริยาตอบสนองในเรื่องที่เนโรเล่าให้ฟัง เกี่ยวกับชายที่ควงปืนผลงานชิ้นเอกของคุณยายเธอ
และใช้ปืนคู่นั้นฆ่าพ่อของเธอ
แม้นิโค่จะมีจิตนาการที่สดใส ก็ต้องต่อสู้เผชิญหน้ากับบางสิ่งที่ป่าเถื่อน
อย่างไรก็ตาม นิโค่ยังคงยืนยันว่าเธอไม่มีความรู้สึกผูกพันกับพ่อของเธอ ตั้งแต่เขาทิ้งแม่เธอไปตั้งแต่เธออายุสองหรือสามขวบ
เธอไม่มีความทรงจำอะไเกี่ยวกับเขาเลย
.
นิโค่บอกเขาว่ามันเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นในอดีตไปแล้ว และจะขอใช้โทรศัพท์หลังจากเธอสูบบุหรี่เสร็จแล้ว
เนโรถามว่าเธอจะโทรหาใคร เธอตอบว่า "พ่อของฉัน ฉันจะส่งของไปให้"
ระหว่างที่เนโรกำลังสับสนกับคำพูดของเธอ นิโค่ก็ยืนยันคำพูดอีกที
"ไม่ใช่แอกนัสหรอก พ่อคนปัจจุบันของฉัน เกี่ยวข้องกันทางสายเลือด หรือเรียกอีกอย่างคือลุงฉันเอง"
เนโรฟังคำอธิบายพร้อมปากที่อ้ากว้างค้างอยู่
---------------------------------------------------------
Lucia Chapter
ลูเซียเฝ้ามองการต่อสู้ระหว่างบัลร็อกและดันเต้
บัลร็อกนั้นดูเหมือนจะสนุกกับการต่อสู้ มากกว่าที่จะโกรธ เมื่อดันเต้หลบการโจมตีของมันได้หมด
.
ระหว่างดูดันเต้ต่อสู้ ลูเซียได้แต่ถูหมัดตัวเองไปมา
เธอมุ่งมั่นที่จะเรียนรู้และแข็งแกร่งขึ้นด้วยตัวเธอเอง และตั้งใจว่าจะไม่มีวันพึ่งพาแต่ดันเต้อีกแล้ว
และวันหนึ่งเธอจะสามารถตอบแทนให้กับดันเต้ได้
แต่เมื่อจ้องมองการต่อสู้ของดันเต้ เธอก็รู้สึกถึงความไร้พลังของตัวเธอเอง
.
เธอแปลกใจในความกล้าหาญของดันเต้ที่ใช้ในการต่อสู้ ว่าเป็นเพราะประสบการณ์ที่มีอย่างโชกโชน
หรือว่าเพราะเขามีสายเลือดของสปาร์ด้ากันแน่
.
การต่อสู้ระหว่างดันเต้และบัลร็อกเริ่มดุเดือดและจริงจังขึ้น
สาเหตุเพราะไฟของบัลร็อกทำให้ต้นไม้และบ้านทั้งหลังหายไปเมื่อสัมผัสกับเปลวเพลิงจากมัน
ดันเต้ถามว่าทำไมบัลร็อกถึงชอบไฟขนาดนี้ และใช้มันเหมือนเป็นเรื่องธรรมดาเลย
บัลร็อกตอบว่าไฟของมันนั้นร้อนแรงที่สุด ไม่ใครหน้าไหนเทียบได้
และพุ่งไปต่อยดันเต้ด้วยกำปั้นที่ร้อนระอุจนไฟลุก
.
การโจมตีด้วยหมัดนี้เข้าเป้าอย่างจัง ทำให้ฝุ่นและขี้เถ้าฟุ้งกระจายเต็มอากาศโดยรอบ
ลูเซียตะโกนเรียกชื่อดันเต้โดยอัตโนมัติ
แต่เมื่อฝุ่นควันเริ่มจางลง เธอก็มองเห็นว่าดันเต้ถูกป้องกันด้วยกำแพงที่โปร่งใส
ลูเซียเห็นว่าในมือดันเต้นั้น ถือกระบองสามท่อนอยู่
.
"ไม่ได้ใช้ไอ้เจ้านี่มานานมากแล้วนะ ก็ฉันไม่ค่อยถูกกับความร้อนด้วยสิ"
ดันเต้พูดขึ้นมา ระหว่างที่กำแพงน้ำแข็งกำลังพังเป็นชิ้นๆ
แท็คติกที่ดันเต้เพิ่งใช้ ทำให้บัลร็อกโกรธ และตั้งท่าจะใช้หมัดโจมตีอีกรอบ
ดันเต้ตอบสนองกลับด้วยการโพสต์ท่าเท่ๆกับ Cerberus เหมือนเป็นตัวเอกในหนังกังฟู
.
ระหว่างที่โพสต์ท่า Cerberus ก็เปล่งไอเย็นออกมา ดันเต้บอกว่าเขาไม่ได้สั่งให้มันทำแบบนี้นะ ไม่ได้ตกลงกันไว้ซะหน่อย
ดันเต้คิดว่ากระบองสามท่อนกำลังไม่พอใจเขา
หลังจากที่มองเห็นแบบนั้น บัลร็อกก็พูดออกมา
"รูปร่างแบบนั้น... พลังแบบนั้น..นี่เจ้าทำให้ Cerberus เชื่องได้งั้นรึ?"
บัลร็อกพูดต่อไป ว่าพลังของไอ้หมาสามหัวนั่นสู้กับมันไม่ได้หรอก
.
ลูเซียนึกถึงคำพูดที่มาเธียร์เคยเล่าไว้ เกี่ยวกับอาวุธปีศาจ (Devil Arms)
เธอเล่าว่ามีสองวิธีที่จะสร้างอาวุธปีศาจได้
วิธีแรกเมื่อปีศาจพ่ายแพ้ในการต่อสู้ มันจะแปลงร่างตนเองเข้าสู่รูปแบบอาวุธที่มีพลังล้นหลาม และอยู่ในสถานะยอมจำนน
อีกวิธีคือ ปีศาจจะเปลี่ยนร่างตนเองเป็นอาวุธ เมื่อมันเกิดความผูกพันที่แข็งแกร่งขึ้น
.
ดันเต้พูดกับ Cerberus อีกครั้ง "ไม่เอาน่าไอ้ลูกหมา ฉันไม่ได้จะพาแกไปตายซะหน่อย"
เมื่อดันเต้ขว้าง Cerberus ออกไป การต่อสู้กับบัลร็อกก็เริ่มต่ออีกครั้ง
.
ดันเต้โจมตีใส่บัลร็อกชุดใหญ่ และมันทำให้ตัวของบัลร็อกโซเซ
แต่มันก็ทำให้บัลร็อกได้โอกาส เพราะมันคือกับดักให้ดันเต้ลดการป้องกันลง
ทันทีที่เผลอ บัลร็อกเร่งไฟที่แขนขวา(ข้างเดียวกับที่มีเศษดาบยามาโตะ) และโจมตีใส่ดันเต้
ดันเต้ทำการล้อมตัวเขาด้วยกำแพงน้ำแข็งจาก Cerberus และใช้มันรับการโจมตีของบัลร็อก
แต่การโจมตีของบัลร็อกนั้นรุนแรงมาก จนทำให้ Cerberus สั่นสะเทือน
.
แต่นั่นก็เป็นแผนลวงของดันเต้เช่นกัน
แรงโจมตีจากทั้งคู่ ทำให้เศษดาบยามาโตะและกระบอง Cerberus ได้รับการกระทบกระเทือน
ทั้งสองค่อยๆแตกร้าว และสลายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยจนหายไป
หลังจากที่ Cerberus พังไป ดันเต้ก็หยิบดาบ Rebellion ออกมา
.
พอเห็นดาบ Rebellion บัลร็อกก็ถามดันเต้ ว่าเขาคือลูกของสปาร์ด้าใช่หรือไม่
ดันเต้ตอบกลับไป "ก็ถ้าใช่แล้วแกจะทำยังไง?"
บัลร็อกพูดว่า มันได้ยินข่าวลือ ว่าบุตรแห่งสปาร์ด้าเป็นคนปราบมุนดัส และอาร์โกแซก
ถ้าเป็นแบบนั้น ต่อให้บัลร็อกใช้พลังสูงสุดที่มี ก็อาจจะแพ้ในการต้อสู้ให้กับดันเต้ก็ได้
.
บัลร็อกนั้นเข้าใจในความต่างชั้นของพลัง และยอมรับว่าดันเต้เป็นผู้ชนะการต่อสู้นี้
ทันใดนั้นดันเต้ก็ถูกรายล้อมด้วยเปลวไฟ ราวกับสายลมที่พัดหมุนรอบๆตัวเขา
.
เสียงบัลร็อกบอกว่า มันจะยอมเป็นอาวุธปีศาจให้ดันเต้ใช้งาน การได้ร่วมต่อสู้กับดันเต้ จะทำให้มันแข็งแกร่งขึ้น
และสักวันหลังจากนั้น มันจะท้าสู้กับดันเต้อีกรอบ
และนี่จะเป็นการขยายตำนานของอสูรเพลิงบัลร็อก
.
เมื่อไฟที่ห้อมล้อมรอบตัวหายไป ดันเต้ที่ยืนอยู่ก็สวมใส่อาวุธจากบัลร็อกเสร็จสรรพ
"ชิ อะไรจะเห็นแก่ตัวแบบนี้ ไม่รอฟังคำตอบกันเลยสักคำ" ดันเต้บ่นเบาๆ
ลูเซียถามว่าเขาปลอดภัยดีไหม
ดันเต้พยักหน้าและตอบว่า "ฉันมักจะเจออะไรแบบนี้แหละ"
.
บัลร็อกเริ่มต้นพูดคุยกับดันเต้ทันที และมันทำให้ดันเต้รำคาญ
ดันเต้บอกว่า ถ้าคิดจะเดินทางไปด้วยกัน แล้วยังพูดคุยจ้อไม่หยุดแบบนี้ เขาคงเป็นบ้าในที่สุดแน่ๆ
ลูเซียก็ยิ้มอย่างช่วยไม่ได้
.
ลูเซียกลับมารู้สึกโดดเดี่ยวอีกครั้งหลังจากงานของดันเต้สิ้นสุดลง
เธอตระหนักได้ว่ามาเธียร์นั้นเฝ้ามองเธอมาตลอด กับเหตุผลที่ว่าทำไมลูเซียไม่อยากเจอหน้าดันเต้อีก
ก็เพราะเธอยังคงมีใจให้ดันเต้มาตลอด
ลูเซียเรียกชื่อของมาเธียร์ออกมาดังๆ
ดันเต้บอกว่า มาเธียร์นั้นทำหน้าที่แม่ได้ดีนะ ถึงแม้จะไม่ได้เกี่ยวข้องกันทางสายเลือดตรงๆก็ตาม
.
จู่ๆดันเต้ก็เรียกลูเซียซะเสียงดัง มันทำให้ลูเซียตื่นเต้นขึ้นมา
แต่ดันเต้ก็เริ่มชวนคุยเรื่องเศษดาบยามาโตะในหมัดของบัลร็อก นั่นทำให้เธอผิดหวัง
.
ดันเต้อธิบายว่าพวกปีศาจใช้เศษดาบยามาโตะเดินทางมายังโลกมนุษย์ได้ยังไง
และบอกว่าเหตุการณ์แบบนี้อาจจะเกิดขึ้นอีก ถ้าแบบนั้นลูเซียสามารถโทรเรียกเขาได้ทันที
ลูเซียพยามยามซ่อนความรู้สึกไว้บนใบหน้าไว้ แล้วก็พยักหน้าตอบกลับไป
เธอรู้ว่าเศษดาบยามาโตะที่ดันเต้ทำลายไปนั้นต้องมีความสำคัญกับดันเต้แน่นอน
.
ลูเซียบอกว่าดันเต้นั้นเป็นชายที่โหดร้ายและทำให้เธอสับสน
ทางที่ดีทั้งสองควรจะแยกกันอยู่เหมือนที่เคยเป็นมาต่างหาก และลูเซียก็บอกลาดันเต้
และดันเต้ก็บอกลูเซียให้ดูแลตัวเองดีๆ
---------------------------------------------------------
Nico Chapter 2 (maybe spoiler)
นิโค่กับเนโรกำลังอยู่ในโรงรถ นิโค่กำลังติดตั้งแผงไฟนีออนป้ายร้าน Devil May Cry ที่ดันเต่ส่งมาให้
นิโค่บอกว่าชื่อร้านมันฟังดูประหลาด แต่เนโรไม่คิดอะไรมาก ตั้งแต่ดันเต้บอกว่ามันคือชื่อธุรกิจของเขา
.
นิโค่เล่นมุขตลกว่า ร้านชื่อว่าปีศาจร้องไห้ ก็เพราะเนโรมาทำงานกับดันเต้หรือเปล่า
(จะสื่อประมาณว่า ดันเต้ต้องร้องไห้ เพราะให้เนโรทำธุรกิจแล้วเจอแต่เรื่องยุ่งๆตามมา)
เนโรตอบว่าเขาก็คิดแบบนั้น แต่มันฟังดูไม่เท่เอาซะเลย
.
เนโรอาศัยอยู่ในเมืองฟอร์จูน่าประมาณหนึ่งปีแล้ว
.
อธิบายคอนเซปต์เกี่ยวกับรถตู้ร้าน DMC
โดยพื้นฐานแล้วคิริเอะและเนโรไม่ได้มีฐานะทางการเงินที่ดีนัก และในเมืองฟอร์จูน่าก็ไม่ค่อยมีงานให้ทำเท่าไหร่
คิริเอะมักจะให้เนโรคอยช่วยเหลือชาวบ้าน แต่เนโรก็ดื้อตอบว่าไม่ท่าเดียว
พอชาวบ้านจะจ่ายค่าตอบแทนให้ คิริเอะก็ปฏิเสธไม่รับเงินเช่นกัน
(ตรงนี้เหมือนจะสื่อว่า เมืองนี้ยังไม่ได้รับการฟื้นฟูที่ดีนัก ชาวบ้านก็คงมีฐานะไม่ต่างจากเนโร
คิริเอะเลยปฏิเสธไม่รับเงิน เพื่อให้ชาวบ้านเก็บเงินไว้ใช้จ่ายอย่างอื่นแทน)
ถ้าหากได้รับค่าตอบแทนจากการปราบปีศาจ ก็มักจะเป็นเนื้อ ผัก หรือข้าวของเครื่องใช้ต่างๆมากกว่า
คิริเอะมักจะใส่เสื้อผ้าตัวเดิมตลอด แต่เธอก็ยังตัดเย็บเสื้อผ้าให้เนโรและเด็กกำพร้าที่รับมาเลี้ยงดู
เมื่อมีรถตู้ร้าน DMC เนโรก็สามารถไปรับงานนอกเมืองได้ และทำเงินจากงานนั้นให้คิริเอะและเด็กๆที่เค้าดูแล
.
เนื่องจากพวกเขาไม่มีเงินมากนัก รถตู้ที่ซื้อมาเลยมีสภาพใกล้พังเต็มที พวกเขาร่วมกันซ่อมแซมทำให้มันดูใหม่ขึ้นมา
พอออกไปทำงานนอกเมือง นิโค่ก็ยุ่งมากกับตรวจสอบเอกสารงานวิจัยของภาคีในเมืองฟอร์จูน่า แต่ก็ไม่ได้อะไรคืบหน้า
นิโค่ท้องร้องด้วยความหิว คิริเอะก็เรียกให้ทั้งคู่ไปทานข้าวเย็น
เนโรบอกให้นิโค่ไปก่อนเลย แล้วจะตามไปหลังจากเก็บของเสร็จ
.
นิโค่ทานข้าวเย็นร่วมกับคิริเอะ และเด็กกำพร้าทั้งสามคน จูลิโอ, ไคลล์, และคาร์โล
สถานเลี่ยงเด็กกำพร้านั้น ไม่ได้ถูกสร้างขึ้นมาใหม่ตั้งแต่เหตุการณ์ในภาค 4
ดังนั้นจึงขึ้นอยู่กับคนจิตใจดีแบบเนโรและคิริเอะที่จะรับเด็กเหล่านี้ไปดูแล
นิโค่ชมว่าอาหารที่คิริเอะทำนั้นอร่อยเป็นประวัติการณ์
จนไม่แน่ใจว่าเนโรไปคว้าผู้หญิงสมบูรณ์พร้อมราวเทพธิดาแบบนี้มาเป็นแฟนได้ยังไง
.
คิริเอะแปลกใจที่เนโรไม่มาทานข้าวสักที เธอส่งคาร์โลที่อายุน้อยที่สุดไปนั่งบนตักของนิโค่
หลังจากนั้นคิริเอะก็ไปเช็คว่าเนโรกำลังทำอะไรอยู่
เธอเรียกเนโร และบอกว่าอาหารเย็นของเขากำลังจะเย็นชืดหมดแล้ว
เนโรตะโกนกลับมา ห้ามไม่ให้เธอเข้ามาในโรงรถ เธอหยุดและยืนตะลึงอยู่ตรงนั้น
.
เมื่อรู้สึกได้ถึงอันตราย นิโค่ส่งคาร์โลไปให้จูลิโอ หลังจากได้ยินเสียงร้องอย่างเจ็บปวดรวดร้าวจากโรงรถ
คิริเอะวิ่งนำหน้าไป และนิโค่วิ่งไล่หลังตามมา
.
ภาพที่เห็นทำให้นิโค่สั่นสะท้านไปถึงกระดูกสันหลัง โรงรถถูกปกคลุมเต็มไปด้วยเลือด
คิริเอะประคองร่างของเนโรพลางกรีดร้องถึงชื่อของเขา
นิโค่สังเกตเห็นว่าแขนขวาของเขาตั้งข้อศอกลงไปถูกตัดขาด
เธอตะโกนใส่เขาว่าเธอทิ้งให้เขาอยู่คนเดียวแค่ไม่กี่นาที กลับมีสภาพแบบนี้
แต่เนโรไม่ตอบ... ชายผู้มักจะนิ่งเฉยเสมอเวลาเธอดูถูกเขา และตอบโต้กลับด้วยสายตาที่ว่างเปล่า
.
นิโค่บอกให้คิริเอะโทรเรียกหมอ ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าคนที่ทำร้ายเนโรอาจจะยังอยู่แถวนี้
นิโค่ดึงปืน Blue Rose จากเนโรออกมาเผื่อต้องใช้มันปกป้องพวกเขา
นิโค่หยิบเชือกจากกล่องอุปกรณ์ และใช้มันพันรอบรอยตัดของแผลหวังที่จะหยุดเลือด
ระหว่างที่พยายามห้ามเลือด เธอก็บ่นออกมาดังๆตลอดว่าใครมันเป็นคนทำกับเนโรแบบนี้
พร้อมกับสบถสาบานว่าจะเจาะกะโหลกมันคนนั้นให้แตกเหมือนวอลนัท
.
นิโค่ครุ่นคิดว่าใครกันที่จะทำแบบนี้ เธอกังวลถึงความเป็นไปได้ที่มนุษย์จะมาตัดแขนเนโรได้ไวจนไม่น่าเชื่อขนาดนี้
เธอต่อสู้กับความคิดที่ว่า ใครคนนึงที่บุกเข้ามาได้รวดเร็ว ตัดแขนเนโรและหายไป
โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าใครคนนั้นไม่มีเจตนาจะฆ่าเนโร
.
ทันใดนั้น นิโค่จำได้ว่าเคยอ่านบันทึกวิจัยของแอกนัสเกี่ยวกับดาบยามาโตะ
แอกนัสทำการซ่อมแซมเศษดาบยามาโตะที่ศูนย์วิจัยชายฝั่งนอกเมืองฟอร์จูน่า
นิโค่พยายามคิดย้อนไปถึงตอนที่คุยกับเนโรเกี่ยวกับดาบยามาโตะ
เนโรบอกว่า ดาบยามาโตะเป็นของพี่ชายดันเต้ เธอถามเขาว่าแล้วตอนนี้มันอยู่ที่ไหน ฟังแล้วยามาโตะมันดูมีพลังอำนาจมากๆ
แน่นอนว่าเธออยากจะทำการศึกษาวิจัยดาบยามาโตะ
.
เนโรถามนิโค่ว่าอยากจะดูมายากลสักหน่อยมั้ยล่ะ แล้วก็ใช้แขนขวาของเขาทำให้ดาบยามาโตะปรากฏออกมา
พอได้เห็นดาบยามาโตะก็ทำให้นิโค่ตื่นเต้นและพูดติดอ่าง(อีกแล้ว)
นิโค่ถามอีกว่าเขาทำได้ยังไง เนโรก็ตอบว่าเขาเองก็ไม่ได้เข้าใจอะไรมากนัก
รู้เพียงแต่ว่าดาบเล่มนี้มันถูกเก็บไว้ในแขนของเขา และบอกว่านิโค่ไม่สามารถวิจัยเกี่ยวกับสิ่งนี้ได้ เพราะมันจะอันตรายเกินไป
.
นิโค่รู้สึกงุนงงที่จะสงสัยใครสักคนที่โจมตีเนโร เพื่อชิงดาบยามาโตะมากกว่าที่จะฆ่าเนโร
จบบทนี้พร้อมกับที่หมอมาถึงโรงรถ
---------------------------------------------------------
Morrison Chapter 1 (maybe spoiler)
มอริสันเดินลงมาจากถนน พร้อมกับหอบช่อดอกไม้ (ดอกเยอบีร่า)
เข้าเดินไปที่บาร์ Bobby's Cellar บาร์ที่ปรากฎในฉบับนิยายของภาคแรก
มอริสันไม่ได้มาที่นี่มากกว่าสิบปีแล้ว เขาเคยมาที่นี่เพื่อหาข้อมูลสำหรับงานชิ้นหนึ่ง
.
เขาเห็นว่าชื่อร้านได้ถูกเปลี่ยนเป็น Grue's Cellar ชื่อเดียวกับ Grue จากนิยายเล่มแรก
ข้างในบาร์มีลูกสาวของ Grue ที่รอดชีวิตมาได้ Tiki และ Nesty
.
มอริสันได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่นจากสองพี่น้อง
และได้มอบช่อดอกไม้ให้พวกเธอ เพื่อแสดงความยินดีที่พวกเขาได้รับสืบทอดกิจการ
พวกเธอทั้งสามคน รวมถึงผู้หญิงที่ชือ Sally ที่กำลังเปิดแชมเปญฉลอง
.
(ตรงนี้ขอรวบรัดตัดตอนข้ามไป เพราะเนื้อหาส่วนใหญ่พูดถึงนิยายภาคแรก ซึ่งแปลแล้วไม่รู้จะเกลาประโยคยังไงให้ดูเมคเซนส์)
.
ระหว่างที่ทั้งสี่กำลังฉลองกันอยู่ มีชายคนหนึ่งเข้ามาในร้าน
ทั้งตัวของเขาเต็มไปด้วยรอยสัก ถือไม้เท้า ผิวและใบหน้าซีดเผือดดูไม่มีชีวิตชีวา
ในมือของเขาถือหนังสือปกหนา บนหน้าปกมีตัวอักษร V ปรากฏอยู่
มอริสันมองและตัดสินว่านี่คงจะไม่ใช่มนุษย์แน่ๆ
.
เหล่าคนในปาร์ตี้พยายามอธิบายกับชายปริศนาว่า นี่คือปาร์ตี้ส่วนตัว ตอนนี้ร้านปิดอยู่
แต่ชายคนนั้นไม่สนใจ พร้อมกับถาม "มอริสันใช่ไหม?"
มอริสันพยักหน้า แล้วถามกลับว่าต้องการอะไร
ชายปริศนาบอกว่า "พาข้าไปพบดันเต้ที"
มอริสันถามว่านี่คือ 'งานพิเศษ' หรือเปล่า ชายปริศนาพยักหน้าตอบ
มอริสันตกลง ว่าชายคนนี้คือลูกค้าคนนึงที่ต้องการความช่วยเหลือเรื่องปีศาจ
มอริสันกล่าวขอโทษบรรดาหญิงสาว บอกว่าเขามีธุระกิจต้องไปจัดการ
.
มอริสันและวี ออกมาคุยกันนอกร้าน มอริสันถามว่าวีมีเงินสดใช่ไหม
เพราะดันเต้คงไม่รับงานเกี่ยวกับปีศาจถ้าไม่มีค่าตอบแทน
เพราะถ้าไม่มีเงิน ธุรกิจที่ไม่ค่อยเฟื่องฟูคงจะเดินหน้าต่อไปได้ยาก
วีตอบสนองด้วยการควักปึกธนบัตรออกมาหลายๆปึก บางปึกมีเลือดเปรอะอยู่ด้วย
.
ทันใดนั้น มอริสันได้ยินเสียงร้องคร่ำครวญจากทางด้านหลังของเขา
เขาเห็นชายคนนึงนอนจมกองเลือดอยู่ ในขณะเดียวกันก็ถูกนกตัวใหญ่โจมตีใส่
.
วียื่นแขนเหยียดออกมาตรงๆ และนกตัวนั้นก็มาเกาะที่แขนเขา
มอริสันถามว่า นี่คือนกของวีหรือ? แต่นกนั่นก็ตอบด้วยตัวมันเอง ว่าวีนั่นแหละคือนกของมัน
มอริสันก็รู้ทันทีว่านกตัวนี้มันไม่ได้จดจำคำพูดแบบนกแก้ว นกขุนทอง แต่มันพูดด้วยความรู้สึกนึกคิดของมันเอง
.
นกนั่นพูดติดตลกกับมอริสัน ว่าเงินก็คือเงินวันยันค่ำ
ถ้ามันสกปรก แล้วเขาอยากได้ธนบัตรที่สะอาดๆ ก็ไปแลกแบงก์ใหม่สะอาดๆที่ธนาคารซะสิ
.
วีบอกกับมอริสัน ว่าถ้าเงินที่เขาให้ไปยังไม่มากพอ เขาสามารถไปเอามาเพิ่มได้
มอริสันรู้ทันทีว่าต้องมีคนเจ็บตัวเยอะขึ้นแน่ๆ หากเขาเรียกเงินเพิ่มขึ้น
เขาจึงบอกว่าเงินจำนวนนี้เพียงพอแล้ว เงินทั้งหมดนี่ เพียงพอที่จะช่วยเพื่อนของเขาเรื่องความยากจนแล้ว
.
มอริสัน วี และนก ร่วมเดินทางเพื่อไปพบดันเต้ แต่ระหว่างนั้นมอริสันมีสถานที่ที่ต้องแวะอีกสองสามแห่ง
---------------------------------------------------------
Dante Chapter 3 (maybe spoiler)
สำนักงาน Devil May Cry นั้น น้ำไม่ไหล ไม่มีแก๊ซหุงต้ม ไม่มีไฟฟ้า หรือสายโทรศัพท์เพื่อติดต่อรับงานมาสักเดือนนึงแล้ว
และมอริสันก็มาเยือน คนที่ดันเต้ยินดีเสมอเมื่อได้พบกัน เพราะเขามักจะได้รับงานเสมอเมื่อเจอมอริสัน
.
มอริสันถามว่าดันเต้อยากได้ยินข่าวดีหรือข่าวร้าย
ดันเต้ตอบว่าอันไหนก่อนก็ได้ และมอริสันก็บอกข่าวร้ายกับเขาก่อน
เขาบอกว่าแพตตี้ เด็กสาวที่ดันเต้ดูแลเมื่อสิบปีก่อน นั้นโกรธดันเต้มาก
เธออยากจะชวนดันเต้ไปงานวันเกิดของเธอ แต่ว่าเบอร์โทรศัพท์ของเขามันติดต่อไม่ได้
ดันเต้นั้นไม่ได้เกลียดแพตตี้ เขาตัวสั่นทุกครั้งที่คิดว่าจะไปร่วมงานปาร์ตี้กับคนปกติมากกว่าเธอคนนั้น
.
มอริสันบอกถึงข่าวดี ว่ามีงานชิ้นใหญ่สำหรับดันเต้ จ่ายเงินสดซะด้วย
มอริสันถือโอกาสเอาเงินนั้นไปจ่ายค่าบิลต่างๆให้ดันเต้
ดันเต้ก็เศร้าเล็กน้อย เพราะอยากเอาเงินนั่นไปซื้อไอศกรีมสตรอเบอรี่ซันเดย์มากกว่า
.
พอพูดว่าเขาอดกินไอศกรีมจบ ไฟของโทรศัพท์สำนักงานก็สว่างขึ้นพร้อมกับมีสายเข้า
แพตตี้นั่นเองที่เป็นคนโทรมาเพื่อชวนดันเต้ไปงานปาร์ตี้
ดันเต้วางสาย แต่แพตตี้ก็โทรมาไม่หยุด ดันเต้เลยดึงสายโทรศัพท์ออกซะเลย
.
มอริสันแนะนำให้ดันเต้คุยรายละเอียดงานกับลูกค้า ระหว่างที่เขาจะไปคุยเรื่องงานกับเลดี้และทริช
ดันเต้บอกว่า "เฮ้ ฉันคนเดียวเอาอยู่หรอกน่า"
แต่มอริสันก็มองแล้วพูดเตือนเขา "งานชิ้นใหญ่"
.
ดันเต้มองไปที่ลูกค้าที่ยืนอ่านหนังสือ หลังเรียบพิงกำแพงอยู่ เขาคิดว่าไอ้หมอนี่โคตรประหลาด
ดันเต้ถามชื่อลูกค้าคนนี้ แต่วีตอบกลับว่า "ข้าไม่มีชื่อ ข้าเพิ่งเกิดเมื่อสองวันก่อนนี่เอง"
วีปิดหนังสือ ยิ้มมาให้ดันเต้ "ล้อเล่นน่า เจ้าเรียกข้าว่าวีก็ได้"
เห็นชัดๆว่ามันคือนามแฝง ดันเต้นั้นไม่สนใจว่าใครจะใช้ชื่อปลอมหรือนามแฝงในร้านของเขา
.
วีใช้ไม้เท้าในการพยุงตัวเดินมาทางดันเต้ แต่ดันเต้คิดว่าวีอาจจะแกล้งเดินแบบนั้น
แต่ทั้งหมดนี้ วีก็ดูไม่ใช่คนธรรมดาอยู่ดี
.
วีบอกว่า มีปีศาจที่ทรงพลังตนหนึ่งถูกชุบชีวิตขึ้นมา และเขาต้องการให้ดันเต้ช่วย
ดันเต้สงสัย ว่าผู้คนที่จ้างงานเขากำหนดความแข็งแกร่งให้ปีศาจยังไง
เพราะสำหรับเขาบางทีก็เจอ ปีศาจที่แข็งแกร่ง และ ปีศาจกากๆ แต่สุดท้ายก็น่าผิดหวังทุกที
ดันเต้เริ่มคิดว่าการกำจัดพวกปลวกอาจจะมีอะไรให้ท้าทายสักนิดก็ได้
ยังไงก็ตาม เขาก็ไม่อยากให้พวกปีศาจมาเดินลอยหน้าในโลกมนุษย์อยู่ดี
.
วีบอกกับดันเต้ว่า ปีศาจตนนี้แตกต่าง เพราะปีศาจตนนี้เป็นเหตุผลให้ดันเต้ต้องต่อสู้กับปีศาจทั้งหลาย
ดันเต้มองมาที่วีตรงๆ และเขาสามารถบอกได้ว่า วีนั้นไม่ใช่ปีศาจ
ในเมื่อวีไม่ใช่ปีศาจ แล้ววีรู้เรื่องเกี่ยวกับปีศาจตนนี้ได้ยังไง
.
ดันเต้ถามถึงชื่อของปีศาจที่เขาจะต้องไปสู้ ถ้ามันมีเหตุผลจริงๆให้เขาต่อสู้ เขาจำเป็นต้องรู้ชื่อของเป้าหมาย
วีบอกชื่อของปีศาจตนนั้น---
---------------------------------------------------------
Lady Chapter 1 (maybe spoiler)
มอริสันมาเยี่ยมเลดี้ ที่ห้องพักของเธอในโรงแรม
ทั้งสองคนนั่งดูรายการถ่ายทอดสดทางทีวี เป็นข่าวต้นไม้ยักษ์ที่โผล่ขึ้นมากลางเมือง
เลดี้พูดว่าไอ้สิ่งนั้นมันไม่ได้เหมือนต้นไม้เลย เหมือนสิ่งมีชีวิตอะไรสักอย่างที่ตัวใหญ่มหาศาลมากกว่า
.
มอริสันคุยกับเลดี้ ว่าถ้าพวกเขาจัดการกับ "บอส" ได้ล่ะก็ ต้นไม้น่าจะหายไป
.
เลดี้ถาม ว่ามอริสันติดต่องานนี้กับเธอทำไม ในเมื่อดันเต้คนเดียวก็น่าจะปิดงานได้
ยิ่งถ้าเขาร่วมมือกับทริชก็น่าจะพอแล้ว
มอริสันบอกว่าเขามีความรู้สึกสังหรณ์ร้ายกับงานนี้
เลดี้เชื่อว่า มอริสันตึงเครียดกับงานนี้จริงๆ เพราะตั้งแต่แรกที่เจอกันก็ไม่เคยมีท่าทีแบบนี้มาก่อนเลย
มอริสันจับมือกับเลดี้ และบอกว่าเธอต้องไปตามกำหนดเวลาที่แน่นอน ในสถานที่ที่กำหนดกันไว้ล่วงหน้า
(วางแผนให้เลดี้ไปสมทบกับดันเต้ในสถานที่แห่งนึง)
.
เลดี้ถามว่า อะไรทำให้งานรอบนี้อันตรายมากขนาดนั้น มันก็แค่ปีศาจตนนึงที่อ้างตัวว่าเป็นราชาปีศาจไม่ใช่รึไง?
มอริสันตอบเธอ ว่างานนี้มันเกี่ยวข้องกับราชาปีศาจตนนึงที่ถูกชุบชีวิตขึ้นมา
เลดี้ "ก็ถ้ามันคือราชาปีศาจตัวเดียวกัน งั้นดันเต้ก็เคยปราบมันได้แล้วไม่ใช่รึ?"
เลดี้เล่าว่า ทริชเคยเล่าให้เธอฟัง ว่ากองทัพปีศาจของมุนดัสนั้นทำให้แม่ดันเต้ต้องตาย
และในครั้งนั้นดันเต้หนีเอาชีวิตรอดมาได้ และ 12 ปีต่อมาเขาถึงได้ไปล้างแค้นให้เธอ
.
มอริสันรู้ดี ว่าดันเต้เคยปราบมุนดัสมาแล้ว แต่เขาก็อยากจะป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิดเอาไว้ก่อน
เลดี้ถามว่าทำไมมอริสันถึงกระวนกระวายกับเรื่องนี้นัก
มอริสันตอบสั้นๆมาว่า "ชื่อเมือง" (หมายถึงชื่อของเมืองที่กำลังโดนโจมตีในข่าว)
.
เลดี้หันไปดูรายงานข่าวในทีวีอีกครั้ง และตรงหัวข่าวรายงานว่า
"ปรากฏกาณ์ลึกลับในเมือง Red Grave City"
ชื่อของเมืองนั้น เหมือนชื่อที่สลักบนปืนของดันเต้
.
เลดี้คิดย้อนไปถึงตอนที่เคยถามดันเต้ ถ้าเนล โกลด์สตีน เป็นคนที่สร้างปืนคู่นั้นให้เขา
เธอถามแบบนั้นเพราะบนปืนบาซูก้าของเธอก็มีชื่อ โกลด์สตีน เหมือนกัน จะใช่ผลงานของคนเดียวกันหรือไม่
แต่ปืนของเธอเป็นผลงานของ ร็อค โกลด์สตีน ลุงของนิโค่
ดันเต้ถามเกี่ยวกับร็อค ว่ามีทักษะสร้างอาวุธยังไงบ้าง และเลดี้ตอบว่าก็ไม่เลว
แต่เลดี้คิดว่าลูกสาวของเขา นิโค่ นั้นมีทักษะที่เหนือกว่าร็อค
สุดท้าย เลดี้ก็ไปขอให้นิโค่สร้างอาวุธให้แทน
(อธิบายเสริมเผื่อลืม ร็อค โกลด์สตีน เป็นลุงแท้ๆของนิโค่ และเป็นเหมือนพ่อบุญธรรมในเวลาเดียวกัน)
.
ดันเต้หยิบปืน Ebony และ Ivory ออกมา และถามเลดี้ว่าร้านเวิร์คชอปของร็อคอยู่ที่ไหน
และนั่นทำให้เลดี้นึกถึงชื่อ RedGrave ที่สลักอยู่บนปืนของดันเต้
เธอคิดว่า ชื่อที่สลักบนปืน และชื่อของเมือง ทั้งสองอย่างมันต้องเกี่ยวโยงกับอดีตของดันเต้แน่ๆ
---------------------------------------------------------
V Chapter 1 (maybe spoiler)
วีรู้สึกว่ามอริสันนั้นทำงานได้ยอดเยี่ยม ในการรวบรวมคน ตั้งแต่ ดันเต้ เลดี้ และทริช
พวกเขาทั้งหมดเดินทางไปเมือง Red Grave ด้วยเฮลิคอปเตอร์
ต้องขอบใจมอริสันสำหรับการเตรียมงานอันรวดเร็วแบบนี้
วี เลดี้ ทริช และดันเต้ ตอนนี้พวกเขาทั้งหมดอยู่ภายในต้นไม้ยักษ์ ภายในนั้นมีแต่กลิ่นน่าสะอิดสะเอียน
.
ในขณะที่อยู่ในต้นไม้ยักษ์ พวกเขาก็ได้ยินเสียงคำรามที่ทำให้รู้สึกสังหรณ์ไม่ดี และพื้นที่รอบๆก็เริ่มสั่นไหว
วีเชื่อว่ามันคือควันหลงของการคืนชีพราชาปีศาจ
แผนเดิมของวีคือ พวกเขาทั้งสี่จะทำการจู่โจมก่อนที่ราชาปีศาจจะถูกปลุกขึ้นมา แต่เหมือนเขาจะมองโลกในแง่ดีเกินไป
.
ดันเต้บอกให้วีหนีออกไปซะ อย่ามาเป็นตัวถ่วง
วีตอบกลับว่า คำพูดแบบนั้นมันจะให้ตัวตนในอดีตของเขาหงุดหงิด
แต่วีก็ทำตามที่ดันเต้บอก และเริ่มแยกตัวออกไป
.
กริฟฟอนบินตามมาและตกใจในการกระทำของวี พร้อมถามว่าวีจะแยกตัวออกไปจริงๆหรือ?
ด้วยความที่คุ้นเคยกับปีศาจของเขา วีนั้นเปิดเผยแผนการที่กำหนดไว้ และยังคงใจเย็นค่อยๆอธิบาย
วีบอกว่า ไม่มีเวลาที่จะมาห่วงความภาคภูมิใจที่เขาเคยมีอีกแล้ว
.
วีบอกกับกริฟฟอนว่า เขาจะไปเอาไอ้หนุ่ม(เนโร) มาเป็นเบี้ยประกันไว้ก่อน
กริฟฟอน "ไอ้หนุ่ม? เฮ้ย วี เอ็งหมายถึงไอ้เนโรเด็กเหลือขอนั่นรึ? อย่ามาตลก
ไอ้หมอนั่นโดนขโมยแขนขวาไป แล้วมันจะเอาอะไรไปสู้"
วีตอบกลับว่าก็ยังดีกว่าไม่ทำอะไรเลย
วีรู้สึกว่าการได้เชื้อไขของสปาร์ด้ามาช่วยสู้ อาจจะเพิ่มโอกาสในการเดิมพันที่จะเอาชนะราชาปีศาจได้
เหมือนว่าวีนั้นคุ้นเคยกับราชาปีศาจตนนี้ดี และเขาจะไม่ยอมเสี่ยงอะไรไปมากกว่านี้
.
วีออกมาจากต้นไม้ยักษ์ และใช้เฮลิคอปเตอร์เดินทางไปยังเมืองฟอร์จูน่า
กริฟฟอนถามวีด้วยอาการประสาท ว่าวีนั้นรู้สึกว่าทุกอย่างมันเสี่ยงขึ้นใช่มั้ย
วีได้แต่พยักหน้าตอบ
---------------------------------------------------------
Trish Chapter (maybe spoiler)
ทริชนั้นถูกสร้างขึ้นมาโดยมุนดัส โดยให้มีลักษณะภายนอกเหมือนกับอีวา ภรรยาของสปาร์ด้า
มุนดัสส่งกองทัพลูกสนุนของมันเพื่อมาฆ่าอีวา และลูกๆของสปาร์ด้า
ระหว่างที่พวกมันทำการสังหารอีวา ดันเต้และเวอร์จิลก็หนีไปได้
มันคือเรื่องยุ่งเหยิงในภายหลัง เมื่อพวกเขาเติบโตขึ้นและมาแก้แค้นกับมุนดัส
.
มุนดัสค้นพบเวอร์จิลก่อน เพราะเวอร์จิลไม่ได้อำพรางตัวและใช้ตัวตนปลอมเหมือนดันเต้
ยังไงก็ตาม เวอร์จิลนั้นได้รับมรดกจากสปาร์ด้าตั้งแต่ยังเด็ก นั่นคือดาบยามาโตะ
และใช้ดาบนั้นจัดการกับลูกสมุนของมุนดัส ที่ถูกส่งมาฆ่าเขา
.
สิบปีต่อมา มุนดัสก็ค้นพบตัวดันเต้ ที่ใช้ชื่อปลอมเพื่ออำพรางตัวตนในชื่อ โทนี่ เร้ดเกรฟ
มุนดัสส่งปีศาจมาจัดการโทนี่ แต่ก็โดนจัดการจนสิ้นซากอย่างง่ายดาย
และนั่นก็เป็นการยืนยัน ว่าโทนี่ คือดันเต้
.
มุนดัสตัดสินใจสร้างปีศาจขึ้นมาเพื่อใช้ในการล้างแค้น
มุนดัสได้สร้างปีศาจนักรบอัศวินดำ โดยใช้ข้อมูลจากการต่อสู้ของสปาร์ด้า ดันเต้ และเวอร์จิล
อัศวินปีศาจพวกนั้นทั้งตัวหุ้มด้วยเกราะที่สร้างโดย Machiavelli ช่างฝีมือจากนรก
มุนดัส ฝึกฝนให้อัศวินของมันมีประสบการณ์ต่อสู้หลากหลายรูปแบบ
แต่พวกมันนั้นไม่สมบูรณ์ตามธรรมชาติที่สร้างขึ้นมา และก็มีพลังที่จำกัด จากการที่เป็นปีศาจเทียม
นั่นหมายความว่าพวกมันไม่แข็งแกร่งพอที่จะส่งไปฆ่าเวอร์จิลและดันเต้
.
ช่วงเวลาก่อนที่ดันเต้และเวอร์จิลจะต่อสู้กันเอง เวอร์จิลได้เดินทางไปทั่วโลก
ระหว่างนั้นเขาได้ศึกษาเกี่ยวกับผนึกประตูโลกปีศาจของสปาร์ด้า และต้องการพลังนั้นมาเป็นของตนเอง
ดันเต้นั้นดูหมิ่นเวอร์จิลอย่างมากที่กระหายในพลังแบบนี้
.
เมื่อมุนดัสรู้ว่าฝาแฝดได้ต่อสู้กันเอง มันตัดสินใจที่จะเฝ้าดูอยู่เฉยๆ เพราะการต่อสู้ครั้งนี้เป็นประโยชน์ต่อตัวมันอย่างยิ่ง
เวอร์จิลพ่ายแพ้และบาดเจ็บในการต่อสู้กับดันเต้ และร่วงหล่นมายังโลกปีศาจจนพบกับมุนดัส
ซึ่งทำให้มุนดัสได้เปรียบ
แต่มุนดัสก็ตัดสินใจว่าจะยังไม่จัดการให้สิ้นซากในคราวเดียว
มุนดัสรู้สึกว่าการจะเอาชนะเวอร์จิลในตอนนี้ก็ทำได้ง่ายๆ และมุนดัสต้องการพลังของเวอร์จิล ในสถานภาพที่อ่อนแอที่สุด
.
มุนดัสจับตัวเวอร์จิลไว้ และใช้เขาในการทดลองปีศาจอัศวินดำ
ผลลัพธ์คือ มันได้ปีศาจอัศวินที่ทรงพลังที่สุดที่เคยสร้างมา
มุนดัสตั้งชื่อให้กับอัศวินตนนี้ว่า เนโล แองเจโล่
แต่มุนดัสก็ไม่สามารถควบคุมอัศวินตนนี้ได้อย่างเบ็ดเสร็จ และเขาต้องการกำราบเวอร์จิลให้ได้
จึงได้มอบสร้อยเครื่องรางคืนให้เวอร์จิล สัญลักษณ์แห่งพลังที่เขาต้องการอย่างมาก
.
ตอนนี้มุนดัสมีปีศาจที่จะใช้สำหรับล้างแค้นแล้ว
แผนการต่อไปคือล่อให้ดันเต้มายังโลกปีศาจ มันค่อนข้างดีกว่าที่จะส่งเนโล แองเจโล่ไปยังโลกมนุษย์
ด้วยแผนการนี้ เขาจึงสร้างทริชขึ้นมา
เธอถูกสร้างขึ้นมาและจงใจให้รูปลักษณ์ของเธอนั้นเหมือนกับแม่ของดันเต้
เพื่อที่จะใช้ความได้เปรียบในความรักที่มีต่อแม่ของดันเต้ ทำให้เขาใจอ่อน ล่อให้เขามายังเกาะมัลเล็ต
.
ระหว่างทริชนึกถึงการพบกันครั้งแรกระหว่างเธอและดันเต้ เธอก็ตื่นขึ้นมาและอยู่ในต้นไม้ปีศาจ
ในขณะที่หอบหายใจอย่างแรง เลดี้ถามเธอว่าเพิ่งจะตื่นหรือไง
ทริชกล่าวขอโทษสำหรับความไม่ระมัดระวังของเธอ และลุกขึ้นยืน
เลดี้ถามว่าทริชยังสู้ไหวไหม เธอตอบแค่ว่า "ยังพอไหว"
.
แม้จะมีความคิดว่านี่เป็นงานง่ายๆ แต่พวกเขากำลังดิ้นรนต่อสู้กับอูไรเซ็น
ดูเหมือนอูไรเซ็นนั้นไม่ได้รับรู้เลยว่าพวกเขาอยู่ตรงนั้น แต่ยังคงนั่งอยู่ที่เดิมกับอะไรสักอย่างที่ดูเหมือนบัลลังก์ของมัน
.
ทริชและเลดี้ช่วยกันโจมตีใส่อูไรเซ็น แต่ก็ไม่ได้ผล มีวัตถุรูปร่างประหลาดที่ลอยอยู่รอบๆ ปกป้องมันไว้อยู่
ทริชจะใช้ดาบสปาร์ด้าโจมตี แต่ก่อนที่เธอจะได้ทำ อูไรเซ็นก็ปลดปล่อยคลื่นพลัง กระแทกพวกเธอจนกระเด็นถอยหลังออกมา
.
ทริชเกร็งแขนขวาของเธอ และทำการอัญเชิญปืน Artemis (ปืนเลเซอร์ในภาค 3)
อาวุธปีศาจที่ดันเต้เคยใช้ ผลงานซึ่งถูกสร้างโดย Machiavelli
ทริชยิงกระสุนเลเซอร์กระจัดกระจายออกไปในอากาศหลายนัด หวังว่ามันจะโจมตีโดนหลายจุดและโดนตัวอูไรเซ็น
แต่อูไรเซ็นก็ใช้คลื่มลมอัดกระแทกปัดกระสุนพวกนั้นจนกระเจิงหายไป
ทริชได้แต่พูดออกมาดังๆ "เป็นไปไม่ได้...พลังนี่มัน..."
.
ทริชนึกในใจ ว่าเธอเองก็เคยได้ยินข่าวลือเกี่ยวกับการโจมตีของปีศาจมาบ้าง
ถ้าหากเธอเจอบางตัวที่ไม่เคยเผชิญหน้ามาก่อน มันก็จะยังอยู่ในประเภทที่คล้ายๆกันบ้าง
แต่เมื่อมาเจอกับอูไรเซ็น เธอไม่เคยรู้อะไรเกี่ยวมันมาก่อนเลย
.
ทริชพูดออกมาจนเงียบไป.. "ดันเต้..." เมื่อเธอพยายามนึกถึงตัวตนของอูไรเซ็น
---------------------------------------------------------
Nero Chapter 3 (maybe spoiler)
เนโรฟื้นขึ้นมาหลังจากนอนโคม่าไปหลายวัน เมื่อเขาตื่นขึ้น วีก็ยืนอยู่ข้างๆเตียงของเขาแล้ว
เนโรตั้งท่าป้องกันตัวทันที เนื่องจากเหตุการณ์ล่าสุดที่เพิ่งเกิดขึ้นกับเขา
แต่วีก็ยังคงยิ้มมาให้เขา
วีสารภาพว่าเขาเข้ามาทางหน้าต่าง และแนะนำตัวเองว่าชื่อ วี
.
เนโรมักจะใช้แขนขวาของเขาเป็นประจำเพื่อที่จะระบุว่าใครเป็นปีศาจ
แต่แขนขวาตอนนี้ถูกห่อไว้ด้วยผ้าพันแผล ระหว่างกำลังรื้อฟื้นในความคิดว่าเกิดอะไรขึ้น
เนโรก็ถามด้วยสีหน้าบึ้งตึงว่าวีเป็นใครกันแน่
.
วีบอกกับเนโรว่า เขารู้ว่าปีศาจตนไหนที่มาขโมยแขนของเขาไป
ปีศาจที่ตอนนี้ได้พลังจากดาบยามาโตะด้วยการขโมยแขนเนโร ที่ตอนนี้ดันเต้กำลังหาวิธีไปเผชิญหน้ากับมัน
.
เนโรถามว่า วีรู้เรื่องนี้ได้ยังไง วีตอบกลับมาว่าเขาเองก็กำลังตามล่าปีศาจตัวเดียวกับดันเต้
ปีศาจตนเดียวกันที่ขโมยแขนเนโร วีบอกอีกว่าเขาไม่สามารถปราบปีศาจตนนี้ได้ด้วยตัวคนเดียว
ดังนั้น เขาจึงไปจ้างวานให้ดันเต้มาช่วย
หลังจากนั้น วีได้ชวนให้เนโรไปกับเขา ถ้าเนโรคิดว่าดันเต้เองก็ไม่สามารถปราบศัตรูตนนี้ได้เพียงลำพัง
.
เนโรเองก็ทั้งสงสัยและไม่อยากจะเชื่อว่ายังมีศัตรูที่ดันเต้ไม่สามารถปราบได้อยู่อีกหรือ
เนโรใช้มืออีกข้างไปจับบริเวณผ้าพันแผลที่แขนขวา เหมือนจะส่งภาษากายว่า "แล้วฉันจะทำยังไงดี"
ทันใดนั้น ลายสักที่แขนของวีก็เริ่มบิดตัวไปมา และกลายเป็นนก ออกมาจากแขนเขา
.
กริฟฟอนเรียกวี ว่าไอ้คนเฉื่อยชา แล้วบอกกับวีว่าให้รีบๆหน่อย ให้ไปยัง 'ที่นั่น' ได้แล้ว เวลาจะไม่เหลือแล้ว
เนโรคิดว่านกตัวนี้มาจากวี แต่วีก็พูดด้วยเสียงกังวาลจากปากเขา
วีถามเนโรว่า ถ้าเขารู้สึกไม่มั่นใจว่าเขาเองสามารถปราบปีศาจตนที่ขโมยศักดิ์ศรีและแขนขวาของเขาไปล่ะก็นะ
.
เนโรตอบสนองด้วยการขบฟันครุ่นคิด เขาเองก็ยอมรับว่าวีนั้นมีพิรุธ
แต่เขาก็ต้องการสิ่งที่ถูกขโมยไปจากเขาคืนมา
หากเขาไปกับวี ก็อาจจะได้หนทางตามรอยปีศาจตนนี้ และมันมีเพียงโอกาสเดียวในตอนนี้ที่จะทำเช่นนั้น
.
เนโรนึกถึงประสบการณ์ต่อสู้ด้วยแขนข้างเดียว ซึ่งเขาเคยทำมาแล้ว ในตอนที่เลือกจะซ่อนแขนขวาจากสายตาผู้คน
ปัญหาตอนนี้ติดอยู่อย่างเดียวคือ คิริเอะ
เธอคงไม่อนุญาตให้เขาออกไปทำการตามล่าปีศาจ ด้วยสถานการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้นแบบนี้
.
เนโรถามวี ว่าสามารถรอเขาอีกนิดได้ไหม เพราะเขาจะไปเอาดาบ Red Queen และปืน Blue Rose
เขาวางแผนที่จะแอบไปเอาอาวุธในโรงรถ โดยที่ไม่ทำให้คิริเอะและนิโค่รู้ตัว
วีและกริฟฟอนพูดพร้อมกันว่า รีบหน่อยล่ะ
---------------------------------------------------------
Dante Chapter 4 (maybe spoiler)
ดันเต้ถามอูไรเซ็น ว่ามันคือราชาของกองขยะจริงๆหรอ?
ดันเต้มาถึงสถานที่ตั้งของบัลลังก์อูไรเซ็น และสังเกตเห็นว่าเลดี้และทริชนอนไม่ได้สติอยู่
ดันเต้พูดว่า แบบนี้มันเซอร์ไพรซ์เขามากทีเดียว สองคนนั้นเป็นสาวที่น่ากลัวที่สุดในโลกนี้แล้วนะ
.
ดันเต้เล็งปืน Ebony และ Ivory ไปทางอูไรเซ็น และพูดว่า แบบนี้เหมือนเขาจะแจ็คพอตแตกเลยแหะ
ดันเต้นั้นสงสัยในคำพูดของวีตั้งแต่แรก แต่หลังจากเห็นทริชและเลดี้แพ้หมดสภาพ
เท่านี้มันก็ชัดเจนเพียงพอสำหรับเขาแล้ว ว่าปีศาจตนนี้เป็นใครกันแน่
และเขาจะไม่มีทางยอมให้มันฟื้นคืนชีพขึ้นมาเด็ดขาด
.
ในที่สุดอูไรเซ็นก็พูดครั้งแรก "ดันเต้..."
มันก็ยิ่งชัดเจนขึ้น กับคำพูดของวีที่อธิบายกับดันเต้ในตอนนั้น 'เหตุผลที่นายต้องต่อสู้'
.
ดันเต้พูดว่า มันน่าสงสารแหะที่แกยังไม่ตายให้พ้นๆไปซะที ถ้าอย่างนั้นฉันจะส่งแกกลับนรกอีกครั้งเอง
ดันเต้เริ่มใช้ปืนคู่ของเขา ระดมยิงใส่ไม่ยั้ง แต่วัตถุประหลาดที่อยู่ข้างๆอูไรเซ็นก็หยุดกระสุนทั้งหมดก่อนที่จะไปถึงตัวมัน
ดันเต้จึงคว้าดาบ Rebellion ออกมาแทน และแกว่งดาบพุ่งเข้าไปโจมตีใส่อูไรเซ็น
แต่วัตถุประหลาดนั่นก็ยังหยุดการโจมตีของเขาได้
.
มันยากที่ดันเต้จะระบุได้ว่าไอ้ปีศาจตนนี้คือใคร จากวิธีพูดด้วยเสียงจากในคอ
แต่มันก็มีแค่คนเดียวเท่านั้นที่จะเบี่ยงวิถีการโจมตีจากดาบของเขาได้
ดันเต้พูดกับอูไรเซ็นว่า แกแข็งแกร่งกว่าครั้งสุดท้ายที่เจอกันนะ
แต่ปีศาจตนนี้ก็ได้แต่พ่นเสียงหัวเราะออกมา
.
ดันเต้บอกว่า ถ้าแบบนี้เขาจะใช้พลังทั้งหมดและแปลงสู่ร่างปีศาจ และบอกอูไรเซ็นให้รีบมาจบเรื่องไวๆ
เขาไม่ได้มีเวลาทั้งวันหรอก ยังมีงานวันเกิดที่รอเขาไปร่วมฉลองอยู่
---------------------------------------------------------
Morrison Chapter 2 (maybe spoiler)
มอริสันอยู่ตรงตลาดเมือง Red Grave และมองเห็นต้นไม้ปีศาจได้ชัดเจน
ผ่านไปประมาณหนึ่งวันแล้วที่ต้นไม้ปรากฏออกมา และชาวเมืองต่างพากันถ่ายรูปกับต้นไม้ หรือไม่ก็สวดภาวนา
ผ่านไปสามชั่วโมงแล้ว ตั้งแต่ส่งดันเต้ ทริช และเลดี้ เข้าไปข้างในต้นไม้
ผ่านไปครึ่งชั่วโมงแล้วตั้งแต่วีกลับมา พร้อมเจ้าหนุ่มเนโร
.
มอริสันคิดเกี่ยวกับชื่อเมือง Red Grave และนามแฝงของดันเต้ --โทนี่ เร้ดเกรฟ นั้นมันไม่เหมือนกัน
มอริสันคิดว่า ดันเต้หรือโทนี่ นั้นมีชื่อเสียงเกี่ยวกับลางร้าย ตั้งแต่ตอนที่เจอกับมอริสันครั้งแรก
ทหารรับจ้างแต่ละคนก็ปฏิเสธที่จะทำงานร่วมกับเขา เพราะไม่อยากจะตาย
.
มอริสันตั้งทฤษฎีนี้ขึ้นมา เพราะดันเต้เป็นบุตรแห่งสปาร์ด้า เป็นศัตรูโดยธรรมชาติของเหล่าปีศาจ
เพื่อความปลอดภัยของดันเต้ เขาจึงรับโทนี่ เร้ดเกรฟ มาเลี้ยงดู บุคคลที่จำเป็นต้องซ่อนตัวจากปีศาจ
ชื่อเสียงเรื่องลางร้ายของโทนี่ เริ่มต้นตั้งแต่ปีศาจเจอตัวเขาครั้งแรก และก็โจมตีใส่เขาทันที
ยังไงซะมันก็คือการคาดเดาของมอริสัน
เพราะราชาปีศาจที่แข็งแกร่งก็ได้ปรากฏตัวที่เมือง Red Grave นี้แล้ว
.
ดันเต้มักจะใช้เวลาไม่กี่นาทีเพื่อจบงาน มากสุดก็ชั่วโมงนึง
พอดันเต้หายไปถึงสามชั่วโมงแบบนี้ มอริสันก็เริ่มที่จะเป็นห่วงเขาแล้ว
"เราก็รู้จักกันมานานแล้ว นายไม่เคยเจอปัญหาใหญ่ขนาดนี้ คงจะตึงมือน่าดูเลยสินะ?"
---------------------------------------------------------
Nero Chapter 4 (maybe spoiler)
หลังจากเนโรและวี เข้ามาในต้นไม้ปีศาจ
เนโรมองเห็นดันเต้กำลังสู้กับอูไรเซ็นจากระยะไกล เห็นว่าดันเต้ยังคงมีชีวิตอยู่และยังคงต่อสู้ไม่จบ
เนโรตั้งคำถามว่าทำไมดันเต้ยังอยู่ที่นี่
วีบอกเนโรว่าอย่าประเมิณพลังของปีศาจตนนี้ต่ำเกินไป มันขโมยแขนของเนโรเพื่อที่จะได้รับพลังที่มหาศาลมากขึ้น
.
วีบอกว่าจะล่วงหน้าไปก่อน ให้เนโรรีบตามไป อย่าชักช้า หลังจากนั้นวีก็เกาะกริฟฟอนแล้วบินออกไป
เนโรพูดออกมาดังๆ ว่าวีมันน่าสงสัยจริงๆ
.
เนโรคิดในใจถึงเหตุผลเรื่องที่วีมันน่าสงสัย ไหนจะใช้นามแฝง มองยังไงก็มีพิรุธ
พูดอะไรแต่ละทีก็พูดเท่าที่จำเป็นเท่านั้น รวมถึงความสามารถแปลกๆนั่นอีก
แต่ยังไงเนโรก็ยังอยากจะเชื่อ ว่าสิ่งที่วีพูดมันคือความจริง
ไม่ว่าจะน้ำเสียง สายตา หรือแม้กระทั่งการปรากฏตัวของเขา
มีอะไรบางอย่างเกี่ยวกับวี ทำให้เนโรอยากจะตามเขาไปโดยที่ไม่มีเหตุผล
.
เนโรพูดว่าเขาจะไปตามที่วีบอก พร้อมกับเอามือซ้ายไปจับไหล่ขวาแล้วโยกไปมา
"ชั้นต้องไปสะสางบัญชีกับไอ้ลูกหมานั่น"
.
เนโรคิดเกี่ยวกับศัตรูที่ดันเต้สู้ด้วย ปีศาจที่แม้แต่ดันเต้ยังปราบไม่ได้
แม้จะรู้ว่าตัวเนโรเองก็คงไม่มีโอกาสที่จะเอาชนะมันได้เหมือนกัน แต่เขาก็เดินหน้าไปยังเป้าหมายต่อไป
เขาไม่มีทางให้อภัยปีศาจที่มาชิงแขนขวาของเขาอย่างแน่นอน และเขาต้องการจะชิงเอาดาบยามาโตะคืนมาด้วยตัวของเขาเอง
.
เนโรเริ่มคิดว่าทำไมเขาถึงได้รับดาบยามาโตะมาครอบครอง
ในเมื่อภารกิจเดิมของดันเต้ คือชิงดาบยามาโตะกลับมา(ในภาค 4)
แต่หลังจากนั้นดันเต้กลับยกดาบยามาโตะให้เนโรง่ายๆ เหมือนให้ลูกกวาดกับเด็กน้อย
เนโรยังคงไม่เข้าใจเรื่องนี้ต่อไป
แต่ในข้อเท็จจริงแล้ว ดาบยามาโตะนั้นทรงพลังมาก หมายความได้ว่าดันเต้นั้นไว้วางใจเนโรจริงๆ
เนโรจึงรู้สึกผิดที่เสียดาบยามาโตะไป เพราะมันเหมือนกับการทรยศความเชื่อใจของดันเต้
.
ปีศาจหน้าตาเหมือนแมลงวัน รูปร่างเหมือนตั๊กแตนตำข้าว มาขวางทางเนโรเอาไว้
เนโร "รู้สึกมีแรงจูงใจขึ้นมาแล้วสิ ลุยกันเลย!!" ก่อนที่จะเร่งเครื่องดาบ Red Queen แล้วพุ่งเข้าใส่ฝูงปีศาจ
---------------------------------------------------------
V Chapter2 (maybe spoiler)
หลังจากวีแยกกับเนโรและล่วงหน้าไปก่อน เขาก็กำจัดปีศาจตลอดทาง เพื่อให้แน่ใจว่าเนโรจะไปถึงตัวอูไรเซ็นเร็วขึ้น
ต้นไม้ปีศาจ Qliphoth นั้นทำหน้าที่เหมือนหลุมที่เชื่อมต่อโลกปีศาจกับโลกมนุษย์เอาไว้
ปีศาจนับไม่ถ้วนต่างพากันแห่ออกมาและไล่ล่าเลือดมนุษย์
.
แม้จะเคลียร์อุปสรรคตามทางให้บ้างแล้ว เนโรก็ยังคงมาไม่ถึง
กริฟฟอน(นก) ก็บ่นว่าเนโรนั้นมาช้า ชาโดว์(เสือดำ) ก็ส่งเสียงหอนรับเบาๆจากบริเวณเท้าของวี
กริฟฟอนแปลภาษาให้-- "ไอ้เหมียวนี่ก็คิดอย่างนั้น"
.
วีเปลี่ยนรูปแบบของชาโดว์ให้เคลื่อนไหวได้เร็วขึ้น และออกไปตามหาเนโร
เขารู้ว่าชาโดว์จะช่วยเรื่องการเคลื่อนที่ได้ดีกว่าสมรถภาพปัจจุบันของตัวเขา
ในขณะเดียวกัน วีพูดแค่ว่าเหลือพลังอีกไม่มากในขณะที่เขาใกล้จะตาย
.
วีมาเจอเนโรกำลังต่อสู้กับปีศาจอยู่ เนโรก็ยืนยันว่าเขาไม่ต้องการให้ช่วย
แต่แล้วปีศาจกลุ่มใหญ่ก็โผล่ออกมาอีก กริฟฟอนเริ่มโจมตีใส่พวกมันทันที
กริฟฟอนพูดกับเนโร "ยังไม่เข้าใจอีกรึไง? ไอ้ฮีโร่ ขยับตูดไปได้แล้ว เดี๋ยวตรงนี้อั๊วจัดการเอง"
หลังจากนั้นกริฟฟอนก็ตะโกนสั่งวี ให้รีบมาปลิดชีพพวกปีศาจตัวที่ไม่เหลือพลังแล้ว
.
มีคำอธิบายว่าทำไมวีถึงต้องเป็นคนโจมตีปลิดชีพศัตรูในการโจมตีสุดท้าย
วีอธิบายเพิ่มว่าความสามารถของชาโดว์และกริฟฟอนนั้น เหมือนกับ 'จิตนภาพ' (คำแปลตรงๆก็ ความฝัน)
ในขณะที่พวกปีศาจสามารถเจ็บปวดได้ด้วยความฝันของพวกมัน แต่ก็ไม่สามารถใช้ฆ่าพวกมันได้
ในทางเดียวกัน เหล่าอสูรอัญเชิญของเขา สร้างความเจ็บปวดให้พวกปีศาจได้ แต่ไม่สามารถใช้ฆ่าได้
จึงเป็นหน้าที่ของวีที่ต้องทำการปลิดชีพปีศาจที่กำลังเป็นทุกข์จากความฝัน
วีปลิดชีพเหล่าปีศาจและเรียกพวกมันว่า 'ขยะ'
(เอาตามที่ผู้แปลเข้าใจ ลองเปรียบเทียบว่าการโจมตีของอสูรอัญเชิญ จะเป็นการโจมตีไปที่วิญญาณของพวกปีศาจ
พอวิญญาณลดลงจนไม่เหลือพลังใจที่จะสู้ ร่างกายพวกมันก็เคลื่อนไหวไม่ได้
และวีก็จะโจมตีทางกายภาพไปที่จุดตายทีเดียว สร้างความเสียหายทางกายเนื้อโดยตรง)
---------------------------------------------------------
Nico Chapter 3 (maybe spoiler)
คิริเอะเหม่อลอยหลังรู้ข่าวว่าเนโรหนีออกจากโรงพยาบาล
เธอถามนิโค่ด้วยน้ำเสียงสั่นเครือว่าควรจะทำยังไงกันดี
นิโค่ดึงเธอเข้ามากอด บอกว่าพวกเราทำอะไรไม่ได้ทั้งนั้น นอกจากรอ
แต่เนโรจะกลับมาในเร็วๆนี้แน่นอน
.
นิโค่สังเกตเห็นว่าปืน Blue Rose และดาบ Red Queen หายไปจากโรงรถ
เธอเชื่อว่าที่เนโรหายไป ก็น่าจะไปสู้กับคนที่ขโมยแขนขวาของเขาไป
.
นิโค่รู้สึกว่านี่ไม่ใช่เนโร คนที่จะทำให้คิริเอะกังวลใจขนาดนี้
แต่มันก็พอเข้าใจได้-- มันไม่มีทางที่จะอยู่เฉยๆ กับเรื่องที่เกิดขึ้นกับเนโรในสถานการณ์ปัจจุบันของเขา
นิโค่ได้แต่หวังว่าเนโรจะรู้ ว่าควรจะไล่ล่าใคร และจะตามหาพวกมันได้ที่ไหน
.
จูลิโอเข้ามาในโรงรถ นิโค่พยายามไล่เขาออกไป และบอกว่ายังไม่ถึงเวลาที่จะกิน
ถึงอย่างงั้น เขาก็บอกกับนิโค่ ว่าเขาเห็นเฮลิคอปเตอร์เมื่อคืนนี้
.
นิโค่เริ่มถามหาคำตอบเรื่องเฮลิคอปเตอร์จากจูลิโอทันที
เขาบอกว่าเห็นเฮลิคอปเตอร์ลงจอดที่นอกเมือง แล้วหลังจากนั้นมันก็ขึ้นบินหายไป
เป็นเรื่องที่ไม่ค่อยเกิดขึ้น ปกติจะไม่มีเฮลิคอปเตอร์ในเมืองฟอร์จูน่า
นิโค่คิดว่าการที่เฮลิคอปเตอร์โผล่มา และเนโรหายไป มันต้องเกี่ยวข้องกันแน่นอน
.
คิริเอะยังคงกังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้อยู่ และนิโค่ก็พยายามปลอบให้เธอสบายใจ
"เหมือนที่ฉันพูดแหละ เราทำอะไรไม่ได้ นอกจากรอ ไม่ต้องห่วง เนโรมันเป็นคนแข็งแกร่ง ไม่เป็นอะไรไปง่ายๆหรอก"
คิริเอะพยักหน้าอย่างเข้าใจ
.
นิโค่บอกว่าคิริเอะนั้นไปจากที่นี่ไม่ได้ เพราะเธอยังมีเหล่าเด็กกำพร้าที่ต้องดูแล
แต่เนโรก็บ้าบิ่น ที่ทิ้งคิริเอะไปโดยไม่มีเบาะแสอะไรเลย ที่จะระบุว่าตัวเนโรอยู่ที่ไหน
.
นิโค่บอกคิริเอะ ว่าเธอจะไม่กินอะไรซักพัก ในขณะเดียวกันก็ให้คิริเอะคอยกันพวกเด็กๆให้อยู่ห่างจากโรงรถ
คิริเอะถามว่าทำไม นิโค่ตอบว่าเธอจะทำการออกแบบอุปกรณ์ใหม่ทั้งคืน และต้องการมีสมาธิให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
.
นิโค่ต้องการสร้างแขนเทียมให้เนโร แต่เธอไม่ต้องการสร้างพวกแขนเทียมธรรมดาทั่วไป
เธอจะสร้างแขนที่เร้าใจและมีพลังที่จะช่วยในการต่อสู้ให้เนโร
นิโค่สามารถใช้ผลงานวิจัยของแอกนัส ที่จะสร้างสิ่งที่ทรงพลัง ที่จะบรรจุปีศาจใส่ในแขนที่ประดิษฐ์ขึ้นมา
.
ระหว่างที่สูบบุหรี่อยู่ข้างนอก นิโค่พ่นควันลอยไปบนอากาศ และหวังว่าเนโรนั้นจะกลับมาอย่างปลอดภัย
---------------------------------------------------------
Nero Chapter 5 (maybe spoiler)
ระหว่างที่ต่อสู้กับอูไรเซ็น เมื่อดันเต้ปลิวกระเด็นไปข้างหลัง เนโรก็มาถึง
เนโรตะโกนเรียกดันเต้ แต่ดันเต้ก็นอนปวกเปียกอยู่
เนโรยังเห็นทริชและเลดี้ที่นอนน็อคไม่ได้สติเช่นกัน
.
กิ่งก้านจากต้นไม้ปีศาจเลื้อยมาถึงดันเต้ เนโรรีบยิงปืน Blue Rose สกัดทันที ทำให้มันพับและหลบไป
เนโรยิ้มที่ได้ช่วยดันเต้ไว้ เหมือนที่ดันเต้เป็นผู้ช่วยชีวิตเขา
เพราะดันเต้ ชาวเมืองฟอร์จูน่าและคิริเอะจึงปลอดภัย
เนโรต้องการที่จะตอบแทนการช่วยเหลือของดันเต้ และแน่นอนว่าเขาจะปกป้องดันเต้ในการต่อสู้นี้
.
เนโรพูดใส่อูไรเซ็น "เฮ้ย ไอ้กร๊วก แม่แกไม่เคยบอกหรือไง ว่าขโมยของคนอื่นมันไม่ดี"
อูไรเซ็นไม่ตอบสนองอะไร เนโรคว้าดาบ Red Queen ออกมาแล้ว ระหว่างที่เร่งเครื่องก็พูดอีก
"โทษทีนะดันเต้ ฉันจะสอยไอ้หมอนี่เอง"
.
เนโรเหวี่ยงตัวเข้าโจมตีไปพร้อมกับดาบ Red Queen แต่วัตถุประหลาดก็ป้องกันการโจมตีของเขาก่อนจะถึงเป้าหมาย
เขาพยายามทำลายการป้องกันนี้ ด้วยการเร่งเครื่องของดาบ Red Queen ให้แรงขึ้นไปอีก
ระหว่างนั้น กิ่งต้นไม้ก็มาโจมตีใส่เขา เขาไม่สามารถยิง Blue Rose สกัดได้อีกเพราะมีแขนเพียงข้างเดียว
และกิ่งต้นไม้ปีศาจก็ดีดเขากระเด็นออกมา หลังจากนั้นพื้นก็สั่นไหวเหมือนลางสังหรณ์ไม่ดี
.
เนโรได้ยินเสียงกริฟฟอนตะโกนมาจากทางด้านหลังของเขา
"แบบนี้ไม่ดีแล้ว นี่มันถึงจุดจบแล้ว" วีและกริฟฟอนกำลังใกล้เข้ามาจากทางด้านหลังเนโร
.
เนโรตั้งทฤษฎีว่า หากเขายังโจมตีใส่วัตถุประหลาดไปเรื่อยๆ เขาจะทำลายมันลงได้
ยังไงก็ตาม เนโรรู้ตัวว่าตอนนี้เขาไม่มีพละกำลังพอที่จะทำตามทฤษฎีที่คิดไว้ได้ ในขณะที่เขาทำได้แค่เพียงหอบหายใจ
.
อูไรเซ็นตั้งท่ายกมือขึ้น เนโรเชื่อว่ามันกำลังจะโจมตีปิดฉากครั้งสุดท้าย แต่เขาไม่เหลือแรงที่จะเคลื่อนไหวแล้ว
ทันใดนั้นก็มีกระสุนปืนมาหยุดมือนั้นไว้
.
เป็นดันเต้นั่นเอง ระหว่างที่เล็งปืนไปที่อูไรเซ็นก็พูดว่า "ยกที่สอง"
ดันเต้แปลงเข้าสู่ร่างปีศาจ และพุ่งเข้าไปโจมตีอูไรเซ็น แต่ก็ถูกอูไรเซ็นหยุดเอาไว้อย่างง่ายๆ
หลังจากนั้นพื้นก็เริ่มสั่นไหวอีกครั้ง
.
ดันเต้บอกวีให้พาเนโรหนีไปซะ เนโรตะโกนตอบกลับทันที "คุณจะทำกับผมแบบนี้ไม่ได้ ผมยังสู้ไหว"
เนโรพูดแบบนั้นเพราะเขายังไม่ได้รับบาดแผลจนบาดเจ็บ
ดันเต้หันหัวมาทางเนโรและตะโกนใส่ "ไปซะเนโร แกมันตัวถ่วง"
.
เนโรหยุดนิ่งด้วยความตกใจ เขาไม่เคยนึกมาก่อนว่าดันเต้จะใช้คำพูดอะไรแบบนี้กับเขา
เขามาที่นี่เพื่อช่วยดันเต้ในตอนที่ยังมีโอกาส ในขณะที่ดันเต้ไม่สามารถทำอะไรด้วยตัวเองได้ด้วยซ้ำ
รู้แบบนั้นแล้ว เขาก็ยังไม่อยากจะไป วีจับไหล่เนโรและบอกว่าเขาต้องออกไปแล้ว
แต่เนโรสะบัดไหล่ออก และพยายามที่่จะรีบวิ่งไปที่อูไรเซ็น
.
หลังจากนั้นซากปรักหักพังก็ร่วงหล่นมาจากเพดาน และพื้นรอบๆก็เริ่มสั่นไหวไม่หยุด
เนโรสะดุดล้มไปด้านหลัง และซากเพดานก็หล่นถึงพื้น ปิดทางไม่ให้ไปถึงอูไรเซ็น
.
เนโรพยายามปีนข้ามซากปรักหักพังเพื่อไปให้ถึงดันเต้ แต่วีดึงเขากลับไป
วีบอกว่าเนโรต้องหนีไป เพราะพลังของปีศาจตนนี้มันมากจนเกินจินตนาการ
ในที่สุด เนโรหยุดพยายามผลักวีกลับไป แต่เขาก็ตะโกนกลับไปหาดันเต้
"คุณบอกว่าผมเป็นตัวถ่วงอย่างงั้นหรอ? อย่ามาไร้สาระนะโว้ย!!"
เนโรตระหนักว่าเขาพยายามที่จะมาช่วยดันเต้
แต่เขาก็ไม่เคยคาดคิดว่าจะถูกปฏิบัติใส่เหมือนกับว่าเขาเป็นเศษขยะไร้ค่าแบบนี้
.
วีพูดกับเนโร ว่าถ้าเนโรรู้สึกผิดหวัง งั้นเนโรต้องคิดหาวิธีทางที่จะแข็งแกร่งขึ้น
ถ้าดันเต้แพ้ ก็เหลือแต่เนโรเท่านั้นที่จะปราบอูไรเซ็นได้
เนโรถามว่า นั่นคือชื่อของปีศาจตนนั้นใช่มั้ย วีพยักหน้าตอบ
วีย้ำว่าอูไรเซ็นนั่นแหละ คือปีศาจที่ขโมยแขนของเนโร
เนโรพยายามที่มองไปยังอูไรเซ็น แต่ข้างหน้ามีแต่ซากปรักหักพังบดบังสายตาจนมองไม่เห็น
.
วีบอกเนโรให้รีบและหนีกันไปซะที และเนโรก็ยอมทำตาม
---------------------------------------------------------
Morrison Chapter 3 (maybe spoiler)
ในพื้นที่ภายนอกต้นไม้ปีศาจ มีคนชี้ไปที่จุดนึงของต้นไม้และพูด "เฮ้ย นั่นอะไรอ่ะ?"
ส่วนนั้นของต้นไม้เริ่มบิดเบี้ยว หลังจากนั้นเนโรแและวีก็พุ่งทะลุออกมา พวกเขาทั้งคู่ตรงเข้าไปหามอริสันทันที
.
มอริสันถามว่าเกิดอะไรขึ้นข้างในนั้น แล้วเกิดอะไรขึ้นกับดันเต้
วีตอบเขา ว่าดันเต้ถ่วงเวลาให้พวกเขาหนีออกมา และพวกเขาก็ไม่มีเวลาเหลือมากนัก
ในตอนนี้พวกกิ่งก้านและรากต้นไม้ปีศาจมุดทะลุผ่านพื้นถนน
กิ่งพวกนั้นเริ่มพุ่งเข้าใส่และแทงทะลุผู้คน ทำให้เหล่าคนที่โดนแทงเกิดโรคฮิสทีเรีย
.
มอริสัน "ไม่มีทาง... ดันเต้แพ้งั้นรึ?"
เนโรไปโจมตีพวกรากและกิ่งไม้ปีศาจ แต่วีห้ามเขาไว้ และบอกให้เขาล่าถอยไปก่อน
.
มอริสันถามวี ว่ามีแผนอีกมั้ย วีบอกว่าตอนนี้ไม่มีแผนอะไรทั้งนั้น
รู้อยู่สิ่งเดียวที่พวกเขาต้องการคือ-- พลัง
มอริสันยังคงถามว่ามันจะง่ายขนาดนั้นเลยหรือ วีตอบว่าพวกเขาไม่มีทางเลือก
วีบอกว่าพวกเขามีเวลาเหลือประมาณหนึ่งเดือน แต่หลังจากนั้นโลกจะถึงจุดจบ
.
มอริสันถอนหายใจ บอกว่าพวกเขาเคยเจอคำนายถึงวันสิ้นโลกมาแล้ว แต่ดันเต้ก็จัดการทำลายมันให้เสมอ
มอริสันถามด้วยเสียงที่สั่นเครือ "นี่ดันเต้จะแพ้จริงๆเหรอ?"
วีตอบสั้นๆ "ก็อาจจะ..."
.
มอริสัน "บ้าไปแล้ว..."
มอริสันรู้สึกว่า ในขณะที่อยู่ตรงนี้ เขานั้นช่างไร้ประโยชน์ ที่ไม่สามารถรวบรวมคนที่จะออกไปช่วยแก้สถานการณ์ได้เลย
วี "อย่ายอมแพ้.. พวกมนุษย์จะไม่ยอมแพ้ นั่นคือข้อดีที่สุดของพวกเขา"
.
เนโรที่เงียบมาตลอดจนถึงตอนนี้ ถามขึ้นมาว่า พวกเขาเหลือเวลาอีกเพียงหนึ่งเดือนจริงๆ ก่อนโลกจะล่มสลายจริงใช่มั้ย
วีบอกกับเนโร ให้เขานั้นรวบรวมพลังให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ในตอนนี้เนโรคือความหวังเดียวที่มี
นอกเหนือจากดันเต้ ที่จะเป็นคนปราบอูไรเซ็น
.
เนโรถามมอริสัน ว่าส่งเขากลับเมืองฟอร์จูน่าได้ไหม แล้วเขาจะกลับมาอีกในหนึ่งเดือน
มอริสันนั้นยอมรับในความดื้อรั้นของเนโร และคิดว่ามันน่าจะเป็นไปได้
เพราะเนโรยังเด็ก และพลังที่กล้าแกร่งสามารถเกิดจากเด็กรุ่นใหม่
.
หลายปีก่อนหน้านี้ ดันเต้เล่าให้มอริสันฟัง ว่ามีเด็กหนุ่มที่น่าสนใจอยู่ในเมืองฟอร์จูน่า
และเด็กคนนั้นมีพลังปีศาจที่คล้ายคลึงกับดันเต้ และดันเต้ชอบจรรยาบรรณของไอ้เด็กคนนี้
ดันเต้ขอให้มอริสันสั่งทำป้ายไฟนีออนร้าน Devil May Cry และส่งไปให้เด็กคนนี้
.
วีบอกกับพวกเขา ว่าตัวเขาเองจะอยู่ในเมือง Red Grave ต่อไป
ตัวเขานั้นไม่สามารถเพิ่มพลังได้ แต่จะอยู่ที่นี่เพื่อรวบรวมข้อมูล
เนโรบอกว่า เขาจะกลับมาในอีกหนึ่งเดือน วีพยักหน้าและเดินจากไป
---------------------------------------------------------
Nico Chapter 4 (maybe spoiler)
เมื่อเนโรกลับมาถึงเมืองฟอร์จูน่า เขาถามนิโค่ว่าสามารถสร้างแขนเทียมให้เขาได้ไหม
แต่นิโค่เดินเกมล่วงหน้าเนโรไปหนึ่งสเตปแล้ว หลังจากนั้นก็ถกเถียงเกี่ยวกับไอเดียที่จะใช้พร้อมกับเนโร
นิโค่มีไอเดียแรกเริ่มที่จะปรับปรุงอวัยวะเทียมและใช้เวลาสร้าง 6 เดือน
เนโรบอกกับเธอว่าเขาอยากได้แขนใหม่ที่ทรงพลังภายในหนึ่งเดือน
เธอก็บอกว่าตั้งกรอบเวลาไปก็เท่านั้นสินะ
.
เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา เนโรบอกให้เธอเริ่มสร้างมันตอนนี้เลยได้ไหม
แล้วก็โดนนิโค่ตะคอกใส่-- มันไม่ได้ง่ายเหมือนสร้างแขนพลาสติกกลวงๆซะหน่อย
.
เนโรอาสาที่จะไปขอให้มอริสันช่วยเธอ แต่นิโค่ปฏิเสธ
นิโค่ก็เสียใจที่ไม่สามารถไปพบมอริสันได้ในตอนนี้ แต่เธอเชื่อว่าเขาต้องมีเรื่องเล่าดีๆเกี่ยวกับดันเต้ให้เธอฟังแน่ๆ
.
พูดได้ว่างานของนิโค่ในโรงรถยุ่งขึ้นกว่าเดิม ตั้งแต่เนโรกลับมา
.
ผ่านไปสองวัน เนโรมาถามว่างานเดินหน้าไปถึงไหนแล้ว เธอบอกเขาว่ามีไอเดียลอยอยู่เต็มไปหมด
เนโรก็พูดใส่เธอ "นี่เธอทำงานโต้รุ่งมาสองคืน แต่ไม่มีอะไรจะให้ดูเลยเนี่ยนะ?"
นั่นเริ่มทำให้นิโค่ฉุนขึ้นมา "ไอ้มือสมัครเล่น ส่วนที่สำคัญที่สุดในขั้นตอนนี้คือการวางแผน
แกอยากให้มันออกมาแล้วได้แค่ตะขอมือของโจรสลัดหรือไง"
เนโรได้แต่มองและขอโทษเธอ
เขายอมรับว่ารู้สึกกระวนกระวาย เพราะพวกเขาเหลือเวลาอีกไม่มาก
.
นิโค่บอกว่าเธอเองก็เริ่มกระวนกระวายเหมือนกัน เพราะเธอเองก็อยากจะไปช่วยดันเต้
อยากจะไปดูปืน Ebony และ Ivory และฟังเรื่องเล่าเกี่ยวกับคุณยายของเธอ
เธอพูดว่าจะทำแขนห่วยๆไว้ให้เนโรใช้กินพาสต้าแล้วกัน
.
เนโรกล่าวขอโทษเธอ และบอกว่าเขาจะรอแล้วกัน
นิโค่ได้แต่คิดว่าทำไมสมองของเธอถึงไม่ปิ๊งไอเดียเจ๋งๆ ในเมื่อชะตากรรมของทั้งโลกขึ้นอยู่ที่เธอแล้ว
.
จูลิโอวิ่งเข้ามาหาพวกเขา บอกว่ามีปีศาจปรากฎตัวในป่า Mitis
เนโรถามว่ามันไปทำร้ายช้าวบ้านหรือเปล่า จูลิโอบอกว่าน่าจะไม่ เพราะชาวบ้านพากันซ่อนตัวกันอยู่ในบ้าน
เนโรลูบหัวจูลิโอ และบอกว่าทำดีมากที่มาบอกเรื่องนี้กับเขา
.
ในขณะที่เนโรจะออกไปข้างนอก เขาถามนิโค่ว่าจะไปด้วยกันไหม
ตั้งแต่เธอมาที่เมืองฟอร์จูน่าก็ยังไม่ค่อยเห็นปีศาจมากนัก
เธอมัวแต่ยุ่งกับการอ่านวิจัยทั้งหมดของพ่อเธอจนไม่ได้ไปปราบปีศาจกับเนโร
แต่ในตอนนี้เธอคิดว่าน่าจะมีประโยชน์ถ้าได้เห็นการต่อสู้ระหว่างเนโรและปีศาจ
.
เนโรเริ่มให้คำแนะนำเธอเป็นชุด เพื่อให้แน่ใจว่าเธอจะปลอดภัย (เช่น อย่าเข้าไปใกล้ปีศาจ)
นิโค่บอกว่าเธอไม่ได้เป็นที่สนใจของพวกปีศาจหรอก เพราะงั้นเนโรไม่ต้องเป็นห่วง
---------------------------------------------------------
Nero Chapter 6 (maybe spoiler)
เนโรเข้ามาในป่า Mitis แต่เขาเห็นว่ามันไม่มีอะไรเลย บางทีชาวบ้านอาจจะเห็นหมีก็ได้
นิโค่พูดว่า ชาวบ้านเมืองฟอร์จูน่าคงจะสับสน ระหว่างหมีกับปีศาจ
.
เนโรตอบกลับไปว่าป่า Mitis เคยถูกใช้เป็นสนามฝึกหลักของภาคี
ชาวบ้านจะไม่ค่อยเข้ามานอกจากจะมาเก็บไม้เก็บฟืน
.
เนโรเริ่มคิดหนัก ถ้าปีศาจอยู่ที่นี่ เป็นไปได้ว่าพวกมันอาจจะซ่อนตัวอยู่ที่ท้ายป่า
นิโค่เริ่มเหนื่อยล้า เพราะเพิ่งทำงานติดต่อกันมาสองคืน
แทนที่จะทิ้งเธอไว้ข้างหลัง หรือจะบอกให้เธอกลับบ้านไปคนเดียวก่อน เนโรเลยจูงมือเธอแล้วเดินฝ่าเข้าไปในป่า
.
ทันทีที่ตัวเนโรถูกปกคลุมด้วยเงา เขารู้ทันทีว่าโดนลอบโจมตีจากทางด้านบน
เนโรถีบนิโค่ออกไปให้พ้นจากขอบเขตการต่อสู้ทันที ก่อนจะเริ่มสู้กับปีศาจ เจ้าบลิซท์ (Blitz ตัวสายฟ้าในภาค 4)
.
ระหว่างต่อสู้ เนโรเหลือบมองไปที่นิโค่อย่างรวดเร็ว ในขณะที่เธอยืนนิ่งเป็นหินและยังมีชีวิตอยู่
เนโรก็รู้ทันที ว่าเธอรู้จากบันทึกวิจัยของแอกนัสว่าบลิซท์นั้นมองไม่เห็น
เธอพยายามที่จะไม่ส่งเสียง เพื่อไม่ให้มันรู้ตัวว่าเธออยู่ตรงนั้น
.
เนโรพยายามก่อนกวนบลิซท์ให้มากพอที่นิโค่จะมีโอกาสหนี และทำได้อย่างสมบูรณ์แบบจนนิโค่หนีไปได้
ยังไงก็ตาม หลังหนีจากออกมาได้แล้ว นิโค่รีบเขียนอะไรสักอย่างลงแผ่นบันทึก และโชว์ให้เนโรเห็น
"ฉันได้แล้ว คิดออกแล้ว ฉันได้ไอเดียแล้ว ฉันมันอัจฉริยะ!!!"
เนโรตะโกนใส่เธอ "นี่เธอจริงจังใช่มั้ย?!!!"
.
เมื่อนิโค่ไม่ใช้โอกาสในการหนีออกไปไกลกว่านี้
เนโรจึงไม่มีทางเลือกนอกจากเริ่มใช้ดาบ Red Queen โจมตีและบิดเร่งเครื่อง สร้างเสียงรบกวนให้มากขึ้น
เนโรใช้ดาบ Red Queen โจมตีบลิซท์ และโดนไฟฟ้าของมันกระชากผ่านร่างกายของเขา
เนโรร้องด้วยความเจ็บปวด แต่ก็ยังคงกัดฟันโจมตีต่อไปจนฆ่าบลิซท์ลงได้
.
ในขณะที่หยิบซากของบลิซท์ขึ้นมา เนโรถามว่านิโค่มีแผนจะใช้ชิ้นส่วนจากมันสร้างแขนใช่มั้ย
นิโค่บอกว่าชิ้นส่วนของบลิซท์นั้นไม่ใช่ส่วนประกอบของแขน เธอแค่ได้ไอเดียจากมัน
และเธอจะวิจัยเกี่ยวกับมันแทน ว่ามันผลิตกระแสไฟฟ้าได้ยังไง แล้วจะใช้มันค้นหาวิธีการสร้างแขน
.
เนโรบอกว่าคงจะเป็นไอเดียที่ดี ถ้าพาเธอไปด้วยในการล่าปีศาจในครั้งต่อๆไป
แบบนั้นเธออาจจะได้แรงบัลดาลใจและไอเดียเพิ่มขึ้น
เธอดึงบุหรี่ออกมาและตอบ "รับทราบ"
---------------------------------------------------------
Epilogue Chapter
เนโรกำลังเตรียมตัวกลับไปยังเมือง Red Grave คิริเอะบอกกับเขา ว่าเธอจะอยู่ภายในบ้านคอยดูแลพวกเด็กๆ
เนโรบอกกับเธอว่ามอริสันจะส่งคนมาช่วยปกป้องเมืองฟอร์จูน่า
.
นิโค่บีบแตรรถ และเรียกให้เนโรรีบไปกันได้แล้ว
เนโร "รู้แล้วน่า เงียบๆไปเลย"
.
นิโค่ลงมาจากรถตู้ และบอกกับคิริเอะว่าไม่ต้องเป็นห่วง
ตออนี้เขามีอาวุธจากผลงานของนักประดิษฐ์ขั้นเซียนแล้ว เนโรไม่มีทางตายหรอก
หลังจากพูดคุยล้อเล่นกันแล้ว พวกเขาตัดสินใจว่าการเคลื่อนไหวขั้นต่อไปที่ดีที่สุด คือเนโรไปพบกับวีตามที่สัญญาไว้
.
เนโรกับนิโค่ เดินทางออกไปด้วยรถตู้ร้าน DMC
เนโรตะเพิดใส่นิโค่ ว่าเธอขับรถไม่นิ่มนวลเอาซะเลย นิโค่บอกว่าเธอกำลังกำราบไอ้รถคันนี้อยู่
.
นิโค่มองไปที่แขนของเนโรที่เธอประดิษฐ์มันขึ้นมาเอง และเข็มขัดพร้อมซองสำหรับใส่แขนอะไหล่
เธอรู้ว่าจำเป็นต้องเตรียมเข็มขัดและซองไว้ใส่แขนสำรองเอาไว้
เพราะแขนที่เธอสร้างนั้นทรงพลังก็จริง ก็มันก็พังง่ายมาก
และเธอเชื่อว่ามันเป็นเพราะพลังที่มีเยอะเกินขนาดของแขนเทียมนี้
.
นิโค่เอ่ยปากถามว่าเนโรชอบ "Devil Breaker" นี่ไหม
เนโรก็ถามกลับว่า "Devil Breaker" อะไร?
นิโค่บอกว่ามันคือชื่อที่เธอตั้งให้เจ้าแขนนี่ เหตุผลเพราะมันทรงพลังมากที่จะใช้ทำลายร่างของปีศาจให้ย่อยยับ
เนโร "ไม่ใช่เพราะว่ามันพังง่ายงั้นเรอะ?"
.
นิโค่หน้ามุ่ย และพูดย้ำอีกว่าก็เพราะมันมีพลังมาก ในภาชนะที่เล็กแล้วก็เปราะ
ในทางเดียวกันก็สามารถพกพาแขนพวกนี้ไปได้หลายอันเพื่อชดเชยในข้อด้อยนี้
.
เนโรยอมเงียบ ไม่เถียงกับนิโค่อีก
แต่ก็พูดต่ออีก "เอาเถอะ ยังไงๆเธอก็ทำดีที่สุดแล้ว ฉันก็ไม่คิดว่าเธอจะออกแบบแขนได้ถึงสองโมเดลในเวลาที่จำกัดขนาดนี้"
.
นิโค่สร้างแขน Overture เสร็จในไม่กี่วัน หลังจากเห็นเนโรสู้กับบลิซท์
ระหว่างเธอดูการต่อสู้ของเนโรกับปีศาจ เธอก็ได้ไอเดียที่จะสร้างแขน Gerbera หลังจากมองดอกเยอบีร่าในบริเวณนั้น
เนโรเองก็ไม่มั่นใจนัก แต่เขาคิดว่านิโค่อาจจะชอบดอกไม้ก็ได้
.
นิโค่บอกว่าเธอยังมีไอเดียสำหรับ Devil Breakers เหลืออีก
แต่เธอไม่สามารถสร้างมันได้ในตอนนี้ เนื่องด้วยเวลาและทรัพยากร
เนโรบอกว่า งั้นเขาจะหาวัตถุดิบอย่างว่ามาให้นิโค่ก็แล้วกัน
นิโค่บอกว่าถ้าเนโรเอาซากของปีศาจ หรือเศษชิ้นส่วนของพวกมันกลับมาให้เธอ
เธอก็สามารถสร้างแขน Devil Breakers รูปแบบใหม่ๆให้เขาได้
.
เนโรนึกขึ้นได้ ว่าเขาไม่เคยนึกฝันมาก่อน ว่าเขากับนิโค่จะกลายเป็นเพื่อนร่วมงานกันได้
เพราะเธอคือลูกสาวของศัตรูในอดีต เขาสงสัยว่าดันเต้คงจะคิดแบบเดียวกับเขามั้ย
.
เนโรไม่ได้ข่าวเกี่ยวกับดันเต้มาร่วมเดือนแล้ว เขาได้แต่พูดพึมพำ "รอผมก่อนนะ.. ดันเต้"
.
สำหรับเนโร ศึกภายภาคหน้า จะไม่เพียงแค่การช่วยดันเต้ จะไม่ใช่แค่ช่วยโลกใบนี้
แต่สำหรับเขา มันคือศึกแห่งศักดิ์ศรี--
--to be continued in Devil May Cry 5--
---------------------------------------------------------
ปล. ออกตัวก่อนเลยว่าที่แปลบางช่วงอาจจะดูงงๆ เพราะเพิ่งจะรู้ว่าแปลข้อความจากอังกฤษเป็นไทยแล้วมันยังใช้ไม่ได้
ต้องแปลไทยเป็นไทยให้อ่านแล้วเข้าใจอีก
ถ้าแปลตรงไหนผิดพลาดไปขออภัยไว้ตรงนี้ก่อนเลย
อัพเดต ทำการเรียงลำดับของเนื้อหา ตามลำดับการแปล(ซึ่งจะอิงตามต้นฉบับของนิยาย)
อัพเดต 7/3/2562 แปลทุกบทจนถึง Epilogue Chapter เรียบร้อย
ลอง ๆ แปลเนื้อหาฉบับนิยาย Devil May Cry 5 -Before the Nightmare-
เครดิตการแปลฉบับภาษาอังกฤษ @DMC5Info [Link]
หากใครต้องการอ่านฉบับภาษาอังกฤษที่ทาง @DMC5Info ได้แปลไว้ สามารถอ่านผ่าน doc.google ได้ที่ [Link]
หมายเหตุ
ทางผู้แปลภาษาอังกฤษได้บอกไว้ว่า เนื้อหาในนิยายช่วงต้นนั้น ปลอดภัย ไม่มีสปอยล์
แต่ ตั้งแต่ Nico Chapter 2 จะเป็นการเล่าขยายความของเนื้อหาช่วงต้นเกม
(ตรงส่วนนี้ จากที่ผมแปล เข้าใจว่ามันจะเป็นการเล่าขยายความที่ส่วนใหญ่เราจะเห็นกันจากเทรลเลอร์เกมทุกตัวที่ผ่านมา)
ดังนั้นจึงขออภัยอย่างสูงที่ผมไม่อ่านจากทางต้นฉบับให้ดี และจะทำการแก้ไขตรงหัวข้อแต่ละ chapter เอาไว้
---------------------------------------------------------
Nero Chapter 1
เรื่องเริ่มตรงที่เนโร กำลังทำงานอยู่ในโรงรถของเขา
เนโรกำลังทำการปรับแต่งดาบ Red Queen ของเขาให้มีประสิทธิภาพดีขึ้น
ระหว่างทำก็พูดคุยกับดาบไปเรื่อย เหมือนหมอที่ถามอาการคนไข้
.
ระหว่างเนโรเก็บกวาดข้าวของในโรงรถ จูลิโอ เด็กกำพร้าที่เขาและคิริเอะรับมาดูแล
ก็เข้ามาบอกว่า "พี่เนโร มีผู้หญิงแปลกๆอยู่ข้างนอกแน่ะ"
เนโรก็ถามกลับ "แปลกยังไง? หล่อนมีสามตา แล้วไม่มีจมูกหรือไง"
จูลิโอตอบกลับ "ท่าทางของเธอต่างหากที่แปลก แล้วอีกอย่างเหมือนเธอจะมาตามหาพี่เนโร"
.
ตั้งแต่เหตุการณ์ลัทธิภาคีแห่งดาบ (ภาค 4) เนโรก็ระมัดระวังพวกคนแปลกหน้า
ที่เป็นทั้งผู้สื่อข่าว หรือนักเขียนนิยาย ที่มาในเมืองเพื่อสอบถามถึงรายละเอียดที่เกิดขึ้น
แต่เขาก็บอกความจริงทั้งหมดไม่ได้
.
จูลิโอบอกว่า ผู้หญิงคนนั้นผิวคล้ำและใส่แว่น น่าจะเป็นกลอเลีย (เจ๊ผิวคล้ำ ผมสีขาวในภาค4)
เนโรถามกลับว่าผมเธอสีขาวหรือเปล่า จูลิโอบอกว่าไม่ใช่ แต่เป็นสีดำและหยิกมาก
พอได้ยินแบบนั้น นิโค่ก็ตะโกนเข้ามา "ใครผมดำและหยิกห๊ะ ไอ้เด็กเหลือขอ"
หลังจากนั้นนิโค่ก็เดินมาอยู่ตรงหน้าทางเข้าโรงรถ จูลิโอเลยชี้นิ้วไปที่เธอ
"ชี้นิ้วใส่กันแบบนี้มันหยาบคายนะไอ้หนู"
.
จูลิโอคงจะมารายงานตามปกติ แต่เนโรก็บอกให้เขากลับเข้าไปในบ้านกับคิริเอะด้วยสีหน้าจริงจัง
.
เนโรเริ่มต้นถามว่า "เธอมาทำอะไรที่นี่" พร้อมกับเอาแขนขวาของเขาหลบให้พ้นสายตาของนิโค่
แขนขวาที่มอบพลังปีศาจให้กับเขา และเขาก็ใช้มันปกป้องผู้คนที่เขารัก
แม้ระหว่างที่เขาใช้ มันจะทำให้เขาดูน่าเกลียดน่ากลัวก็ตาม แต่ตอนนี้เข้าก็ยินดีกับพลังนี้
.
เนโรสามารถใช้แขนขวาเพื่อสัมผัสได้ว่าใครเป็นมนุษย์หรือปีศาจ
ถ้าแขนของเขามีปฏิกริยา นั่นคือปีศาจ แต่ถ้าไม่ เธอก็เป็นมนุษย์ธรรมดา
หรือไม่ก็เป็นปีศาจที่ไม่มีพลังสูงพอที่จะเป็นอันตราย
.
นิโค่ถามว่า "นายคือเนโรใช่มั้ย?" ก่อนที่เนโรจะสั่งให้เธอหยุดสูบบุหรี่ถ้าจะถามกันมากกว่านี้
เพราะเขาไม่อยากให้ใครมาสูบบุหรี่ในโรงรถที่เต็มไปด้วยวัตถุไวไฟแบบนี้
.
นิโค่ก็ยังคงพูดคุยตามปกติ "นายต้องอบรมเด็กนั่นหน่อยนะ"
เนโรเริ่มหงุดหงิดกับท่าทางและคำพูดของนิโค่ และสั่งให้เธอหยุดสูบบุหรี่หรือไม่ก็ออกไปจากที่นี่ซะ
นิโค่ทิ้งบุหรี่ในมือลงพื้น ก่อนจะใช้รองเท้าเหยียบจนไฟดับ
"แบบนี้โอเคแล้วใช่มั้ย พ่อหนุ่มไม่สูบบุหรี่"
เนโรคิดว่าผู้หญิงคนนี้ไม่มีอะไรที่สมกับเป็นผู้หญิงสักนิดเดียว
.
เนโรมองและประมาณอายุระหว่างเขาและนิโค่ น่าจะอายุเท่ากัน หรือไม่ก็เธออายุน้อยกว่า
แต่เธอกลับแสดงและใช้คำพูดเหมือนเธออายุมากกว่าเขา
.
พอนิโค่เข้ามาในโรงรถ เธอก็ยกแขนทั้งสองข้างชูค้างไว้ ก่อนจะพูดแซว
"นี่นายจะทำร้ายผู้หญิงอ่อนแอแบบฉันหรือไง?"
พอเธอเข้ามาใกล้เนโร เธอก็มองเห็นแขนขวาของเนโรชัดเจนขึ้น
เนโรกังวลว่าอาจจะเกิดอะไรขึ้นถ้านิโค่เห็นแขนขวาของเขา
แต่หลังจากนั้น นิโค่นั่งลงที่กล่องตรงมุมห้องและพูดว่า
"มันคงจะมีอะไรซับซ้อนกับแขนนั่นสินะ ไม่ต้องห่วงหรอก ยังไงมันก็เป็นส่วนหนึ่งของนายนี่นะ"
หลังจากนั้นเธอก็แนะนำตัวว่าชื่อ นิโคเลตต้า โกลด์สตีน และเธอมีเรื่องที่จะถามเนโร
.
นิโค่กำลังตามหาบันทึกการวิจัยที่หายไป บันทึกการทดลองปีศาจ ของภาคีแห่งดาบ
เธอบอกว่าไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากจะมาถามกับสมาชิกภาคีที่รอดชีวิตมาได้ เพื่อให้เขาช่วยกันตามหาบันทึก
ระหว่างคุยกับนิโค่ เนโรสังเกตุเห็นว่าไม่มีความมุ่งร้ายจากสายตาของนิโค่ แต่เหมือนเด็กที่อยากรู้อยากเห็นมากกว่า
.
เนโรถามกลับ ว่านิโค่รู้ได้ยังไงว่าภาคีทำการวิจัยเกี่ยวกับปีศาจ เพราะมันไม่ใช่ข้อมูลที่เปิดเผยกับสาธารณะ
เธอตอบว่า เธอทำการรวบรวมข้อมูลจากผู้คนในวงการนี้ จากนักล่าปีศาจไปจนถึงนักสูบบุหรี่
และหญิงชราที่รักในการพูดคุยเรื่องซุบซิบนินทา
.
พอนิโค่โชว์ว่าเธอมีความรู้เกี่ยวกับปีศาจ และนักล่าปีศาจ
เนโรก็นึกขึ้นได้ว่านี่เป็นครั้งแรกที่เจอคนธรรมดาที่รู้จริงๆเกี่ยวกับปีศาจมาค้นหาเขาจนเจอ
เพราะแบบนั้น เขาจึงปฏิเสธที่จะช่วยเธอตามหาบันทึกการวิจัยของภาคี
.
หลังจากถูกเนโรปฏิเสธไป นิโค่ยังไม่กลับไปในทันที แต่เธอกลับถามอีกว่า แอกนัสเป็นยังไงบ้าง(นักวิทยาศาสตร์เพี้ยนในภาค 4)
คำถามนี้ทำเนโรช็อคไป ก่อนจะตอบว่า แอกนัสถูกฆ่าตายไปแล้ว
หลังจากนิโค่นิ่งเงียบไป เธอก็บอกว่าได้ยินข่าวลือนี้มาบ้างเหมือนกัน
เนโรถามว่านิโค่รู้จักไอ้เวรนั่นได้ยังไง
เธอตอบว่า เขาคือพ่อแท้ๆทางสายเลือดของเธอ
.
เนโรนั้นไม่เชื่อและถามนิโค่ไม่หยุด แต่เธอก็ตอบง่ายๆกลับมา
"ใช่แหละ อะไรจะโชคร้ายแบบนี้"
.
ระหว่างถามกันว่า "เธอเป็นลูกไอ้เบื๊อกนั่นจริงๆหรอ?"
นิโค่สังเกตุเห็นดาบ Red Queen และจะเข้าไปหยิบจับทันที
เนโรด่าและห้ามไม่ให้เธอแตะต้องอุปกรณ์ใดๆของเขาก่อนได้รับอนุญาต
.
นิโค่เริ่มตรวจดาบ Red Queen และตื่นเต้นมากจนเริ่มพูดติดอ่าง
เนโรพยามยามที่จะคว้าแย่งดาบมาจากเธอ แต่ก็หยุดเมื่อนิโค่บอกถึงอาการขัดข้องของดาบที่เขากำลังหาทางซ่อมแซมได้อย่างรวดเร็ว
นิโค่เริ่มต้นซ่อมแซมดาบ Red Queen ทันที
.
พอนิโค่ได้เริ่มซ่อมดาบ เธอก็เรียกเนโรว่าเป็นไอ้โง่ทันที เพราะไม่ดูแลซ่อมแซมดาบเป็นประจำ
เนโรเริ่มเชื่อว่าเธอเป็นลูกของแอกนัสจริงๆ ด้วยวิธีแสดงออกว่ารักในงานวิจัย และสีผิวที่เหมือนกันอีก
.
ระหว่างซ่อมดาบ นิโค่ก็พูดคุยกับดาบเหมือนกัน "ไงจ้ะหนู เป็นยังไงบ้าง?"
เธอทำการทดสอบด้วยการบิดคันเร่งที่ดาบ แต่ก็โดนพลังมันดีดกลับจนร่วงไปกองที่พื้น
พอเห็นแบบนั้นเนโรก็นึกว่าเธอจะโมโห แต่นิโค่กลับยิ้มและลุกขึ้นมาปัดฝุ่นจากเสื้อผ้า
นิโค่บอกว่าดาบ Red Queen นั้นเกเรมาก แต่ก็น่ารักเหมือนกัน
.
หลังจากซ่อมดาบเสร็จแล้ว เนโรรู้สึกเป็นหนี้บุญคุณนิโค่ จึงตัดสินใจจะเอาบันทึกของภาคีให้กับนิโค่ดู
และนั่นทำให้เธอยิ้มกว้างมากๆ เธอถามว่าจากนี้จะให้เรียกชื่อกันยังไง เนโรบอกว่าเรียกชื่อเนโรเฉยๆก็ได้
เนโรเริ่มคิดในใจเกี่ยวกับชายที่ฆ่าพ่อของนิโค่... คนนั้นคือดันเต้
---------------------------------------------------------
Dante Chapter 1
ดันเต้มาถึงเกาะดูมารี และพูดคุยกับมาเธียร์ที่ท่าเรือ
ดันเต้พยายามที่จะนึกชื่อของเธอ ก่อนจะเอ่ยปากถามว่าเธอชื่อมาเทีย ใช่ไหม?
ซึ่งเธอก็ตอบว่าออกเสียงถูกต้องแล้ว
มาเธียร์พูดต่อ ว่าสปาร์ด้าเองก็คงจะลืมชื่อเธอและผู้หญิงคนอื่นๆบนเกาะนี้เหมือนกัน
.
สปาร์ด้าเคยเป็นสมุนมือขวาของมุนดัส ก่อนที่จะทรยศใส่มุนดัส เนื่องจากรู้สึกเห็นใจเหล่ามนุษย์
ก่อนที่จะพบกับอีวา(แม่ของดันเต้) สปาร์ด้าได้เดินทางไปรอบโลก และนั่นทำให้เขาได้พบกับมาเธียร์
ดันเต้ถามว่ามาเธียร์อายุเท่าไหร่กันแน่ เธอตอบว่า หยุดนับไปตั้งแต่ 100 ปีก่อนแล้ว
.
ดันเต้ไม่มีความทรงจำเกี่ยวกับสปาร์ด้ามากนัก แต่ก็ทำให้นึกย้อนไปถึงการฝึกซ้อมวิชาดาบกับเวอร์จิล
ในตอนนี้เขาไม่รู้เลยว่าพ่อเขาเป็นปีศาจแบบไหน และไม่รู้อะไรเกี่ยวกับตำนานของสปาร์ด้าเลย
.
มาเธียร์บอกว่าดันเต้นั้นใจร้าย ที่ไม่ยอมกลับมาเยี่ยมกันเลยตั้งเหตุการณ์เมื่อสิบปีก่อน
ดันเต้บอกว่า ก็ช่วยไม่ได้ เพราะเขาติดอยู่ใน 'หลุมขยะ' (นรก)
และการจะเดินทางผ่านระหว่างโลกมนุษย์และโลกปีศาจนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย
.
มาเธียร์ถามว่า แล้วดันเต้หาทางออกมาจากนรกได้ยังไง
ดันเต้ตอบว่า มันมีหลุมประหลาดที่โผล่ขึ้นมากระทันหัน เขาก็แค่เดินผ่านหลุมนั่นมา
บางทีมันก็มีหลุมที่เชื่อมต่อระหว่างโลกมุษย์และโลกปีศาจโผล่ขึ้นมากระทันหันเหมือนกัน
เพราะเหตุนี้ เกาะดูมารีจึงจำเป็นต้องมีผู้พิทักษ์คอยปกป้องเกาะจากปีศาจที่ออกมาจากหลุมที่เชื่อมต่อโลกปีศาจ
.
นั่นก็เพราะ เกาะดูมารีนั้นเป็นเพียงท่าเรือเล็กๆ จึงมีโอกาสสูงที่จะเกิดหลุมที่เชื่อมต่อระหว่างทั้งสองโลก
และนั่นก็ใช้อธิบายได้ว่าทำไมเกาะดูมารี และเมืองฟอร์จูน่าถึงมีปีศาจโผล่มา
.
ในนิยายกล่าวว่า เมื่อปีศาจเข้ามายังโลกมนุษย์ พวกมันจะใช้จิตสำนึกเปลี่ยนพลังของมันสู่ร่างกายเนื้อในอีกรูปแบบหนึ่ง
แต่ถ้าหากปีศาจอยากจะเข้ามาในโลกมนุษย์ด้วยกายเนื้อพวกมันจริงๆ หลุมนั้นจะต้องใหญ่มากๆ
ดันเต้รู้สึกว่ามันเป็นเรื่องบังเอิญมากๆที่มันเกิดหลุมที่ใหญ่ พอที่เขาจะเดินทางผ่านมาได้
เมื่อเขาไปที่เมืองฟอร์จูน่า และได้เห็นประตูนรก (ในเหตุการณ์ภาค 4)
เขาก็เข้าใจในทันที ว่าการที่เขาหนีออกมาได้นั้นมันเกี่ยวข้องกับดาบยามาโตะ
.
ดันเต้อธิบายว่า ดาบยามาโตะนั้นเป็นของที่ละลึกจากพ่อของพวกเขา
และดาบนั้นมีความสามารถในการตัดการเชื่อมต่อระหว่างโลกมนุษย์และโลกปีศาจ
.
มาเธียร์พูดว่า ลูเซียนั้นคัดค้านที่จะเรียกดันเต้กลับมาที่เกาะดูมารี
เพราะที่เกาะนี้มีชายหนุ่มเหลืออยู่ไม่มาก
ดันเต้บอกว่าเขานั้นไม่ใช่ชายหนุ่มอีกแล้ว เขาคิดว่าช่วงอายุขัยของเขานั้นอยู่ในความสัมพันธ์กับสปาร์ด้า
และจะดีกว่าถ้าเขาตัดสินใจที่จะกลายเป็นคนชรา
(ตรงนี้แปลไปก็สับสนนิดๆ ตามความเข้าใจ ดันเต้นั้นสามารถใช้พลังที่ได้จากพ่อตัวเองคงสภาพให้ร่างกายหนุ่มเด้งได้
แต่ดันเต้ตัดสินใจที่จะปล่อยให้อายุขัยของเขาผ่านไปแบบมนุษย์ธรรมดา เลยแก่ขึ้นแบบนี้)
.
ลูเซียนั้นยังคงรอดันเต้กลับมาจากนรก และเดินทางไปที่ออฟฟิศของดันเต้บ่อยๆ เผื่อจะเจอเขากลับมา
เมื่อดันเต้กลับมา ทั้งสองโอบกอดกันและลูเซียก็ร้องไห้
ยังไงก็ตาม ดันเต้ก็แยกตัวออกมาในไม่ช้า หลังจากที่เขาได้รับโทรศัพท์พร้อมกับพาสเวิร์ดจากปลายสาย
(เผื่อจะงง ตรงนี้ทั้งคู่น่าจะเจอกันที่ร้าน DMC ของดันเต้ พอกอดกันแล้วลูเซียเริ่มร้องไห้ โทรศัพท์ก็ดังพอดี)
.
ดันเต้มีกฎที่ตั้งขึ้นมาเอง เพื่อให้เขามีสมาธิอยู่กับงานล่าปีศาจของเขา
มาเธียร์ก็ด่าดันเต้ ว่าเธอไม่ได้จะให้ดันเต้แต่งงานอยู่กับลูเซียตลอดชีวิตซะหน่อย
เธอต้องการให้ดันเต้มอบความทรงจำดีๆให้กับลูเซียแค่นั้น
ดันเต้ตอบว่า "ผมผิดเอง แต่มันก็มีเหตุผลอยู่นะ"
หลังจากนั้นมาเธียร์ก็ยังด่าเขาอีก ในคำขอโทษส่งๆแบบนี้ และบอกว่าสปาร์ด้าคงจะมีวิธีพูดที่ดีกว่านี้
ดันเต้จึงตอบกลับว่า เพราะแบบนั้นแหละทำให้เขาคิด ว่าเขาเป็นผู้ชายที่ดีกว่าพ่อตัวเอง
มาเธียร์จึงตีดันเต้ด้วยไม้เท้าของเธอ ก่อนจะพูดต่อ ถ้าในกรณีนั้น ก่อนอื่นดันเต้ต้องหยุดทำตัวหยาบคายใส่ลูเซีย
พอรู้ตัวว่ากำลังจะถูกอบรม ดันเต้ก็รีบเปลี่ยนเรื่อง และถามมาเธียร์ว่าเรียกเขามาที่เกาะนี้เพราะอะไร
.
มาเธียร์ถามดันเต้ว่าจำปีศาจที่เป็นต้นเหตุให้ดันเต้ต้องมาที่เกาะนี้ได้ไหม
ดันเต้บอกว่าเขาฆ่าไอ้ตัวที่เหมือนลิงยักษ์ไปแล้วนี่ (Orangguerra ในภาค 2)
แต่มาเธียร์ก็เตือนความจำเขา ว่าดันเต้ได้ปราบอาร์โกแซก (Argosax)
ดันเต้ก็พยายามคิด เพราะว่าส่วนใหญ่แล้วเขามักจะไม่จำว่าปราบปีศาจตนไหนไปบ้างให้รกสมอง
แต่ยังมีอยู่ชื่อนึงที่เขาจำไม่มีวันลืม มุนดัส ปีศาจที่นำภัยอันตรายมาสู่แม่ของเขา
.
มาเธียร์บอกว่า ปีศาจตนนึงได้ปรากฏตัวออกมา และมันเป็นสมุนมือขวาของอาร์โกแซก
ดันเต้ก็พูดจาติดตลกว่า เขาปราบลูกพี่เบอร์หนึ่งไปแล้ว ทำไมต้องไปเสียเวลาไปเล่นกับเบอร์สองอีกล่ะ
ดันเต้พยายามเค้นความจำเกี่ยวกับอาร์โกแซก แต่ก็นึกถึงภัยคุกคามจากมันไม่ได้เลย
.
ตามคำบอกเล่าของมาเธียร์ นรกครึ่งนึงนั้นอยู่ในการปกครองของมือขวาราชาปีศาจ
และในอดีตมันสงวนพละกำลังไว้เป็นเวลาสิบปีเพื่อเดินทางผ่านมายังโลกมนุษย์
ด้วยร่างกายใหญ่โตของพวกมันนั้น มาเธียร์ไม่คิดว่าพวกมันลอดจะผ่านรูเข้ามาได้ง่ายๆ
เธอคิดว่าคงจะมีมนุษย์ที่ทำพิธีอัญเชิญมันออกมา แต่มันก็คงไม่ได้ทำกันง่ายๆบนเกาะที่เธอและลูเซียคอยดูแลอยู่
.
ดันเต้ถามว่าหากมาเธียร์รู้ ว่าใครเป็นคนอัญเชิญปีศาจมายังโลกมนุษย์
แต่เธอก็ไม่มีหลักฐานชัดเจนพอว่าใครเป็นคนทำ เพราะเอเรียสก็ตายไปแล้ว
ดันเต้ถามชื่อของปีศาจที่จะให้ไปกำจัด มาเธียร์ก็หัวเราะพร้อมกับพูดว่า
"เดี๋ยวพรุ่งนี้ก็ลืมแล้วไม่ใช่เรอะ ปีศาจตนนี้ชื่อว่าบัลร็อก จากคำบอกเล่าของตำนาน มันเป็นปีศาจไฟที่อันตรายทีเดียว ระวังตัวหน่อยล่ะ"
พอได้ยินคำเตือน ดันเต้ก็ได้แต่ยิ้ม
---------------------------------------------------------
Nero Chapter 2
นิโค่และเนโร อยู่ในชั้นใต้ดินของปราสาทฟอร์จูน่า สถานที่ที่แอกนัสทำการวิจัยเกี่ยวกับปีศาจ
นิโค่นั้นดี๊ด๊าร่าเริงกับอุปกรณ์ต่างๆในศูนย์วิจัยนี้ เธอมองไปทุกที และจับต้องทุกอย่าง
เธอหมุนวัตถุทรงกระบอกที่ครั้งนึงเคยใช้เป็นที่กักขังปีศาจในการวิจัย และเป็นอีกครั้งที่เธอตื่นเต้นจนพูดติดอ่าง
.
เนโรถามนิโค่ว่า เธอวางแผนจะทำยังไงกับเอกสารบันทึกวิจัยของแอกนัส
เขากลัวว่าลูกสาวของแอกนัสจะสานต่อการทดลองวิปริตนี้ และนำปีศาจมาบุกสู่โลกมนุษย์อีกครั้ง
ระหว่างที่เนโรตั้งคำถาม เขาก็ปกปิดมือข้างนึงที่กำลังถือปืน Blue Rose
ถ้าหากเขาจำเป็นต้องฆ่าเธอ ทุกอย่างขึ้นอยู่กับคำตอบของนิโค่
.
นิโค่ตอบว่าเธออยากจะเป็นศิลปิน
คำตอบนี้ทำเอาเนโรงุนงง และนำนิ้วออกจากไกปืน Blue Rose
เนโรพูดต่อ ว่าถ้านิโค่อยากจะวาดรูปปีศาจ... นั่นทำให้นิโค่ระเบิดเสียงหัวเราะออกมาทันที
นิโค่ตอบว่า เธอไม่สนใจเรื่องภาพวาดเลย เธออยากจะเป็นศิลปินชั้นหนึ่งผู้สร้างอาวุธต่างหาก
เนโรนึกขึ้นได้เกี่ยวกับทักษะความสามารถของนิโค่ ในตอนที่เธอแยกชิ้นส่วนเพื่อซ่อมแซมดาบ Red Queen
.
นิโค่ถามว่า ถ้าเนโรเคยได้ยินชื่อของยายเธอ ศิลปินผู้สร้างอาวุธเจ้าของร้าน .45 Calibre
เนโรส่ายหัว และนั่นทำให้นิโค่โมโหนิดๆ เธอส่ายหัวเหมือนจะล้อเลียนเนโร
ก่อนจะพูดว่า "นายมันไม่รู้อะไรสักนิดเลยไอ้หนู"
เนโรพยายามรักษามาดไว้ แม้เพิ่งจะโดนดูถูก เขาฝึกคุณลักษณะนี้ในการใช้ดูแลเด็กกำพร้า
ฝึกความอดทนและต้านทานจากคำด่าของเด็กที่อายุน้อยกว่า
.
เนโรอธิบายว่า ช่วยไม่ได้ที่เขาไม่เคยได้ยินชื่อยายของนิโค่ ก็เพราะว่าปืนนั้นไม่เป็นที่นิยมในเมืองฟอร์จูน่า
เนโรบอกว่าในอดีต ผู้คนต่างพากันมองเขาแบบเหยียดหยามที่ใช้ปืน และนั่นทำให้นิโค่สนใจ
นิโค่ถามว่าเนโรมีปืนใช่มั้ย เนโรลังเลเล็กน้อย ก่อนจะดึงปืน Blue Rose ที่ซ่อนอยู่ออกมา
นิโค่รีบวิ่งเข้าไปดูทันทีและหยุดดูไม่ขยับไปไหน และอีกครั้งที่เธอตื่นเต้นจนพูดติดอ่าง นั่นทำให้เนโรนึกถึงแอกนัส
.
นิโค่ถามว่าเธอสัมผัสปืนนี่ได้มั้ย และเนโรก็อนุญาต
เธอตื่นเต้นกับปืน Blue Rose นี้มาก
และอธิบายถึงลำกล้องคู่ของปืนนี้ ที่จะยิงกระสุนพร้อมกัน แต่ละนัดจะมีการหน่วงเวลาเล็กน้อย
กระสุนหนึ่งนัดจะยิงตามออกมา เมื่อกระสุนนัดแรกถูกจุดชนวน
.
เนโรรู้สึกประหลาดใจมาก ที่นิโค่สามารถระบุถึงความแตกต่างของกระสุนทั้งสองนัด เพียงแค่มองเท่านั้น
นิโค่จึงขิงใส่ "คิดว่าฉันเป็นใครล่ะ?"
.
เนโรบอกว่า ปืน Blue Rose ก็อาจจะใช้แนวคิดคอนเซปต์แบบนั้น
แต่มันก็ยากที่จะหาใครที่เชี่ยวชาญมาทำให้แนวคิดนี้ใช้ได้จริง
.
เนโรนึกถึงสถานการ์ชีวิตที่ผ่านมาของเขา เมื่อเขารู้สึกว่าศีลธรรมนั้นคือความน่าสงสัย
เขาได้รับการเลี้ยงดูในบ้านที่ให้ความสุขและสมบูรณ์
เขามองไปถึงเครโด้ คนที่เหมือนเป็นพี่ชายสำหรับเขา แต่ตอนนี้เขามีคิริเอะ คนที่เขารักมากที่สุด
.
นิโค่พูดถึงปืนที่ยายเธอสร้างนั้นใช้ง่ายและสวยงามขนาดไหน
เธอเล่าต่อ ว่าปืนคู่สุดท้ายที่ยายเธอสร้างนั้นถูกออกแบบมาได้ยอดเยี่ยม และสวยงามมากๆ
นิโค่ยังเล่าต่อไปเรื่อยๆ แต่เนโรก็ไม่ได้สนใจที่จะตั้งใจฟัง จนนิโค่พูดถึงประโยค
"ปืนคู่นั้นมีชื่อว่า 'Ebony and Ivory'กระบอกนึงสีดำและอีกกระบอกสีขาว เหมาะสมสำหรับงานศิลปะมากๆ"
ชื่อของปืนคู่นั้น ทำให้เนโรสนใจขึ้นมา
นิโค่ยังคงอธิบายถึงปืนคู่นั้นต่อไป พูดถึงรายละเอียดว่ากระบอกนึงยิงได้ต่อเนื่องและลื่นไหล และอีกกระบอกที่มีพลังทำลายล้างมากกว่า
ปืนคู่นั้นออกแบบตามความต้องการของนักล่าปีศาจคนนึง และเธอเชื่อว่าปืนคู่นั้น ปัจจุบันยังคงถูกใช้โดยนักล่าปีศาจ
เมื่อนิโค่พยายามนึกถึงชื่อเจ้าของปืนคู่นั้น เนโรจึงพูดชื่อนึงขึ้นมาทันที -- "ดันเต้"
.
นิโค่ตอบว่าชื่อนั้นแหละถูกต้องแล้ว และบอกว่าชื่อนั้นโด่งดังในวงการนักล่าปีศาจ
เนโรยังคงตะลึงในความเชื่อมโยงเหล่านี้ ว่าเขาจะตอบยังไง
ยายของนิโค่ เป็นผู้สร้างปืนที่ต่อมาถูกใช้ยิงเข้าที่หัวของพ่อนิโค่
.
นิโค่ยังคงยิงคำถามใส่เนโร
"ฉันอยากรู้ว่าคนที่ใช้ปืนที่ยอดเยี่ยมที่สุดที่ยายฉันสร้างมา เป็นคนยังไง? เดี๋ยวก่อน อย่าบอกนะว่าหมอนั่นก็เป็นพวกสารเลว"
เนโรบอกว่าให้นิโค่ใจเย็นหน่อย ระหว่างที่เขากำลังประมวลคำตอบจากข้อมูลที่ได้มา
.
เนโรย้อนคิดกลับมา ว่าดันเต้คือบุคคลสำคัญสำหรับเขา
ดันเต้ช่วยชีวิตเขาจากเหตุการณ์โกลาหลที่เกิดขึ้นในเมืองฟอร์จูน่า
แต่ระหว่างนั้นดันเต้ก็เป็นคนฆ่าแอกนัส
แล้วตอนนี้ลูกสาวแอกนัสก็มายืนต่อหน้าเขาถามว่าคนที่ฆ่าพ่อเธอนั้นเป็นคนยังไง
นิโค่เลิกคิ้วขึ้นมาเหมือนจะเร่งเอาคำตอบจากเนโร
"เวรล่ะ แล้วจะอธิบายยังไงดีเนี่ย..."
---------------------------------------------------------
Dante Chapter 2
ดันเต้จัดการฆ่าปีศาจหน้าเหมือนลิง ระหว่างทางที่เดินไปหาบัลร็อก
หลังจากใช้ปืนฆ่าพวกปีศาจตามทาง ดันเต้ก็รู้สึกทึ่งกับความยอดเยี่ยมของปืน Ebony & Ivory
แล้วก็นึกถึงเนล โกลด์สตีน ผู้สร้างปืนคู่นี้ ว่าจะเป็นอยู่ยังไงบ้างในเวลานี้
.
ระหว่างยิงกำจัดปีศาจ ดันเต้ได้ยินเสียงสำเนียงฝรั่งเศสมาจากทางด้านหลัง
"ยังใช้ปืนได้ยอดเยี่ยมเหมือนเดิมนะ"
ดันเต้หันกลับไปมองจากทิศทางเสียงที่ได้ยิน ก่อนจะตอบกลับไป
"ไม่ได้เจอกันนานนะ ลูเซีย"
ลูเซียถามว่าดันเต้ดูแก่ขึ้นนิดหน่อยหรือเปล่า ดันเต้ได้แต่ยิ้มอ่อนตอบกลับไป
ดันเต้บอกว่าลูเซียนั้นทึกทักไปเองหรือเปล่า ก่อนจะบอกว่าลูเซียต่างหากที่ดูไม่เปลี่ยนเลยสักนิด
และลูเซียก็ย้ำกับดันเต้ ว่าจะเวลาผ่านไปนานแค่ไหนเธอก็จะดูไม่แก่ขึ้นหรอก
.
ดันเต้พยายามที่จะบอกว่าลูเซียนั้นสบายแค่ไหน
เพราะมนุษย์ผู้หญิงต่างพากันใช้เงินอย่างมาก เพื่อให้ตัวเองดูเยาว์วัย แต่ลูเซียกลับไม่ต้องใช้เงินเลยสักนิด
.
ลูเซียนั้น ดั้งเดิมแล้วเป็นปีศาจเทียมที่ถูกสร้างขึ้นมาซ้ำๆ
ดันเต้ก็สังเกตว่าใบหน้าของเธอเต็มไปด้วยความรู้สึกอ้างว้าง
.
ดันเต้เริ่มพูดทำลายบรรยากาศกับลูเซีย บอกว่ารู้สึกเป็นเกียรติมากที่อยู่ท่ามกลางสถานที่แบบนี้
เพราะมันทำให้เขาเหมือนอะไรบางอย่างที่ลงมาจากสวรรค์
คำพูดนั้นทำให้ลูเซียเริ่มยิ้มจางๆ เธอพูดขอบคุณดันเต้ที่มาในครั้งนี้ พร้อมกับวางมือไปที่ตัวเขา
.
นั่นทำให้ดันเต้รู้สึกประหลาดใจ เพราะว่าลูเซียไม่ได้ยินดีที่ดันเต้มาที่เกาะนี้เหมือนที่มาเธียร์บอก
ลูเซียพูดว่า บัลร็อกนั้นดูแตกต่างจากเดิมไปเล็กน้อย ดังนั้นเธอจะช่วยดันเต้สู้เพื่อที่จะจัดการกับมันให้ไวขึ้น
ดันเต้ยิ้ม และคิดว่านี่จะซ่อนความรู้สึกเขาเอาไว้ เหมือนใส่หน้ากากบางๆปกปิดใบหน้าของเขา
'ฉันทำแบบนี้ไม่ได้หรอก'
แต่เขาก็รู้สึกดีขึ้น เมื่อเห็นลูเซียมีความมั่นใจขึ้นมา
.
ดันเต้และลูเซีย เดินเคียงบ่าเคียงไหล่ระหว่างทางที่สู้กับบัลร็อก
เขานึกขึ้นได้ว่านานแล้วที่ทั้งสองคนไม่ได้อยู่ด้วยกันแบบนี้ แต่ทั้งสองก็ยังคงเดินต่อไปด้วยกันเหมือนเป็นคู่หูเก่า
นี่ก็เป็นเพราะความเชื่อใจที่มีให้กันและกันระหว่างทั้งสอง
.
ทั้งคู่เดินทางมาถึงสถานที่ที่จะสู้กับบัลร็อก และบัลร็อกก็มองมาที่พวกเขา
ดันเต้พูดใส่ว่าถ้าเขาอายจะทำยังไงเนี่ย
บัลร็อกก็ตอบกลับ "ในที่สุดเจ้าก็มา"
ดันเต้ถามกลับว่า บัลร็อกมารอเขา อย่างกับเชื่อว่าพวกเขาจะมาปรากฏตัวตรงนี้
บัลร็อกตอบว่าก็รอจริงๆ ในที่สุดแล้วคนที่แข็งแกร่งก็จะมาหามันในที่นี้
บัลร็อกเริ่มย่างก้าวเข้ามาหาพวกดันเต้ เพียงแค่นั้นพื้นดินก็สั่นสะเทือน
ระหว่างที่พูดคุยกัน ดันเต้ก็สัมผัสได้ถึงความรู้สึกที่คุ้นเคยว่าอะไรบางอย่างใกล้ๆการต่อสู้นี้
.
บัลร็อกพูดว่า หลังจากเสียคู่หูอย่างอาร์โกแซกไป มันก็พัฒนาเติบโตขึ้น แต่มันก็น่าเบื่อ
และในตอนนี้ มันได้พลังใหม่อยู่ในกำมือมันแล้ว
ดันแต่สังเกตเห็นอะไรบางอย่างส่องแสงวูบวาบอยู่ในหมัดของบัลร็อก
เขาจำมันได้ทันที มันคือเศษดาบยามาโตะ
เหมือนว่าชิ้นส่วนที่กระจัดกระจายไปของดาบยามาโตะ บางชิ้นยังคงหลงเหลืออยู่ในนรก
และบัลร็อกก็ใช้เศษดาบยามาโตะ เดินทางข้ามมายังโลกมนุษย์
.
ดันเต้อนุมาณว่า บัลร็อกนั้นใช้เศษดาบยามาโตะเดินทางข้ามมายังโลกมนุษย์
ซึ่งหลุมที่ดันเต้ใช้หลบหนีออกมาจากนรก อาจจะเป็นหลุมเดียวกับที่บัลร็อกใช้เดินทางมายังโลกมนุษย์ก็ได้
.
ดันเต้พูดว่า "ยามาโตะ..." ซึ่งเสียงนั้นดังเบาๆไม่ต่างจากสายลม
ยามาโตะที่ครั้งนึงเคยถูกใช้เพื่อกันปีศาจไม่ให้บุกเข้ามาในโลกมนุษย์
ในตอนนี้กลับเป็นเครื่องมือที่ช่วยให้ปีศาจใช้บุกโลกมนุษย์
ภาคีแห่งดาบเก็บสะสมเศษดาบยามาโตะ เพื่อที่จะเติมเต็มความทะเยอทะยานของพวกเขา
ผลลัพธ์คืออุบัติการณ์ที่เกิดขึ้นในเมืองฟอร์จูน่า
.
ด้วยปฏิกริยาตอบสนอง ดันเต้จับดาบ Rebellion ในมือให้มั่น พร้อมกับตั้งท่าเตรียมต่อสู้
บัลร็อกก็เริ่มตะโกนเหยียดยาวอย่างบ้าคลั่ง แต่ดันเต้ไม่มีท่าทีจะสะทกสะท้านสักนิด
ดันเต้พูดกับลูเซียว่า นี่เป็นงานของเขา ก่อนจะกระโดดเข้าใส่บัลร็อกและโจมตีไปที่หมัดของมัน
---------------------------------------------------------
Nico Chapter 1
นิโค่มาเจอกับคิริเอะครั้งแรก
เอกสารการวิจัยของแอกนัสนั้นมีเยอะมาก นิโค่จึงต้องพักอยู่กับเนโรและคิริเอะในเมืองฟอร์จูน่าสักพัก
.
นิโค่ไม่ตัดสินคนจากความสวยความงาม เธอคิดว่าดาบและปืนที่ดีต่างหากที่สวยงาม
อย่างไรก็ตาม เธอคิดว่าคิริเอะคือผู้หญิงที่สวยที่หาได้ยาก
ด้วยสายตาที่คิริเอะมองมาที่เธอ ทำให้นิโค่นึกถึงแม่ของเธอ อลิซซ่า ที่ตายไปตั้งแต่เธอยังเด็ก
.
คิริเอะถามว่า จะโอเคไหมถ้าจะเรียกนิโค่เฉยๆ นิโค่ผงกหัวตอบรับทันที
"เธอจะเรียกฉันยังไงก็ได้ จะนิโค่ นิโคเลตต้า หรือนังแรดก็ได้"
เนโรตอบสนองทันทีด้วยการกระทืบเท้านิโค่ใต้โต๊ะ ชี้ไปทีนิโค่และตะโกนต่อว่า
"อย่าพูดจาหยาบคายต่อหน้าคิริเอะนะเฮ้ย"
.
นิโค่ได้ยินมาว่าคิริเอะคือแฟนของเนโร แต่ก็ไม่สามารถจินตนาการว่าคิริเอะนั้นสำคัญกับเนโรมากขนาดไหน
นิโค่ขอโทษคิริเอะสำหรับความปากเสียของเธอ และพูดต่อว่าถ้าจะโทษกัน ไปโทษพ่อเธอโน่น
(ประมาณว่าจะโบ้ยว่าเป็นเพราะกรรมพันธุ์ฝั่งพ่อเลยปากหมา)
เนโรก็จ้องตาขวางใส่นิโค่เล็กน้อย คิริเอะมองมาที่ทั้งคู่แล้วก็ยิ้ม เหมือนกำลังมองเด็กน้อยที่กำลังทะเลาะกัน
ซึ่งเธอก็ปล่อยให้นิโค่ทำตัวตามสะดวก
.
คิริเอะเอ่ยชวนให้นิโค่อยู่ทานอาหารด้วยกันเพราะที่นี่มีอาหารมากมาย พร้อมกับถามว่านิโค่ไม่ชอบทานอะไรบ้าง
นิโค่ตอบทันควัน "ถ้าเธอเอายางรถมาทำอาหารให้ฉัน ฉันก็กิน" ทำเอาคิริเอะหัวเราะยกใหญ่
.
หลังจากคิริเอะเข้าไปทำอาหารในครัว นิโค่ก็เริ่มต้นแซวเนโรทันที
"ผู้หญิงดีๆแบบนี้ ดีเกินไปที่จะมาอยู่กับนายนะ"
เนโรก็ตอบกลับเชิงน้อยใจ "เออ ฉันก็คิดแบบนั้นเหมือนกัน"
.
ตั้งแต่แอกนัสทิ้งนิโค่กับแม่ไปตั้งแต่เธอยังเป็นเด็ก เธอก็ไม่รู้สึกอะไรกับเขาให้มันซับซ้อน
พอเธอเริ่มรู้สึกกับเรื่องนี้ ก็หยิบกล่องใส่บุหรี่ออกมา เนโรก็รีบคว้ามันจากเธอทันที
เนโรบอกว่านิโค่สูบบุหรี่ในบ้านไม่ได้ นิโค่ก็ถามกลับว่าอย่างน้อยขอไปสูบที่โรงรถได้ไหมล่ะ
เพราะในโรงรถเด็กก็จะไม่เห็นเธอสูบบุหรี่ แล้วเธอจะทำงานต่อไม่ได้ถ้าไม่ได้สูบบุหรี่
และถ้าเธอไปสูบบุหรี่ข้างนอกก็อาจจะถูกชาวเมืองขับไล่เอาเพราะว่าเป็นคนนอก
.
นิโค่เคยฟังแม่ของเธอเล่าให้ฟังว่าเมืองฟอร์จูน่านั้นเป็นบ้านเกิดของพ่อเธอ
เธออ่านเกี่ยวกับกฎหมายบ้านเมือง เป็นผลพวงมาจากที่เธอรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับปีศาจของเมืองนี้
.
หลังจากนั้นเนโรก็ยังคงสั่งให้นิโค่ไปสูบบุหรี่ข้างนอก
พอนิโค่ลุกขึ้นเพื่อไปสูบบุหรี่ เธอถามว่าเนโรต้องการเทคโนโลยีบางอย่างจากเธอมั้ย
เนโรไม่พยักหน้าตอบรับหรือส่ายหน้าปฏิเสธ
แต่นิโค่ก็ทึกทักไปเองโดยปริยายว่านั่นคือการตอบรับข้อเสนอของเธอ
"ไม่เป็นไร มันก็แค่การให้และรับ ฉันจะสร้างอาวุธดีๆ และนายก็ใช้มันปราบปีศาจ
เราจะเป็นเหมือนเพื่อนร่วมธุรกิจกันไง"
.
เนโรถามกลับไปว่า "มันจะโอเคจริงๆหรอ ถ้าหากเขาคือคนที่สมรู้ร่วมคิดในการฆ่าพ่อของเธอ"
นิโค่มีปฏิกริยาตอบสนองในเรื่องที่เนโรเล่าให้ฟัง เกี่ยวกับชายที่ควงปืนผลงานชิ้นเอกของคุณยายเธอ
และใช้ปืนคู่นั้นฆ่าพ่อของเธอ
แม้นิโค่จะมีจิตนาการที่สดใส ก็ต้องต่อสู้เผชิญหน้ากับบางสิ่งที่ป่าเถื่อน
อย่างไรก็ตาม นิโค่ยังคงยืนยันว่าเธอไม่มีความรู้สึกผูกพันกับพ่อของเธอ ตั้งแต่เขาทิ้งแม่เธอไปตั้งแต่เธออายุสองหรือสามขวบ
เธอไม่มีความทรงจำอะไเกี่ยวกับเขาเลย
.
นิโค่บอกเขาว่ามันเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นในอดีตไปแล้ว และจะขอใช้โทรศัพท์หลังจากเธอสูบบุหรี่เสร็จแล้ว
เนโรถามว่าเธอจะโทรหาใคร เธอตอบว่า "พ่อของฉัน ฉันจะส่งของไปให้"
ระหว่างที่เนโรกำลังสับสนกับคำพูดของเธอ นิโค่ก็ยืนยันคำพูดอีกที
"ไม่ใช่แอกนัสหรอก พ่อคนปัจจุบันของฉัน เกี่ยวข้องกันทางสายเลือด หรือเรียกอีกอย่างคือลุงฉันเอง"
เนโรฟังคำอธิบายพร้อมปากที่อ้ากว้างค้างอยู่
---------------------------------------------------------
Lucia Chapter
ลูเซียเฝ้ามองการต่อสู้ระหว่างบัลร็อกและดันเต้
บัลร็อกนั้นดูเหมือนจะสนุกกับการต่อสู้ มากกว่าที่จะโกรธ เมื่อดันเต้หลบการโจมตีของมันได้หมด
.
ระหว่างดูดันเต้ต่อสู้ ลูเซียได้แต่ถูหมัดตัวเองไปมา
เธอมุ่งมั่นที่จะเรียนรู้และแข็งแกร่งขึ้นด้วยตัวเธอเอง และตั้งใจว่าจะไม่มีวันพึ่งพาแต่ดันเต้อีกแล้ว
และวันหนึ่งเธอจะสามารถตอบแทนให้กับดันเต้ได้
แต่เมื่อจ้องมองการต่อสู้ของดันเต้ เธอก็รู้สึกถึงความไร้พลังของตัวเธอเอง
.
เธอแปลกใจในความกล้าหาญของดันเต้ที่ใช้ในการต่อสู้ ว่าเป็นเพราะประสบการณ์ที่มีอย่างโชกโชน
หรือว่าเพราะเขามีสายเลือดของสปาร์ด้ากันแน่
.
การต่อสู้ระหว่างดันเต้และบัลร็อกเริ่มดุเดือดและจริงจังขึ้น
สาเหตุเพราะไฟของบัลร็อกทำให้ต้นไม้และบ้านทั้งหลังหายไปเมื่อสัมผัสกับเปลวเพลิงจากมัน
ดันเต้ถามว่าทำไมบัลร็อกถึงชอบไฟขนาดนี้ และใช้มันเหมือนเป็นเรื่องธรรมดาเลย
บัลร็อกตอบว่าไฟของมันนั้นร้อนแรงที่สุด ไม่ใครหน้าไหนเทียบได้
และพุ่งไปต่อยดันเต้ด้วยกำปั้นที่ร้อนระอุจนไฟลุก
.
การโจมตีด้วยหมัดนี้เข้าเป้าอย่างจัง ทำให้ฝุ่นและขี้เถ้าฟุ้งกระจายเต็มอากาศโดยรอบ
ลูเซียตะโกนเรียกชื่อดันเต้โดยอัตโนมัติ
แต่เมื่อฝุ่นควันเริ่มจางลง เธอก็มองเห็นว่าดันเต้ถูกป้องกันด้วยกำแพงที่โปร่งใส
ลูเซียเห็นว่าในมือดันเต้นั้น ถือกระบองสามท่อนอยู่
.
"ไม่ได้ใช้ไอ้เจ้านี่มานานมากแล้วนะ ก็ฉันไม่ค่อยถูกกับความร้อนด้วยสิ"
ดันเต้พูดขึ้นมา ระหว่างที่กำแพงน้ำแข็งกำลังพังเป็นชิ้นๆ
แท็คติกที่ดันเต้เพิ่งใช้ ทำให้บัลร็อกโกรธ และตั้งท่าจะใช้หมัดโจมตีอีกรอบ
ดันเต้ตอบสนองกลับด้วยการโพสต์ท่าเท่ๆกับ Cerberus เหมือนเป็นตัวเอกในหนังกังฟู
.
ระหว่างที่โพสต์ท่า Cerberus ก็เปล่งไอเย็นออกมา ดันเต้บอกว่าเขาไม่ได้สั่งให้มันทำแบบนี้นะ ไม่ได้ตกลงกันไว้ซะหน่อย
ดันเต้คิดว่ากระบองสามท่อนกำลังไม่พอใจเขา
หลังจากที่มองเห็นแบบนั้น บัลร็อกก็พูดออกมา
"รูปร่างแบบนั้น... พลังแบบนั้น..นี่เจ้าทำให้ Cerberus เชื่องได้งั้นรึ?"
บัลร็อกพูดต่อไป ว่าพลังของไอ้หมาสามหัวนั่นสู้กับมันไม่ได้หรอก
.
ลูเซียนึกถึงคำพูดที่มาเธียร์เคยเล่าไว้ เกี่ยวกับอาวุธปีศาจ (Devil Arms)
เธอเล่าว่ามีสองวิธีที่จะสร้างอาวุธปีศาจได้
วิธีแรกเมื่อปีศาจพ่ายแพ้ในการต่อสู้ มันจะแปลงร่างตนเองเข้าสู่รูปแบบอาวุธที่มีพลังล้นหลาม และอยู่ในสถานะยอมจำนน
อีกวิธีคือ ปีศาจจะเปลี่ยนร่างตนเองเป็นอาวุธ เมื่อมันเกิดความผูกพันที่แข็งแกร่งขึ้น
.
ดันเต้พูดกับ Cerberus อีกครั้ง "ไม่เอาน่าไอ้ลูกหมา ฉันไม่ได้จะพาแกไปตายซะหน่อย"
เมื่อดันเต้ขว้าง Cerberus ออกไป การต่อสู้กับบัลร็อกก็เริ่มต่ออีกครั้ง
.
ดันเต้โจมตีใส่บัลร็อกชุดใหญ่ และมันทำให้ตัวของบัลร็อกโซเซ
แต่มันก็ทำให้บัลร็อกได้โอกาส เพราะมันคือกับดักให้ดันเต้ลดการป้องกันลง
ทันทีที่เผลอ บัลร็อกเร่งไฟที่แขนขวา(ข้างเดียวกับที่มีเศษดาบยามาโตะ) และโจมตีใส่ดันเต้
ดันเต้ทำการล้อมตัวเขาด้วยกำแพงน้ำแข็งจาก Cerberus และใช้มันรับการโจมตีของบัลร็อก
แต่การโจมตีของบัลร็อกนั้นรุนแรงมาก จนทำให้ Cerberus สั่นสะเทือน
.
แต่นั่นก็เป็นแผนลวงของดันเต้เช่นกัน
แรงโจมตีจากทั้งคู่ ทำให้เศษดาบยามาโตะและกระบอง Cerberus ได้รับการกระทบกระเทือน
ทั้งสองค่อยๆแตกร้าว และสลายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยจนหายไป
หลังจากที่ Cerberus พังไป ดันเต้ก็หยิบดาบ Rebellion ออกมา
.
พอเห็นดาบ Rebellion บัลร็อกก็ถามดันเต้ ว่าเขาคือลูกของสปาร์ด้าใช่หรือไม่
ดันเต้ตอบกลับไป "ก็ถ้าใช่แล้วแกจะทำยังไง?"
บัลร็อกพูดว่า มันได้ยินข่าวลือ ว่าบุตรแห่งสปาร์ด้าเป็นคนปราบมุนดัส และอาร์โกแซก
ถ้าเป็นแบบนั้น ต่อให้บัลร็อกใช้พลังสูงสุดที่มี ก็อาจจะแพ้ในการต้อสู้ให้กับดันเต้ก็ได้
.
บัลร็อกนั้นเข้าใจในความต่างชั้นของพลัง และยอมรับว่าดันเต้เป็นผู้ชนะการต่อสู้นี้
ทันใดนั้นดันเต้ก็ถูกรายล้อมด้วยเปลวไฟ ราวกับสายลมที่พัดหมุนรอบๆตัวเขา
.
เสียงบัลร็อกบอกว่า มันจะยอมเป็นอาวุธปีศาจให้ดันเต้ใช้งาน การได้ร่วมต่อสู้กับดันเต้ จะทำให้มันแข็งแกร่งขึ้น
และสักวันหลังจากนั้น มันจะท้าสู้กับดันเต้อีกรอบ
และนี่จะเป็นการขยายตำนานของอสูรเพลิงบัลร็อก
.
เมื่อไฟที่ห้อมล้อมรอบตัวหายไป ดันเต้ที่ยืนอยู่ก็สวมใส่อาวุธจากบัลร็อกเสร็จสรรพ
"ชิ อะไรจะเห็นแก่ตัวแบบนี้ ไม่รอฟังคำตอบกันเลยสักคำ" ดันเต้บ่นเบาๆ
ลูเซียถามว่าเขาปลอดภัยดีไหม
ดันเต้พยักหน้าและตอบว่า "ฉันมักจะเจออะไรแบบนี้แหละ"
.
บัลร็อกเริ่มต้นพูดคุยกับดันเต้ทันที และมันทำให้ดันเต้รำคาญ
ดันเต้บอกว่า ถ้าคิดจะเดินทางไปด้วยกัน แล้วยังพูดคุยจ้อไม่หยุดแบบนี้ เขาคงเป็นบ้าในที่สุดแน่ๆ
ลูเซียก็ยิ้มอย่างช่วยไม่ได้
.
ลูเซียกลับมารู้สึกโดดเดี่ยวอีกครั้งหลังจากงานของดันเต้สิ้นสุดลง
เธอตระหนักได้ว่ามาเธียร์นั้นเฝ้ามองเธอมาตลอด กับเหตุผลที่ว่าทำไมลูเซียไม่อยากเจอหน้าดันเต้อีก
ก็เพราะเธอยังคงมีใจให้ดันเต้มาตลอด
ลูเซียเรียกชื่อของมาเธียร์ออกมาดังๆ
ดันเต้บอกว่า มาเธียร์นั้นทำหน้าที่แม่ได้ดีนะ ถึงแม้จะไม่ได้เกี่ยวข้องกันทางสายเลือดตรงๆก็ตาม
.
จู่ๆดันเต้ก็เรียกลูเซียซะเสียงดัง มันทำให้ลูเซียตื่นเต้นขึ้นมา
แต่ดันเต้ก็เริ่มชวนคุยเรื่องเศษดาบยามาโตะในหมัดของบัลร็อก นั่นทำให้เธอผิดหวัง
.
ดันเต้อธิบายว่าพวกปีศาจใช้เศษดาบยามาโตะเดินทางมายังโลกมนุษย์ได้ยังไง
และบอกว่าเหตุการณ์แบบนี้อาจจะเกิดขึ้นอีก ถ้าแบบนั้นลูเซียสามารถโทรเรียกเขาได้ทันที
ลูเซียพยามยามซ่อนความรู้สึกไว้บนใบหน้าไว้ แล้วก็พยักหน้าตอบกลับไป
เธอรู้ว่าเศษดาบยามาโตะที่ดันเต้ทำลายไปนั้นต้องมีความสำคัญกับดันเต้แน่นอน
.
ลูเซียบอกว่าดันเต้นั้นเป็นชายที่โหดร้ายและทำให้เธอสับสน
ทางที่ดีทั้งสองควรจะแยกกันอยู่เหมือนที่เคยเป็นมาต่างหาก และลูเซียก็บอกลาดันเต้
และดันเต้ก็บอกลูเซียให้ดูแลตัวเองดีๆ
---------------------------------------------------------
Nico Chapter 2 (maybe spoiler)
นิโค่กับเนโรกำลังอยู่ในโรงรถ นิโค่กำลังติดตั้งแผงไฟนีออนป้ายร้าน Devil May Cry ที่ดันเต่ส่งมาให้
นิโค่บอกว่าชื่อร้านมันฟังดูประหลาด แต่เนโรไม่คิดอะไรมาก ตั้งแต่ดันเต้บอกว่ามันคือชื่อธุรกิจของเขา
.
นิโค่เล่นมุขตลกว่า ร้านชื่อว่าปีศาจร้องไห้ ก็เพราะเนโรมาทำงานกับดันเต้หรือเปล่า
(จะสื่อประมาณว่า ดันเต้ต้องร้องไห้ เพราะให้เนโรทำธุรกิจแล้วเจอแต่เรื่องยุ่งๆตามมา)
เนโรตอบว่าเขาก็คิดแบบนั้น แต่มันฟังดูไม่เท่เอาซะเลย
.
เนโรอาศัยอยู่ในเมืองฟอร์จูน่าประมาณหนึ่งปีแล้ว
.
อธิบายคอนเซปต์เกี่ยวกับรถตู้ร้าน DMC
โดยพื้นฐานแล้วคิริเอะและเนโรไม่ได้มีฐานะทางการเงินที่ดีนัก และในเมืองฟอร์จูน่าก็ไม่ค่อยมีงานให้ทำเท่าไหร่
คิริเอะมักจะให้เนโรคอยช่วยเหลือชาวบ้าน แต่เนโรก็ดื้อตอบว่าไม่ท่าเดียว
พอชาวบ้านจะจ่ายค่าตอบแทนให้ คิริเอะก็ปฏิเสธไม่รับเงินเช่นกัน
(ตรงนี้เหมือนจะสื่อว่า เมืองนี้ยังไม่ได้รับการฟื้นฟูที่ดีนัก ชาวบ้านก็คงมีฐานะไม่ต่างจากเนโร
คิริเอะเลยปฏิเสธไม่รับเงิน เพื่อให้ชาวบ้านเก็บเงินไว้ใช้จ่ายอย่างอื่นแทน)
ถ้าหากได้รับค่าตอบแทนจากการปราบปีศาจ ก็มักจะเป็นเนื้อ ผัก หรือข้าวของเครื่องใช้ต่างๆมากกว่า
คิริเอะมักจะใส่เสื้อผ้าตัวเดิมตลอด แต่เธอก็ยังตัดเย็บเสื้อผ้าให้เนโรและเด็กกำพร้าที่รับมาเลี้ยงดู
เมื่อมีรถตู้ร้าน DMC เนโรก็สามารถไปรับงานนอกเมืองได้ และทำเงินจากงานนั้นให้คิริเอะและเด็กๆที่เค้าดูแล
.
เนื่องจากพวกเขาไม่มีเงินมากนัก รถตู้ที่ซื้อมาเลยมีสภาพใกล้พังเต็มที พวกเขาร่วมกันซ่อมแซมทำให้มันดูใหม่ขึ้นมา
พอออกไปทำงานนอกเมือง นิโค่ก็ยุ่งมากกับตรวจสอบเอกสารงานวิจัยของภาคีในเมืองฟอร์จูน่า แต่ก็ไม่ได้อะไรคืบหน้า
นิโค่ท้องร้องด้วยความหิว คิริเอะก็เรียกให้ทั้งคู่ไปทานข้าวเย็น
เนโรบอกให้นิโค่ไปก่อนเลย แล้วจะตามไปหลังจากเก็บของเสร็จ
.
นิโค่ทานข้าวเย็นร่วมกับคิริเอะ และเด็กกำพร้าทั้งสามคน จูลิโอ, ไคลล์, และคาร์โล
สถานเลี่ยงเด็กกำพร้านั้น ไม่ได้ถูกสร้างขึ้นมาใหม่ตั้งแต่เหตุการณ์ในภาค 4
ดังนั้นจึงขึ้นอยู่กับคนจิตใจดีแบบเนโรและคิริเอะที่จะรับเด็กเหล่านี้ไปดูแล
นิโค่ชมว่าอาหารที่คิริเอะทำนั้นอร่อยเป็นประวัติการณ์
จนไม่แน่ใจว่าเนโรไปคว้าผู้หญิงสมบูรณ์พร้อมราวเทพธิดาแบบนี้มาเป็นแฟนได้ยังไง
.
คิริเอะแปลกใจที่เนโรไม่มาทานข้าวสักที เธอส่งคาร์โลที่อายุน้อยที่สุดไปนั่งบนตักของนิโค่
หลังจากนั้นคิริเอะก็ไปเช็คว่าเนโรกำลังทำอะไรอยู่
เธอเรียกเนโร และบอกว่าอาหารเย็นของเขากำลังจะเย็นชืดหมดแล้ว
เนโรตะโกนกลับมา ห้ามไม่ให้เธอเข้ามาในโรงรถ เธอหยุดและยืนตะลึงอยู่ตรงนั้น
.
เมื่อรู้สึกได้ถึงอันตราย นิโค่ส่งคาร์โลไปให้จูลิโอ หลังจากได้ยินเสียงร้องอย่างเจ็บปวดรวดร้าวจากโรงรถ
คิริเอะวิ่งนำหน้าไป และนิโค่วิ่งไล่หลังตามมา
.
ภาพที่เห็นทำให้นิโค่สั่นสะท้านไปถึงกระดูกสันหลัง โรงรถถูกปกคลุมเต็มไปด้วยเลือด
คิริเอะประคองร่างของเนโรพลางกรีดร้องถึงชื่อของเขา
นิโค่สังเกตเห็นว่าแขนขวาของเขาตั้งข้อศอกลงไปถูกตัดขาด
เธอตะโกนใส่เขาว่าเธอทิ้งให้เขาอยู่คนเดียวแค่ไม่กี่นาที กลับมีสภาพแบบนี้
แต่เนโรไม่ตอบ... ชายผู้มักจะนิ่งเฉยเสมอเวลาเธอดูถูกเขา และตอบโต้กลับด้วยสายตาที่ว่างเปล่า
.
นิโค่บอกให้คิริเอะโทรเรียกหมอ ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าคนที่ทำร้ายเนโรอาจจะยังอยู่แถวนี้
นิโค่ดึงปืน Blue Rose จากเนโรออกมาเผื่อต้องใช้มันปกป้องพวกเขา
นิโค่หยิบเชือกจากกล่องอุปกรณ์ และใช้มันพันรอบรอยตัดของแผลหวังที่จะหยุดเลือด
ระหว่างที่พยายามห้ามเลือด เธอก็บ่นออกมาดังๆตลอดว่าใครมันเป็นคนทำกับเนโรแบบนี้
พร้อมกับสบถสาบานว่าจะเจาะกะโหลกมันคนนั้นให้แตกเหมือนวอลนัท
.
นิโค่ครุ่นคิดว่าใครกันที่จะทำแบบนี้ เธอกังวลถึงความเป็นไปได้ที่มนุษย์จะมาตัดแขนเนโรได้ไวจนไม่น่าเชื่อขนาดนี้
เธอต่อสู้กับความคิดที่ว่า ใครคนนึงที่บุกเข้ามาได้รวดเร็ว ตัดแขนเนโรและหายไป
โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าใครคนนั้นไม่มีเจตนาจะฆ่าเนโร
.
ทันใดนั้น นิโค่จำได้ว่าเคยอ่านบันทึกวิจัยของแอกนัสเกี่ยวกับดาบยามาโตะ
แอกนัสทำการซ่อมแซมเศษดาบยามาโตะที่ศูนย์วิจัยชายฝั่งนอกเมืองฟอร์จูน่า
นิโค่พยายามคิดย้อนไปถึงตอนที่คุยกับเนโรเกี่ยวกับดาบยามาโตะ
เนโรบอกว่า ดาบยามาโตะเป็นของพี่ชายดันเต้ เธอถามเขาว่าแล้วตอนนี้มันอยู่ที่ไหน ฟังแล้วยามาโตะมันดูมีพลังอำนาจมากๆ
แน่นอนว่าเธออยากจะทำการศึกษาวิจัยดาบยามาโตะ
.
เนโรถามนิโค่ว่าอยากจะดูมายากลสักหน่อยมั้ยล่ะ แล้วก็ใช้แขนขวาของเขาทำให้ดาบยามาโตะปรากฏออกมา
พอได้เห็นดาบยามาโตะก็ทำให้นิโค่ตื่นเต้นและพูดติดอ่าง(อีกแล้ว)
นิโค่ถามอีกว่าเขาทำได้ยังไง เนโรก็ตอบว่าเขาเองก็ไม่ได้เข้าใจอะไรมากนัก
รู้เพียงแต่ว่าดาบเล่มนี้มันถูกเก็บไว้ในแขนของเขา และบอกว่านิโค่ไม่สามารถวิจัยเกี่ยวกับสิ่งนี้ได้ เพราะมันจะอันตรายเกินไป
.
นิโค่รู้สึกงุนงงที่จะสงสัยใครสักคนที่โจมตีเนโร เพื่อชิงดาบยามาโตะมากกว่าที่จะฆ่าเนโร
จบบทนี้พร้อมกับที่หมอมาถึงโรงรถ
---------------------------------------------------------
Morrison Chapter 1 (maybe spoiler)
มอริสันเดินลงมาจากถนน พร้อมกับหอบช่อดอกไม้ (ดอกเยอบีร่า)
เข้าเดินไปที่บาร์ Bobby's Cellar บาร์ที่ปรากฎในฉบับนิยายของภาคแรก
มอริสันไม่ได้มาที่นี่มากกว่าสิบปีแล้ว เขาเคยมาที่นี่เพื่อหาข้อมูลสำหรับงานชิ้นหนึ่ง
.
เขาเห็นว่าชื่อร้านได้ถูกเปลี่ยนเป็น Grue's Cellar ชื่อเดียวกับ Grue จากนิยายเล่มแรก
ข้างในบาร์มีลูกสาวของ Grue ที่รอดชีวิตมาได้ Tiki และ Nesty
.
มอริสันได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่นจากสองพี่น้อง
และได้มอบช่อดอกไม้ให้พวกเธอ เพื่อแสดงความยินดีที่พวกเขาได้รับสืบทอดกิจการ
พวกเธอทั้งสามคน รวมถึงผู้หญิงที่ชือ Sally ที่กำลังเปิดแชมเปญฉลอง
.
(ตรงนี้ขอรวบรัดตัดตอนข้ามไป เพราะเนื้อหาส่วนใหญ่พูดถึงนิยายภาคแรก ซึ่งแปลแล้วไม่รู้จะเกลาประโยคยังไงให้ดูเมคเซนส์)
.
ระหว่างที่ทั้งสี่กำลังฉลองกันอยู่ มีชายคนหนึ่งเข้ามาในร้าน
ทั้งตัวของเขาเต็มไปด้วยรอยสัก ถือไม้เท้า ผิวและใบหน้าซีดเผือดดูไม่มีชีวิตชีวา
ในมือของเขาถือหนังสือปกหนา บนหน้าปกมีตัวอักษร V ปรากฏอยู่
มอริสันมองและตัดสินว่านี่คงจะไม่ใช่มนุษย์แน่ๆ
.
เหล่าคนในปาร์ตี้พยายามอธิบายกับชายปริศนาว่า นี่คือปาร์ตี้ส่วนตัว ตอนนี้ร้านปิดอยู่
แต่ชายคนนั้นไม่สนใจ พร้อมกับถาม "มอริสันใช่ไหม?"
มอริสันพยักหน้า แล้วถามกลับว่าต้องการอะไร
ชายปริศนาบอกว่า "พาข้าไปพบดันเต้ที"
มอริสันถามว่านี่คือ 'งานพิเศษ' หรือเปล่า ชายปริศนาพยักหน้าตอบ
มอริสันตกลง ว่าชายคนนี้คือลูกค้าคนนึงที่ต้องการความช่วยเหลือเรื่องปีศาจ
มอริสันกล่าวขอโทษบรรดาหญิงสาว บอกว่าเขามีธุระกิจต้องไปจัดการ
.
มอริสันและวี ออกมาคุยกันนอกร้าน มอริสันถามว่าวีมีเงินสดใช่ไหม
เพราะดันเต้คงไม่รับงานเกี่ยวกับปีศาจถ้าไม่มีค่าตอบแทน
เพราะถ้าไม่มีเงิน ธุรกิจที่ไม่ค่อยเฟื่องฟูคงจะเดินหน้าต่อไปได้ยาก
วีตอบสนองด้วยการควักปึกธนบัตรออกมาหลายๆปึก บางปึกมีเลือดเปรอะอยู่ด้วย
.
ทันใดนั้น มอริสันได้ยินเสียงร้องคร่ำครวญจากทางด้านหลังของเขา
เขาเห็นชายคนนึงนอนจมกองเลือดอยู่ ในขณะเดียวกันก็ถูกนกตัวใหญ่โจมตีใส่
.
วียื่นแขนเหยียดออกมาตรงๆ และนกตัวนั้นก็มาเกาะที่แขนเขา
มอริสันถามว่า นี่คือนกของวีหรือ? แต่นกนั่นก็ตอบด้วยตัวมันเอง ว่าวีนั่นแหละคือนกของมัน
มอริสันก็รู้ทันทีว่านกตัวนี้มันไม่ได้จดจำคำพูดแบบนกแก้ว นกขุนทอง แต่มันพูดด้วยความรู้สึกนึกคิดของมันเอง
.
นกนั่นพูดติดตลกกับมอริสัน ว่าเงินก็คือเงินวันยันค่ำ
ถ้ามันสกปรก แล้วเขาอยากได้ธนบัตรที่สะอาดๆ ก็ไปแลกแบงก์ใหม่สะอาดๆที่ธนาคารซะสิ
.
วีบอกกับมอริสัน ว่าถ้าเงินที่เขาให้ไปยังไม่มากพอ เขาสามารถไปเอามาเพิ่มได้
มอริสันรู้ทันทีว่าต้องมีคนเจ็บตัวเยอะขึ้นแน่ๆ หากเขาเรียกเงินเพิ่มขึ้น
เขาจึงบอกว่าเงินจำนวนนี้เพียงพอแล้ว เงินทั้งหมดนี่ เพียงพอที่จะช่วยเพื่อนของเขาเรื่องความยากจนแล้ว
.
มอริสัน วี และนก ร่วมเดินทางเพื่อไปพบดันเต้ แต่ระหว่างนั้นมอริสันมีสถานที่ที่ต้องแวะอีกสองสามแห่ง
---------------------------------------------------------
Dante Chapter 3 (maybe spoiler)
สำนักงาน Devil May Cry นั้น น้ำไม่ไหล ไม่มีแก๊ซหุงต้ม ไม่มีไฟฟ้า หรือสายโทรศัพท์เพื่อติดต่อรับงานมาสักเดือนนึงแล้ว
และมอริสันก็มาเยือน คนที่ดันเต้ยินดีเสมอเมื่อได้พบกัน เพราะเขามักจะได้รับงานเสมอเมื่อเจอมอริสัน
.
มอริสันถามว่าดันเต้อยากได้ยินข่าวดีหรือข่าวร้าย
ดันเต้ตอบว่าอันไหนก่อนก็ได้ และมอริสันก็บอกข่าวร้ายกับเขาก่อน
เขาบอกว่าแพตตี้ เด็กสาวที่ดันเต้ดูแลเมื่อสิบปีก่อน นั้นโกรธดันเต้มาก
เธออยากจะชวนดันเต้ไปงานวันเกิดของเธอ แต่ว่าเบอร์โทรศัพท์ของเขามันติดต่อไม่ได้
ดันเต้นั้นไม่ได้เกลียดแพตตี้ เขาตัวสั่นทุกครั้งที่คิดว่าจะไปร่วมงานปาร์ตี้กับคนปกติมากกว่าเธอคนนั้น
.
มอริสันบอกถึงข่าวดี ว่ามีงานชิ้นใหญ่สำหรับดันเต้ จ่ายเงินสดซะด้วย
มอริสันถือโอกาสเอาเงินนั้นไปจ่ายค่าบิลต่างๆให้ดันเต้
ดันเต้ก็เศร้าเล็กน้อย เพราะอยากเอาเงินนั่นไปซื้อไอศกรีมสตรอเบอรี่ซันเดย์มากกว่า
.
พอพูดว่าเขาอดกินไอศกรีมจบ ไฟของโทรศัพท์สำนักงานก็สว่างขึ้นพร้อมกับมีสายเข้า
แพตตี้นั่นเองที่เป็นคนโทรมาเพื่อชวนดันเต้ไปงานปาร์ตี้
ดันเต้วางสาย แต่แพตตี้ก็โทรมาไม่หยุด ดันเต้เลยดึงสายโทรศัพท์ออกซะเลย
.
มอริสันแนะนำให้ดันเต้คุยรายละเอียดงานกับลูกค้า ระหว่างที่เขาจะไปคุยเรื่องงานกับเลดี้และทริช
ดันเต้บอกว่า "เฮ้ ฉันคนเดียวเอาอยู่หรอกน่า"
แต่มอริสันก็มองแล้วพูดเตือนเขา "งานชิ้นใหญ่"
.
ดันเต้มองไปที่ลูกค้าที่ยืนอ่านหนังสือ หลังเรียบพิงกำแพงอยู่ เขาคิดว่าไอ้หมอนี่โคตรประหลาด
ดันเต้ถามชื่อลูกค้าคนนี้ แต่วีตอบกลับว่า "ข้าไม่มีชื่อ ข้าเพิ่งเกิดเมื่อสองวันก่อนนี่เอง"
วีปิดหนังสือ ยิ้มมาให้ดันเต้ "ล้อเล่นน่า เจ้าเรียกข้าว่าวีก็ได้"
เห็นชัดๆว่ามันคือนามแฝง ดันเต้นั้นไม่สนใจว่าใครจะใช้ชื่อปลอมหรือนามแฝงในร้านของเขา
.
วีใช้ไม้เท้าในการพยุงตัวเดินมาทางดันเต้ แต่ดันเต้คิดว่าวีอาจจะแกล้งเดินแบบนั้น
แต่ทั้งหมดนี้ วีก็ดูไม่ใช่คนธรรมดาอยู่ดี
.
วีบอกว่า มีปีศาจที่ทรงพลังตนหนึ่งถูกชุบชีวิตขึ้นมา และเขาต้องการให้ดันเต้ช่วย
ดันเต้สงสัย ว่าผู้คนที่จ้างงานเขากำหนดความแข็งแกร่งให้ปีศาจยังไง
เพราะสำหรับเขาบางทีก็เจอ ปีศาจที่แข็งแกร่ง และ ปีศาจกากๆ แต่สุดท้ายก็น่าผิดหวังทุกที
ดันเต้เริ่มคิดว่าการกำจัดพวกปลวกอาจจะมีอะไรให้ท้าทายสักนิดก็ได้
ยังไงก็ตาม เขาก็ไม่อยากให้พวกปีศาจมาเดินลอยหน้าในโลกมนุษย์อยู่ดี
.
วีบอกกับดันเต้ว่า ปีศาจตนนี้แตกต่าง เพราะปีศาจตนนี้เป็นเหตุผลให้ดันเต้ต้องต่อสู้กับปีศาจทั้งหลาย
ดันเต้มองมาที่วีตรงๆ และเขาสามารถบอกได้ว่า วีนั้นไม่ใช่ปีศาจ
ในเมื่อวีไม่ใช่ปีศาจ แล้ววีรู้เรื่องเกี่ยวกับปีศาจตนนี้ได้ยังไง
.
ดันเต้ถามถึงชื่อของปีศาจที่เขาจะต้องไปสู้ ถ้ามันมีเหตุผลจริงๆให้เขาต่อสู้ เขาจำเป็นต้องรู้ชื่อของเป้าหมาย
วีบอกชื่อของปีศาจตนนั้น---
---------------------------------------------------------
Lady Chapter 1 (maybe spoiler)
มอริสันมาเยี่ยมเลดี้ ที่ห้องพักของเธอในโรงแรม
ทั้งสองคนนั่งดูรายการถ่ายทอดสดทางทีวี เป็นข่าวต้นไม้ยักษ์ที่โผล่ขึ้นมากลางเมือง
เลดี้พูดว่าไอ้สิ่งนั้นมันไม่ได้เหมือนต้นไม้เลย เหมือนสิ่งมีชีวิตอะไรสักอย่างที่ตัวใหญ่มหาศาลมากกว่า
.
มอริสันคุยกับเลดี้ ว่าถ้าพวกเขาจัดการกับ "บอส" ได้ล่ะก็ ต้นไม้น่าจะหายไป
.
เลดี้ถาม ว่ามอริสันติดต่องานนี้กับเธอทำไม ในเมื่อดันเต้คนเดียวก็น่าจะปิดงานได้
ยิ่งถ้าเขาร่วมมือกับทริชก็น่าจะพอแล้ว
มอริสันบอกว่าเขามีความรู้สึกสังหรณ์ร้ายกับงานนี้
เลดี้เชื่อว่า มอริสันตึงเครียดกับงานนี้จริงๆ เพราะตั้งแต่แรกที่เจอกันก็ไม่เคยมีท่าทีแบบนี้มาก่อนเลย
มอริสันจับมือกับเลดี้ และบอกว่าเธอต้องไปตามกำหนดเวลาที่แน่นอน ในสถานที่ที่กำหนดกันไว้ล่วงหน้า
(วางแผนให้เลดี้ไปสมทบกับดันเต้ในสถานที่แห่งนึง)
.
เลดี้ถามว่า อะไรทำให้งานรอบนี้อันตรายมากขนาดนั้น มันก็แค่ปีศาจตนนึงที่อ้างตัวว่าเป็นราชาปีศาจไม่ใช่รึไง?
มอริสันตอบเธอ ว่างานนี้มันเกี่ยวข้องกับราชาปีศาจตนนึงที่ถูกชุบชีวิตขึ้นมา
เลดี้ "ก็ถ้ามันคือราชาปีศาจตัวเดียวกัน งั้นดันเต้ก็เคยปราบมันได้แล้วไม่ใช่รึ?"
เลดี้เล่าว่า ทริชเคยเล่าให้เธอฟัง ว่ากองทัพปีศาจของมุนดัสนั้นทำให้แม่ดันเต้ต้องตาย
และในครั้งนั้นดันเต้หนีเอาชีวิตรอดมาได้ และ 12 ปีต่อมาเขาถึงได้ไปล้างแค้นให้เธอ
.
มอริสันรู้ดี ว่าดันเต้เคยปราบมุนดัสมาแล้ว แต่เขาก็อยากจะป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิดเอาไว้ก่อน
เลดี้ถามว่าทำไมมอริสันถึงกระวนกระวายกับเรื่องนี้นัก
มอริสันตอบสั้นๆมาว่า "ชื่อเมือง" (หมายถึงชื่อของเมืองที่กำลังโดนโจมตีในข่าว)
.
เลดี้หันไปดูรายงานข่าวในทีวีอีกครั้ง และตรงหัวข่าวรายงานว่า
"ปรากฏกาณ์ลึกลับในเมือง Red Grave City"
ชื่อของเมืองนั้น เหมือนชื่อที่สลักบนปืนของดันเต้
.
เลดี้คิดย้อนไปถึงตอนที่เคยถามดันเต้ ถ้าเนล โกลด์สตีน เป็นคนที่สร้างปืนคู่นั้นให้เขา
เธอถามแบบนั้นเพราะบนปืนบาซูก้าของเธอก็มีชื่อ โกลด์สตีน เหมือนกัน จะใช่ผลงานของคนเดียวกันหรือไม่
แต่ปืนของเธอเป็นผลงานของ ร็อค โกลด์สตีน ลุงของนิโค่
ดันเต้ถามเกี่ยวกับร็อค ว่ามีทักษะสร้างอาวุธยังไงบ้าง และเลดี้ตอบว่าก็ไม่เลว
แต่เลดี้คิดว่าลูกสาวของเขา นิโค่ นั้นมีทักษะที่เหนือกว่าร็อค
สุดท้าย เลดี้ก็ไปขอให้นิโค่สร้างอาวุธให้แทน
(อธิบายเสริมเผื่อลืม ร็อค โกลด์สตีน เป็นลุงแท้ๆของนิโค่ และเป็นเหมือนพ่อบุญธรรมในเวลาเดียวกัน)
.
ดันเต้หยิบปืน Ebony และ Ivory ออกมา และถามเลดี้ว่าร้านเวิร์คชอปของร็อคอยู่ที่ไหน
และนั่นทำให้เลดี้นึกถึงชื่อ RedGrave ที่สลักอยู่บนปืนของดันเต้
เธอคิดว่า ชื่อที่สลักบนปืน และชื่อของเมือง ทั้งสองอย่างมันต้องเกี่ยวโยงกับอดีตของดันเต้แน่ๆ
---------------------------------------------------------
V Chapter 1 (maybe spoiler)
วีรู้สึกว่ามอริสันนั้นทำงานได้ยอดเยี่ยม ในการรวบรวมคน ตั้งแต่ ดันเต้ เลดี้ และทริช
พวกเขาทั้งหมดเดินทางไปเมือง Red Grave ด้วยเฮลิคอปเตอร์
ต้องขอบใจมอริสันสำหรับการเตรียมงานอันรวดเร็วแบบนี้
วี เลดี้ ทริช และดันเต้ ตอนนี้พวกเขาทั้งหมดอยู่ภายในต้นไม้ยักษ์ ภายในนั้นมีแต่กลิ่นน่าสะอิดสะเอียน
.
ในขณะที่อยู่ในต้นไม้ยักษ์ พวกเขาก็ได้ยินเสียงคำรามที่ทำให้รู้สึกสังหรณ์ไม่ดี และพื้นที่รอบๆก็เริ่มสั่นไหว
วีเชื่อว่ามันคือควันหลงของการคืนชีพราชาปีศาจ
แผนเดิมของวีคือ พวกเขาทั้งสี่จะทำการจู่โจมก่อนที่ราชาปีศาจจะถูกปลุกขึ้นมา แต่เหมือนเขาจะมองโลกในแง่ดีเกินไป
.
ดันเต้บอกให้วีหนีออกไปซะ อย่ามาเป็นตัวถ่วง
วีตอบกลับว่า คำพูดแบบนั้นมันจะให้ตัวตนในอดีตของเขาหงุดหงิด
แต่วีก็ทำตามที่ดันเต้บอก และเริ่มแยกตัวออกไป
.
กริฟฟอนบินตามมาและตกใจในการกระทำของวี พร้อมถามว่าวีจะแยกตัวออกไปจริงๆหรือ?
ด้วยความที่คุ้นเคยกับปีศาจของเขา วีนั้นเปิดเผยแผนการที่กำหนดไว้ และยังคงใจเย็นค่อยๆอธิบาย
วีบอกว่า ไม่มีเวลาที่จะมาห่วงความภาคภูมิใจที่เขาเคยมีอีกแล้ว
.
วีบอกกับกริฟฟอนว่า เขาจะไปเอาไอ้หนุ่ม(เนโร) มาเป็นเบี้ยประกันไว้ก่อน
กริฟฟอน "ไอ้หนุ่ม? เฮ้ย วี เอ็งหมายถึงไอ้เนโรเด็กเหลือขอนั่นรึ? อย่ามาตลก
ไอ้หมอนั่นโดนขโมยแขนขวาไป แล้วมันจะเอาอะไรไปสู้"
วีตอบกลับว่าก็ยังดีกว่าไม่ทำอะไรเลย
วีรู้สึกว่าการได้เชื้อไขของสปาร์ด้ามาช่วยสู้ อาจจะเพิ่มโอกาสในการเดิมพันที่จะเอาชนะราชาปีศาจได้
เหมือนว่าวีนั้นคุ้นเคยกับราชาปีศาจตนนี้ดี และเขาจะไม่ยอมเสี่ยงอะไรไปมากกว่านี้
.
วีออกมาจากต้นไม้ยักษ์ และใช้เฮลิคอปเตอร์เดินทางไปยังเมืองฟอร์จูน่า
กริฟฟอนถามวีด้วยอาการประสาท ว่าวีนั้นรู้สึกว่าทุกอย่างมันเสี่ยงขึ้นใช่มั้ย
วีได้แต่พยักหน้าตอบ
---------------------------------------------------------
Trish Chapter (maybe spoiler)
ทริชนั้นถูกสร้างขึ้นมาโดยมุนดัส โดยให้มีลักษณะภายนอกเหมือนกับอีวา ภรรยาของสปาร์ด้า
มุนดัสส่งกองทัพลูกสนุนของมันเพื่อมาฆ่าอีวา และลูกๆของสปาร์ด้า
ระหว่างที่พวกมันทำการสังหารอีวา ดันเต้และเวอร์จิลก็หนีไปได้
มันคือเรื่องยุ่งเหยิงในภายหลัง เมื่อพวกเขาเติบโตขึ้นและมาแก้แค้นกับมุนดัส
.
มุนดัสค้นพบเวอร์จิลก่อน เพราะเวอร์จิลไม่ได้อำพรางตัวและใช้ตัวตนปลอมเหมือนดันเต้
ยังไงก็ตาม เวอร์จิลนั้นได้รับมรดกจากสปาร์ด้าตั้งแต่ยังเด็ก นั่นคือดาบยามาโตะ
และใช้ดาบนั้นจัดการกับลูกสมุนของมุนดัส ที่ถูกส่งมาฆ่าเขา
.
สิบปีต่อมา มุนดัสก็ค้นพบตัวดันเต้ ที่ใช้ชื่อปลอมเพื่ออำพรางตัวตนในชื่อ โทนี่ เร้ดเกรฟ
มุนดัสส่งปีศาจมาจัดการโทนี่ แต่ก็โดนจัดการจนสิ้นซากอย่างง่ายดาย
และนั่นก็เป็นการยืนยัน ว่าโทนี่ คือดันเต้
.
มุนดัสตัดสินใจสร้างปีศาจขึ้นมาเพื่อใช้ในการล้างแค้น
มุนดัสได้สร้างปีศาจนักรบอัศวินดำ โดยใช้ข้อมูลจากการต่อสู้ของสปาร์ด้า ดันเต้ และเวอร์จิล
อัศวินปีศาจพวกนั้นทั้งตัวหุ้มด้วยเกราะที่สร้างโดย Machiavelli ช่างฝีมือจากนรก
มุนดัส ฝึกฝนให้อัศวินของมันมีประสบการณ์ต่อสู้หลากหลายรูปแบบ
แต่พวกมันนั้นไม่สมบูรณ์ตามธรรมชาติที่สร้างขึ้นมา และก็มีพลังที่จำกัด จากการที่เป็นปีศาจเทียม
นั่นหมายความว่าพวกมันไม่แข็งแกร่งพอที่จะส่งไปฆ่าเวอร์จิลและดันเต้
.
ช่วงเวลาก่อนที่ดันเต้และเวอร์จิลจะต่อสู้กันเอง เวอร์จิลได้เดินทางไปทั่วโลก
ระหว่างนั้นเขาได้ศึกษาเกี่ยวกับผนึกประตูโลกปีศาจของสปาร์ด้า และต้องการพลังนั้นมาเป็นของตนเอง
ดันเต้นั้นดูหมิ่นเวอร์จิลอย่างมากที่กระหายในพลังแบบนี้
.
เมื่อมุนดัสรู้ว่าฝาแฝดได้ต่อสู้กันเอง มันตัดสินใจที่จะเฝ้าดูอยู่เฉยๆ เพราะการต่อสู้ครั้งนี้เป็นประโยชน์ต่อตัวมันอย่างยิ่ง
เวอร์จิลพ่ายแพ้และบาดเจ็บในการต่อสู้กับดันเต้ และร่วงหล่นมายังโลกปีศาจจนพบกับมุนดัส
ซึ่งทำให้มุนดัสได้เปรียบ
แต่มุนดัสก็ตัดสินใจว่าจะยังไม่จัดการให้สิ้นซากในคราวเดียว
มุนดัสรู้สึกว่าการจะเอาชนะเวอร์จิลในตอนนี้ก็ทำได้ง่ายๆ และมุนดัสต้องการพลังของเวอร์จิล ในสถานภาพที่อ่อนแอที่สุด
.
มุนดัสจับตัวเวอร์จิลไว้ และใช้เขาในการทดลองปีศาจอัศวินดำ
ผลลัพธ์คือ มันได้ปีศาจอัศวินที่ทรงพลังที่สุดที่เคยสร้างมา
มุนดัสตั้งชื่อให้กับอัศวินตนนี้ว่า เนโล แองเจโล่
แต่มุนดัสก็ไม่สามารถควบคุมอัศวินตนนี้ได้อย่างเบ็ดเสร็จ และเขาต้องการกำราบเวอร์จิลให้ได้
จึงได้มอบสร้อยเครื่องรางคืนให้เวอร์จิล สัญลักษณ์แห่งพลังที่เขาต้องการอย่างมาก
.
ตอนนี้มุนดัสมีปีศาจที่จะใช้สำหรับล้างแค้นแล้ว
แผนการต่อไปคือล่อให้ดันเต้มายังโลกปีศาจ มันค่อนข้างดีกว่าที่จะส่งเนโล แองเจโล่ไปยังโลกมนุษย์
ด้วยแผนการนี้ เขาจึงสร้างทริชขึ้นมา
เธอถูกสร้างขึ้นมาและจงใจให้รูปลักษณ์ของเธอนั้นเหมือนกับแม่ของดันเต้
เพื่อที่จะใช้ความได้เปรียบในความรักที่มีต่อแม่ของดันเต้ ทำให้เขาใจอ่อน ล่อให้เขามายังเกาะมัลเล็ต
.
ระหว่างทริชนึกถึงการพบกันครั้งแรกระหว่างเธอและดันเต้ เธอก็ตื่นขึ้นมาและอยู่ในต้นไม้ปีศาจ
ในขณะที่หอบหายใจอย่างแรง เลดี้ถามเธอว่าเพิ่งจะตื่นหรือไง
ทริชกล่าวขอโทษสำหรับความไม่ระมัดระวังของเธอ และลุกขึ้นยืน
เลดี้ถามว่าทริชยังสู้ไหวไหม เธอตอบแค่ว่า "ยังพอไหว"
.
แม้จะมีความคิดว่านี่เป็นงานง่ายๆ แต่พวกเขากำลังดิ้นรนต่อสู้กับอูไรเซ็น
ดูเหมือนอูไรเซ็นนั้นไม่ได้รับรู้เลยว่าพวกเขาอยู่ตรงนั้น แต่ยังคงนั่งอยู่ที่เดิมกับอะไรสักอย่างที่ดูเหมือนบัลลังก์ของมัน
.
ทริชและเลดี้ช่วยกันโจมตีใส่อูไรเซ็น แต่ก็ไม่ได้ผล มีวัตถุรูปร่างประหลาดที่ลอยอยู่รอบๆ ปกป้องมันไว้อยู่
ทริชจะใช้ดาบสปาร์ด้าโจมตี แต่ก่อนที่เธอจะได้ทำ อูไรเซ็นก็ปลดปล่อยคลื่นพลัง กระแทกพวกเธอจนกระเด็นถอยหลังออกมา
.
ทริชเกร็งแขนขวาของเธอ และทำการอัญเชิญปืน Artemis (ปืนเลเซอร์ในภาค 3)
อาวุธปีศาจที่ดันเต้เคยใช้ ผลงานซึ่งถูกสร้างโดย Machiavelli
ทริชยิงกระสุนเลเซอร์กระจัดกระจายออกไปในอากาศหลายนัด หวังว่ามันจะโจมตีโดนหลายจุดและโดนตัวอูไรเซ็น
แต่อูไรเซ็นก็ใช้คลื่มลมอัดกระแทกปัดกระสุนพวกนั้นจนกระเจิงหายไป
ทริชได้แต่พูดออกมาดังๆ "เป็นไปไม่ได้...พลังนี่มัน..."
.
ทริชนึกในใจ ว่าเธอเองก็เคยได้ยินข่าวลือเกี่ยวกับการโจมตีของปีศาจมาบ้าง
ถ้าหากเธอเจอบางตัวที่ไม่เคยเผชิญหน้ามาก่อน มันก็จะยังอยู่ในประเภทที่คล้ายๆกันบ้าง
แต่เมื่อมาเจอกับอูไรเซ็น เธอไม่เคยรู้อะไรเกี่ยวมันมาก่อนเลย
.
ทริชพูดออกมาจนเงียบไป.. "ดันเต้..." เมื่อเธอพยายามนึกถึงตัวตนของอูไรเซ็น
---------------------------------------------------------
Nero Chapter 3 (maybe spoiler)
เนโรฟื้นขึ้นมาหลังจากนอนโคม่าไปหลายวัน เมื่อเขาตื่นขึ้น วีก็ยืนอยู่ข้างๆเตียงของเขาแล้ว
เนโรตั้งท่าป้องกันตัวทันที เนื่องจากเหตุการณ์ล่าสุดที่เพิ่งเกิดขึ้นกับเขา
แต่วีก็ยังคงยิ้มมาให้เขา
วีสารภาพว่าเขาเข้ามาทางหน้าต่าง และแนะนำตัวเองว่าชื่อ วี
.
เนโรมักจะใช้แขนขวาของเขาเป็นประจำเพื่อที่จะระบุว่าใครเป็นปีศาจ
แต่แขนขวาตอนนี้ถูกห่อไว้ด้วยผ้าพันแผล ระหว่างกำลังรื้อฟื้นในความคิดว่าเกิดอะไรขึ้น
เนโรก็ถามด้วยสีหน้าบึ้งตึงว่าวีเป็นใครกันแน่
.
วีบอกกับเนโรว่า เขารู้ว่าปีศาจตนไหนที่มาขโมยแขนของเขาไป
ปีศาจที่ตอนนี้ได้พลังจากดาบยามาโตะด้วยการขโมยแขนเนโร ที่ตอนนี้ดันเต้กำลังหาวิธีไปเผชิญหน้ากับมัน
.
เนโรถามว่า วีรู้เรื่องนี้ได้ยังไง วีตอบกลับมาว่าเขาเองก็กำลังตามล่าปีศาจตัวเดียวกับดันเต้
ปีศาจตนเดียวกันที่ขโมยแขนเนโร วีบอกอีกว่าเขาไม่สามารถปราบปีศาจตนนี้ได้ด้วยตัวคนเดียว
ดังนั้น เขาจึงไปจ้างวานให้ดันเต้มาช่วย
หลังจากนั้น วีได้ชวนให้เนโรไปกับเขา ถ้าเนโรคิดว่าดันเต้เองก็ไม่สามารถปราบศัตรูตนนี้ได้เพียงลำพัง
.
เนโรเองก็ทั้งสงสัยและไม่อยากจะเชื่อว่ายังมีศัตรูที่ดันเต้ไม่สามารถปราบได้อยู่อีกหรือ
เนโรใช้มืออีกข้างไปจับบริเวณผ้าพันแผลที่แขนขวา เหมือนจะส่งภาษากายว่า "แล้วฉันจะทำยังไงดี"
ทันใดนั้น ลายสักที่แขนของวีก็เริ่มบิดตัวไปมา และกลายเป็นนก ออกมาจากแขนเขา
.
กริฟฟอนเรียกวี ว่าไอ้คนเฉื่อยชา แล้วบอกกับวีว่าให้รีบๆหน่อย ให้ไปยัง 'ที่นั่น' ได้แล้ว เวลาจะไม่เหลือแล้ว
เนโรคิดว่านกตัวนี้มาจากวี แต่วีก็พูดด้วยเสียงกังวาลจากปากเขา
วีถามเนโรว่า ถ้าเขารู้สึกไม่มั่นใจว่าเขาเองสามารถปราบปีศาจตนที่ขโมยศักดิ์ศรีและแขนขวาของเขาไปล่ะก็นะ
.
เนโรตอบสนองด้วยการขบฟันครุ่นคิด เขาเองก็ยอมรับว่าวีนั้นมีพิรุธ
แต่เขาก็ต้องการสิ่งที่ถูกขโมยไปจากเขาคืนมา
หากเขาไปกับวี ก็อาจจะได้หนทางตามรอยปีศาจตนนี้ และมันมีเพียงโอกาสเดียวในตอนนี้ที่จะทำเช่นนั้น
.
เนโรนึกถึงประสบการณ์ต่อสู้ด้วยแขนข้างเดียว ซึ่งเขาเคยทำมาแล้ว ในตอนที่เลือกจะซ่อนแขนขวาจากสายตาผู้คน
ปัญหาตอนนี้ติดอยู่อย่างเดียวคือ คิริเอะ
เธอคงไม่อนุญาตให้เขาออกไปทำการตามล่าปีศาจ ด้วยสถานการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้นแบบนี้
.
เนโรถามวี ว่าสามารถรอเขาอีกนิดได้ไหม เพราะเขาจะไปเอาดาบ Red Queen และปืน Blue Rose
เขาวางแผนที่จะแอบไปเอาอาวุธในโรงรถ โดยที่ไม่ทำให้คิริเอะและนิโค่รู้ตัว
วีและกริฟฟอนพูดพร้อมกันว่า รีบหน่อยล่ะ
---------------------------------------------------------
Dante Chapter 4 (maybe spoiler)
ดันเต้ถามอูไรเซ็น ว่ามันคือราชาของกองขยะจริงๆหรอ?
ดันเต้มาถึงสถานที่ตั้งของบัลลังก์อูไรเซ็น และสังเกตเห็นว่าเลดี้และทริชนอนไม่ได้สติอยู่
ดันเต้พูดว่า แบบนี้มันเซอร์ไพรซ์เขามากทีเดียว สองคนนั้นเป็นสาวที่น่ากลัวที่สุดในโลกนี้แล้วนะ
.
ดันเต้เล็งปืน Ebony และ Ivory ไปทางอูไรเซ็น และพูดว่า แบบนี้เหมือนเขาจะแจ็คพอตแตกเลยแหะ
ดันเต้นั้นสงสัยในคำพูดของวีตั้งแต่แรก แต่หลังจากเห็นทริชและเลดี้แพ้หมดสภาพ
เท่านี้มันก็ชัดเจนเพียงพอสำหรับเขาแล้ว ว่าปีศาจตนนี้เป็นใครกันแน่
และเขาจะไม่มีทางยอมให้มันฟื้นคืนชีพขึ้นมาเด็ดขาด
.
ในที่สุดอูไรเซ็นก็พูดครั้งแรก "ดันเต้..."
มันก็ยิ่งชัดเจนขึ้น กับคำพูดของวีที่อธิบายกับดันเต้ในตอนนั้น 'เหตุผลที่นายต้องต่อสู้'
.
ดันเต้พูดว่า มันน่าสงสารแหะที่แกยังไม่ตายให้พ้นๆไปซะที ถ้าอย่างนั้นฉันจะส่งแกกลับนรกอีกครั้งเอง
ดันเต้เริ่มใช้ปืนคู่ของเขา ระดมยิงใส่ไม่ยั้ง แต่วัตถุประหลาดที่อยู่ข้างๆอูไรเซ็นก็หยุดกระสุนทั้งหมดก่อนที่จะไปถึงตัวมัน
ดันเต้จึงคว้าดาบ Rebellion ออกมาแทน และแกว่งดาบพุ่งเข้าไปโจมตีใส่อูไรเซ็น
แต่วัตถุประหลาดนั่นก็ยังหยุดการโจมตีของเขาได้
.
มันยากที่ดันเต้จะระบุได้ว่าไอ้ปีศาจตนนี้คือใคร จากวิธีพูดด้วยเสียงจากในคอ
แต่มันก็มีแค่คนเดียวเท่านั้นที่จะเบี่ยงวิถีการโจมตีจากดาบของเขาได้
ดันเต้พูดกับอูไรเซ็นว่า แกแข็งแกร่งกว่าครั้งสุดท้ายที่เจอกันนะ
แต่ปีศาจตนนี้ก็ได้แต่พ่นเสียงหัวเราะออกมา
.
ดันเต้บอกว่า ถ้าแบบนี้เขาจะใช้พลังทั้งหมดและแปลงสู่ร่างปีศาจ และบอกอูไรเซ็นให้รีบมาจบเรื่องไวๆ
เขาไม่ได้มีเวลาทั้งวันหรอก ยังมีงานวันเกิดที่รอเขาไปร่วมฉลองอยู่
---------------------------------------------------------
Morrison Chapter 2 (maybe spoiler)
มอริสันอยู่ตรงตลาดเมือง Red Grave และมองเห็นต้นไม้ปีศาจได้ชัดเจน
ผ่านไปประมาณหนึ่งวันแล้วที่ต้นไม้ปรากฏออกมา และชาวเมืองต่างพากันถ่ายรูปกับต้นไม้ หรือไม่ก็สวดภาวนา
ผ่านไปสามชั่วโมงแล้ว ตั้งแต่ส่งดันเต้ ทริช และเลดี้ เข้าไปข้างในต้นไม้
ผ่านไปครึ่งชั่วโมงแล้วตั้งแต่วีกลับมา พร้อมเจ้าหนุ่มเนโร
.
มอริสันคิดเกี่ยวกับชื่อเมือง Red Grave และนามแฝงของดันเต้ --โทนี่ เร้ดเกรฟ นั้นมันไม่เหมือนกัน
มอริสันคิดว่า ดันเต้หรือโทนี่ นั้นมีชื่อเสียงเกี่ยวกับลางร้าย ตั้งแต่ตอนที่เจอกับมอริสันครั้งแรก
ทหารรับจ้างแต่ละคนก็ปฏิเสธที่จะทำงานร่วมกับเขา เพราะไม่อยากจะตาย
.
มอริสันตั้งทฤษฎีนี้ขึ้นมา เพราะดันเต้เป็นบุตรแห่งสปาร์ด้า เป็นศัตรูโดยธรรมชาติของเหล่าปีศาจ
เพื่อความปลอดภัยของดันเต้ เขาจึงรับโทนี่ เร้ดเกรฟ มาเลี้ยงดู บุคคลที่จำเป็นต้องซ่อนตัวจากปีศาจ
ชื่อเสียงเรื่องลางร้ายของโทนี่ เริ่มต้นตั้งแต่ปีศาจเจอตัวเขาครั้งแรก และก็โจมตีใส่เขาทันที
ยังไงซะมันก็คือการคาดเดาของมอริสัน
เพราะราชาปีศาจที่แข็งแกร่งก็ได้ปรากฏตัวที่เมือง Red Grave นี้แล้ว
.
ดันเต้มักจะใช้เวลาไม่กี่นาทีเพื่อจบงาน มากสุดก็ชั่วโมงนึง
พอดันเต้หายไปถึงสามชั่วโมงแบบนี้ มอริสันก็เริ่มที่จะเป็นห่วงเขาแล้ว
"เราก็รู้จักกันมานานแล้ว นายไม่เคยเจอปัญหาใหญ่ขนาดนี้ คงจะตึงมือน่าดูเลยสินะ?"
---------------------------------------------------------
Nero Chapter 4 (maybe spoiler)
หลังจากเนโรและวี เข้ามาในต้นไม้ปีศาจ
เนโรมองเห็นดันเต้กำลังสู้กับอูไรเซ็นจากระยะไกล เห็นว่าดันเต้ยังคงมีชีวิตอยู่และยังคงต่อสู้ไม่จบ
เนโรตั้งคำถามว่าทำไมดันเต้ยังอยู่ที่นี่
วีบอกเนโรว่าอย่าประเมิณพลังของปีศาจตนนี้ต่ำเกินไป มันขโมยแขนของเนโรเพื่อที่จะได้รับพลังที่มหาศาลมากขึ้น
.
วีบอกว่าจะล่วงหน้าไปก่อน ให้เนโรรีบตามไป อย่าชักช้า หลังจากนั้นวีก็เกาะกริฟฟอนแล้วบินออกไป
เนโรพูดออกมาดังๆ ว่าวีมันน่าสงสัยจริงๆ
.
เนโรคิดในใจถึงเหตุผลเรื่องที่วีมันน่าสงสัย ไหนจะใช้นามแฝง มองยังไงก็มีพิรุธ
พูดอะไรแต่ละทีก็พูดเท่าที่จำเป็นเท่านั้น รวมถึงความสามารถแปลกๆนั่นอีก
แต่ยังไงเนโรก็ยังอยากจะเชื่อ ว่าสิ่งที่วีพูดมันคือความจริง
ไม่ว่าจะน้ำเสียง สายตา หรือแม้กระทั่งการปรากฏตัวของเขา
มีอะไรบางอย่างเกี่ยวกับวี ทำให้เนโรอยากจะตามเขาไปโดยที่ไม่มีเหตุผล
.
เนโรพูดว่าเขาจะไปตามที่วีบอก พร้อมกับเอามือซ้ายไปจับไหล่ขวาแล้วโยกไปมา
"ชั้นต้องไปสะสางบัญชีกับไอ้ลูกหมานั่น"
.
เนโรคิดเกี่ยวกับศัตรูที่ดันเต้สู้ด้วย ปีศาจที่แม้แต่ดันเต้ยังปราบไม่ได้
แม้จะรู้ว่าตัวเนโรเองก็คงไม่มีโอกาสที่จะเอาชนะมันได้เหมือนกัน แต่เขาก็เดินหน้าไปยังเป้าหมายต่อไป
เขาไม่มีทางให้อภัยปีศาจที่มาชิงแขนขวาของเขาอย่างแน่นอน และเขาต้องการจะชิงเอาดาบยามาโตะคืนมาด้วยตัวของเขาเอง
.
เนโรเริ่มคิดว่าทำไมเขาถึงได้รับดาบยามาโตะมาครอบครอง
ในเมื่อภารกิจเดิมของดันเต้ คือชิงดาบยามาโตะกลับมา(ในภาค 4)
แต่หลังจากนั้นดันเต้กลับยกดาบยามาโตะให้เนโรง่ายๆ เหมือนให้ลูกกวาดกับเด็กน้อย
เนโรยังคงไม่เข้าใจเรื่องนี้ต่อไป
แต่ในข้อเท็จจริงแล้ว ดาบยามาโตะนั้นทรงพลังมาก หมายความได้ว่าดันเต้นั้นไว้วางใจเนโรจริงๆ
เนโรจึงรู้สึกผิดที่เสียดาบยามาโตะไป เพราะมันเหมือนกับการทรยศความเชื่อใจของดันเต้
.
ปีศาจหน้าตาเหมือนแมลงวัน รูปร่างเหมือนตั๊กแตนตำข้าว มาขวางทางเนโรเอาไว้
เนโร "รู้สึกมีแรงจูงใจขึ้นมาแล้วสิ ลุยกันเลย!!" ก่อนที่จะเร่งเครื่องดาบ Red Queen แล้วพุ่งเข้าใส่ฝูงปีศาจ
---------------------------------------------------------
V Chapter2 (maybe spoiler)
หลังจากวีแยกกับเนโรและล่วงหน้าไปก่อน เขาก็กำจัดปีศาจตลอดทาง เพื่อให้แน่ใจว่าเนโรจะไปถึงตัวอูไรเซ็นเร็วขึ้น
ต้นไม้ปีศาจ Qliphoth นั้นทำหน้าที่เหมือนหลุมที่เชื่อมต่อโลกปีศาจกับโลกมนุษย์เอาไว้
ปีศาจนับไม่ถ้วนต่างพากันแห่ออกมาและไล่ล่าเลือดมนุษย์
.
แม้จะเคลียร์อุปสรรคตามทางให้บ้างแล้ว เนโรก็ยังคงมาไม่ถึง
กริฟฟอน(นก) ก็บ่นว่าเนโรนั้นมาช้า ชาโดว์(เสือดำ) ก็ส่งเสียงหอนรับเบาๆจากบริเวณเท้าของวี
กริฟฟอนแปลภาษาให้-- "ไอ้เหมียวนี่ก็คิดอย่างนั้น"
.
วีเปลี่ยนรูปแบบของชาโดว์ให้เคลื่อนไหวได้เร็วขึ้น และออกไปตามหาเนโร
เขารู้ว่าชาโดว์จะช่วยเรื่องการเคลื่อนที่ได้ดีกว่าสมรถภาพปัจจุบันของตัวเขา
ในขณะเดียวกัน วีพูดแค่ว่าเหลือพลังอีกไม่มากในขณะที่เขาใกล้จะตาย
.
วีมาเจอเนโรกำลังต่อสู้กับปีศาจอยู่ เนโรก็ยืนยันว่าเขาไม่ต้องการให้ช่วย
แต่แล้วปีศาจกลุ่มใหญ่ก็โผล่ออกมาอีก กริฟฟอนเริ่มโจมตีใส่พวกมันทันที
กริฟฟอนพูดกับเนโร "ยังไม่เข้าใจอีกรึไง? ไอ้ฮีโร่ ขยับตูดไปได้แล้ว เดี๋ยวตรงนี้อั๊วจัดการเอง"
หลังจากนั้นกริฟฟอนก็ตะโกนสั่งวี ให้รีบมาปลิดชีพพวกปีศาจตัวที่ไม่เหลือพลังแล้ว
.
มีคำอธิบายว่าทำไมวีถึงต้องเป็นคนโจมตีปลิดชีพศัตรูในการโจมตีสุดท้าย
วีอธิบายเพิ่มว่าความสามารถของชาโดว์และกริฟฟอนนั้น เหมือนกับ 'จิตนภาพ' (คำแปลตรงๆก็ ความฝัน)
ในขณะที่พวกปีศาจสามารถเจ็บปวดได้ด้วยความฝันของพวกมัน แต่ก็ไม่สามารถใช้ฆ่าพวกมันได้
ในทางเดียวกัน เหล่าอสูรอัญเชิญของเขา สร้างความเจ็บปวดให้พวกปีศาจได้ แต่ไม่สามารถใช้ฆ่าได้
จึงเป็นหน้าที่ของวีที่ต้องทำการปลิดชีพปีศาจที่กำลังเป็นทุกข์จากความฝัน
วีปลิดชีพเหล่าปีศาจและเรียกพวกมันว่า 'ขยะ'
(เอาตามที่ผู้แปลเข้าใจ ลองเปรียบเทียบว่าการโจมตีของอสูรอัญเชิญ จะเป็นการโจมตีไปที่วิญญาณของพวกปีศาจ
พอวิญญาณลดลงจนไม่เหลือพลังใจที่จะสู้ ร่างกายพวกมันก็เคลื่อนไหวไม่ได้
และวีก็จะโจมตีทางกายภาพไปที่จุดตายทีเดียว สร้างความเสียหายทางกายเนื้อโดยตรง)
---------------------------------------------------------
Nico Chapter 3 (maybe spoiler)
คิริเอะเหม่อลอยหลังรู้ข่าวว่าเนโรหนีออกจากโรงพยาบาล
เธอถามนิโค่ด้วยน้ำเสียงสั่นเครือว่าควรจะทำยังไงกันดี
นิโค่ดึงเธอเข้ามากอด บอกว่าพวกเราทำอะไรไม่ได้ทั้งนั้น นอกจากรอ
แต่เนโรจะกลับมาในเร็วๆนี้แน่นอน
.
นิโค่สังเกตเห็นว่าปืน Blue Rose และดาบ Red Queen หายไปจากโรงรถ
เธอเชื่อว่าที่เนโรหายไป ก็น่าจะไปสู้กับคนที่ขโมยแขนขวาของเขาไป
.
นิโค่รู้สึกว่านี่ไม่ใช่เนโร คนที่จะทำให้คิริเอะกังวลใจขนาดนี้
แต่มันก็พอเข้าใจได้-- มันไม่มีทางที่จะอยู่เฉยๆ กับเรื่องที่เกิดขึ้นกับเนโรในสถานการณ์ปัจจุบันของเขา
นิโค่ได้แต่หวังว่าเนโรจะรู้ ว่าควรจะไล่ล่าใคร และจะตามหาพวกมันได้ที่ไหน
.
จูลิโอเข้ามาในโรงรถ นิโค่พยายามไล่เขาออกไป และบอกว่ายังไม่ถึงเวลาที่จะกิน
ถึงอย่างงั้น เขาก็บอกกับนิโค่ ว่าเขาเห็นเฮลิคอปเตอร์เมื่อคืนนี้
.
นิโค่เริ่มถามหาคำตอบเรื่องเฮลิคอปเตอร์จากจูลิโอทันที
เขาบอกว่าเห็นเฮลิคอปเตอร์ลงจอดที่นอกเมือง แล้วหลังจากนั้นมันก็ขึ้นบินหายไป
เป็นเรื่องที่ไม่ค่อยเกิดขึ้น ปกติจะไม่มีเฮลิคอปเตอร์ในเมืองฟอร์จูน่า
นิโค่คิดว่าการที่เฮลิคอปเตอร์โผล่มา และเนโรหายไป มันต้องเกี่ยวข้องกันแน่นอน
.
คิริเอะยังคงกังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้อยู่ และนิโค่ก็พยายามปลอบให้เธอสบายใจ
"เหมือนที่ฉันพูดแหละ เราทำอะไรไม่ได้ นอกจากรอ ไม่ต้องห่วง เนโรมันเป็นคนแข็งแกร่ง ไม่เป็นอะไรไปง่ายๆหรอก"
คิริเอะพยักหน้าอย่างเข้าใจ
.
นิโค่บอกว่าคิริเอะนั้นไปจากที่นี่ไม่ได้ เพราะเธอยังมีเหล่าเด็กกำพร้าที่ต้องดูแล
แต่เนโรก็บ้าบิ่น ที่ทิ้งคิริเอะไปโดยไม่มีเบาะแสอะไรเลย ที่จะระบุว่าตัวเนโรอยู่ที่ไหน
.
นิโค่บอกคิริเอะ ว่าเธอจะไม่กินอะไรซักพัก ในขณะเดียวกันก็ให้คิริเอะคอยกันพวกเด็กๆให้อยู่ห่างจากโรงรถ
คิริเอะถามว่าทำไม นิโค่ตอบว่าเธอจะทำการออกแบบอุปกรณ์ใหม่ทั้งคืน และต้องการมีสมาธิให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
.
นิโค่ต้องการสร้างแขนเทียมให้เนโร แต่เธอไม่ต้องการสร้างพวกแขนเทียมธรรมดาทั่วไป
เธอจะสร้างแขนที่เร้าใจและมีพลังที่จะช่วยในการต่อสู้ให้เนโร
นิโค่สามารถใช้ผลงานวิจัยของแอกนัส ที่จะสร้างสิ่งที่ทรงพลัง ที่จะบรรจุปีศาจใส่ในแขนที่ประดิษฐ์ขึ้นมา
.
ระหว่างที่สูบบุหรี่อยู่ข้างนอก นิโค่พ่นควันลอยไปบนอากาศ และหวังว่าเนโรนั้นจะกลับมาอย่างปลอดภัย
---------------------------------------------------------
Nero Chapter 5 (maybe spoiler)
ระหว่างที่ต่อสู้กับอูไรเซ็น เมื่อดันเต้ปลิวกระเด็นไปข้างหลัง เนโรก็มาถึง
เนโรตะโกนเรียกดันเต้ แต่ดันเต้ก็นอนปวกเปียกอยู่
เนโรยังเห็นทริชและเลดี้ที่นอนน็อคไม่ได้สติเช่นกัน
.
กิ่งก้านจากต้นไม้ปีศาจเลื้อยมาถึงดันเต้ เนโรรีบยิงปืน Blue Rose สกัดทันที ทำให้มันพับและหลบไป
เนโรยิ้มที่ได้ช่วยดันเต้ไว้ เหมือนที่ดันเต้เป็นผู้ช่วยชีวิตเขา
เพราะดันเต้ ชาวเมืองฟอร์จูน่าและคิริเอะจึงปลอดภัย
เนโรต้องการที่จะตอบแทนการช่วยเหลือของดันเต้ และแน่นอนว่าเขาจะปกป้องดันเต้ในการต่อสู้นี้
.
เนโรพูดใส่อูไรเซ็น "เฮ้ย ไอ้กร๊วก แม่แกไม่เคยบอกหรือไง ว่าขโมยของคนอื่นมันไม่ดี"
อูไรเซ็นไม่ตอบสนองอะไร เนโรคว้าดาบ Red Queen ออกมาแล้ว ระหว่างที่เร่งเครื่องก็พูดอีก
"โทษทีนะดันเต้ ฉันจะสอยไอ้หมอนี่เอง"
.
เนโรเหวี่ยงตัวเข้าโจมตีไปพร้อมกับดาบ Red Queen แต่วัตถุประหลาดก็ป้องกันการโจมตีของเขาก่อนจะถึงเป้าหมาย
เขาพยายามทำลายการป้องกันนี้ ด้วยการเร่งเครื่องของดาบ Red Queen ให้แรงขึ้นไปอีก
ระหว่างนั้น กิ่งต้นไม้ก็มาโจมตีใส่เขา เขาไม่สามารถยิง Blue Rose สกัดได้อีกเพราะมีแขนเพียงข้างเดียว
และกิ่งต้นไม้ปีศาจก็ดีดเขากระเด็นออกมา หลังจากนั้นพื้นก็สั่นไหวเหมือนลางสังหรณ์ไม่ดี
.
เนโรได้ยินเสียงกริฟฟอนตะโกนมาจากทางด้านหลังของเขา
"แบบนี้ไม่ดีแล้ว นี่มันถึงจุดจบแล้ว" วีและกริฟฟอนกำลังใกล้เข้ามาจากทางด้านหลังเนโร
.
เนโรตั้งทฤษฎีว่า หากเขายังโจมตีใส่วัตถุประหลาดไปเรื่อยๆ เขาจะทำลายมันลงได้
ยังไงก็ตาม เนโรรู้ตัวว่าตอนนี้เขาไม่มีพละกำลังพอที่จะทำตามทฤษฎีที่คิดไว้ได้ ในขณะที่เขาทำได้แค่เพียงหอบหายใจ
.
อูไรเซ็นตั้งท่ายกมือขึ้น เนโรเชื่อว่ามันกำลังจะโจมตีปิดฉากครั้งสุดท้าย แต่เขาไม่เหลือแรงที่จะเคลื่อนไหวแล้ว
ทันใดนั้นก็มีกระสุนปืนมาหยุดมือนั้นไว้
.
เป็นดันเต้นั่นเอง ระหว่างที่เล็งปืนไปที่อูไรเซ็นก็พูดว่า "ยกที่สอง"
ดันเต้แปลงเข้าสู่ร่างปีศาจ และพุ่งเข้าไปโจมตีอูไรเซ็น แต่ก็ถูกอูไรเซ็นหยุดเอาไว้อย่างง่ายๆ
หลังจากนั้นพื้นก็เริ่มสั่นไหวอีกครั้ง
.
ดันเต้บอกวีให้พาเนโรหนีไปซะ เนโรตะโกนตอบกลับทันที "คุณจะทำกับผมแบบนี้ไม่ได้ ผมยังสู้ไหว"
เนโรพูดแบบนั้นเพราะเขายังไม่ได้รับบาดแผลจนบาดเจ็บ
ดันเต้หันหัวมาทางเนโรและตะโกนใส่ "ไปซะเนโร แกมันตัวถ่วง"
.
เนโรหยุดนิ่งด้วยความตกใจ เขาไม่เคยนึกมาก่อนว่าดันเต้จะใช้คำพูดอะไรแบบนี้กับเขา
เขามาที่นี่เพื่อช่วยดันเต้ในตอนที่ยังมีโอกาส ในขณะที่ดันเต้ไม่สามารถทำอะไรด้วยตัวเองได้ด้วยซ้ำ
รู้แบบนั้นแล้ว เขาก็ยังไม่อยากจะไป วีจับไหล่เนโรและบอกว่าเขาต้องออกไปแล้ว
แต่เนโรสะบัดไหล่ออก และพยายามที่่จะรีบวิ่งไปที่อูไรเซ็น
.
หลังจากนั้นซากปรักหักพังก็ร่วงหล่นมาจากเพดาน และพื้นรอบๆก็เริ่มสั่นไหวไม่หยุด
เนโรสะดุดล้มไปด้านหลัง และซากเพดานก็หล่นถึงพื้น ปิดทางไม่ให้ไปถึงอูไรเซ็น
.
เนโรพยายามปีนข้ามซากปรักหักพังเพื่อไปให้ถึงดันเต้ แต่วีดึงเขากลับไป
วีบอกว่าเนโรต้องหนีไป เพราะพลังของปีศาจตนนี้มันมากจนเกินจินตนาการ
ในที่สุด เนโรหยุดพยายามผลักวีกลับไป แต่เขาก็ตะโกนกลับไปหาดันเต้
"คุณบอกว่าผมเป็นตัวถ่วงอย่างงั้นหรอ? อย่ามาไร้สาระนะโว้ย!!"
เนโรตระหนักว่าเขาพยายามที่จะมาช่วยดันเต้
แต่เขาก็ไม่เคยคาดคิดว่าจะถูกปฏิบัติใส่เหมือนกับว่าเขาเป็นเศษขยะไร้ค่าแบบนี้
.
วีพูดกับเนโร ว่าถ้าเนโรรู้สึกผิดหวัง งั้นเนโรต้องคิดหาวิธีทางที่จะแข็งแกร่งขึ้น
ถ้าดันเต้แพ้ ก็เหลือแต่เนโรเท่านั้นที่จะปราบอูไรเซ็นได้
เนโรถามว่า นั่นคือชื่อของปีศาจตนนั้นใช่มั้ย วีพยักหน้าตอบ
วีย้ำว่าอูไรเซ็นนั่นแหละ คือปีศาจที่ขโมยแขนของเนโร
เนโรพยายามที่มองไปยังอูไรเซ็น แต่ข้างหน้ามีแต่ซากปรักหักพังบดบังสายตาจนมองไม่เห็น
.
วีบอกเนโรให้รีบและหนีกันไปซะที และเนโรก็ยอมทำตาม
---------------------------------------------------------
Morrison Chapter 3 (maybe spoiler)
ในพื้นที่ภายนอกต้นไม้ปีศาจ มีคนชี้ไปที่จุดนึงของต้นไม้และพูด "เฮ้ย นั่นอะไรอ่ะ?"
ส่วนนั้นของต้นไม้เริ่มบิดเบี้ยว หลังจากนั้นเนโรแและวีก็พุ่งทะลุออกมา พวกเขาทั้งคู่ตรงเข้าไปหามอริสันทันที
.
มอริสันถามว่าเกิดอะไรขึ้นข้างในนั้น แล้วเกิดอะไรขึ้นกับดันเต้
วีตอบเขา ว่าดันเต้ถ่วงเวลาให้พวกเขาหนีออกมา และพวกเขาก็ไม่มีเวลาเหลือมากนัก
ในตอนนี้พวกกิ่งก้านและรากต้นไม้ปีศาจมุดทะลุผ่านพื้นถนน
กิ่งพวกนั้นเริ่มพุ่งเข้าใส่และแทงทะลุผู้คน ทำให้เหล่าคนที่โดนแทงเกิดโรคฮิสทีเรีย
.
มอริสัน "ไม่มีทาง... ดันเต้แพ้งั้นรึ?"
เนโรไปโจมตีพวกรากและกิ่งไม้ปีศาจ แต่วีห้ามเขาไว้ และบอกให้เขาล่าถอยไปก่อน
.
มอริสันถามวี ว่ามีแผนอีกมั้ย วีบอกว่าตอนนี้ไม่มีแผนอะไรทั้งนั้น
รู้อยู่สิ่งเดียวที่พวกเขาต้องการคือ-- พลัง
มอริสันยังคงถามว่ามันจะง่ายขนาดนั้นเลยหรือ วีตอบว่าพวกเขาไม่มีทางเลือก
วีบอกว่าพวกเขามีเวลาเหลือประมาณหนึ่งเดือน แต่หลังจากนั้นโลกจะถึงจุดจบ
.
มอริสันถอนหายใจ บอกว่าพวกเขาเคยเจอคำนายถึงวันสิ้นโลกมาแล้ว แต่ดันเต้ก็จัดการทำลายมันให้เสมอ
มอริสันถามด้วยเสียงที่สั่นเครือ "นี่ดันเต้จะแพ้จริงๆเหรอ?"
วีตอบสั้นๆ "ก็อาจจะ..."
.
มอริสัน "บ้าไปแล้ว..."
มอริสันรู้สึกว่า ในขณะที่อยู่ตรงนี้ เขานั้นช่างไร้ประโยชน์ ที่ไม่สามารถรวบรวมคนที่จะออกไปช่วยแก้สถานการณ์ได้เลย
วี "อย่ายอมแพ้.. พวกมนุษย์จะไม่ยอมแพ้ นั่นคือข้อดีที่สุดของพวกเขา"
.
เนโรที่เงียบมาตลอดจนถึงตอนนี้ ถามขึ้นมาว่า พวกเขาเหลือเวลาอีกเพียงหนึ่งเดือนจริงๆ ก่อนโลกจะล่มสลายจริงใช่มั้ย
วีบอกกับเนโร ให้เขานั้นรวบรวมพลังให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ในตอนนี้เนโรคือความหวังเดียวที่มี
นอกเหนือจากดันเต้ ที่จะเป็นคนปราบอูไรเซ็น
.
เนโรถามมอริสัน ว่าส่งเขากลับเมืองฟอร์จูน่าได้ไหม แล้วเขาจะกลับมาอีกในหนึ่งเดือน
มอริสันนั้นยอมรับในความดื้อรั้นของเนโร และคิดว่ามันน่าจะเป็นไปได้
เพราะเนโรยังเด็ก และพลังที่กล้าแกร่งสามารถเกิดจากเด็กรุ่นใหม่
.
หลายปีก่อนหน้านี้ ดันเต้เล่าให้มอริสันฟัง ว่ามีเด็กหนุ่มที่น่าสนใจอยู่ในเมืองฟอร์จูน่า
และเด็กคนนั้นมีพลังปีศาจที่คล้ายคลึงกับดันเต้ และดันเต้ชอบจรรยาบรรณของไอ้เด็กคนนี้
ดันเต้ขอให้มอริสันสั่งทำป้ายไฟนีออนร้าน Devil May Cry และส่งไปให้เด็กคนนี้
.
วีบอกกับพวกเขา ว่าตัวเขาเองจะอยู่ในเมือง Red Grave ต่อไป
ตัวเขานั้นไม่สามารถเพิ่มพลังได้ แต่จะอยู่ที่นี่เพื่อรวบรวมข้อมูล
เนโรบอกว่า เขาจะกลับมาในอีกหนึ่งเดือน วีพยักหน้าและเดินจากไป
---------------------------------------------------------
Nico Chapter 4 (maybe spoiler)
เมื่อเนโรกลับมาถึงเมืองฟอร์จูน่า เขาถามนิโค่ว่าสามารถสร้างแขนเทียมให้เขาได้ไหม
แต่นิโค่เดินเกมล่วงหน้าเนโรไปหนึ่งสเตปแล้ว หลังจากนั้นก็ถกเถียงเกี่ยวกับไอเดียที่จะใช้พร้อมกับเนโร
นิโค่มีไอเดียแรกเริ่มที่จะปรับปรุงอวัยวะเทียมและใช้เวลาสร้าง 6 เดือน
เนโรบอกกับเธอว่าเขาอยากได้แขนใหม่ที่ทรงพลังภายในหนึ่งเดือน
เธอก็บอกว่าตั้งกรอบเวลาไปก็เท่านั้นสินะ
.
เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา เนโรบอกให้เธอเริ่มสร้างมันตอนนี้เลยได้ไหม
แล้วก็โดนนิโค่ตะคอกใส่-- มันไม่ได้ง่ายเหมือนสร้างแขนพลาสติกกลวงๆซะหน่อย
.
เนโรอาสาที่จะไปขอให้มอริสันช่วยเธอ แต่นิโค่ปฏิเสธ
นิโค่ก็เสียใจที่ไม่สามารถไปพบมอริสันได้ในตอนนี้ แต่เธอเชื่อว่าเขาต้องมีเรื่องเล่าดีๆเกี่ยวกับดันเต้ให้เธอฟังแน่ๆ
.
พูดได้ว่างานของนิโค่ในโรงรถยุ่งขึ้นกว่าเดิม ตั้งแต่เนโรกลับมา
.
ผ่านไปสองวัน เนโรมาถามว่างานเดินหน้าไปถึงไหนแล้ว เธอบอกเขาว่ามีไอเดียลอยอยู่เต็มไปหมด
เนโรก็พูดใส่เธอ "นี่เธอทำงานโต้รุ่งมาสองคืน แต่ไม่มีอะไรจะให้ดูเลยเนี่ยนะ?"
นั่นเริ่มทำให้นิโค่ฉุนขึ้นมา "ไอ้มือสมัครเล่น ส่วนที่สำคัญที่สุดในขั้นตอนนี้คือการวางแผน
แกอยากให้มันออกมาแล้วได้แค่ตะขอมือของโจรสลัดหรือไง"
เนโรได้แต่มองและขอโทษเธอ
เขายอมรับว่ารู้สึกกระวนกระวาย เพราะพวกเขาเหลือเวลาอีกไม่มาก
.
นิโค่บอกว่าเธอเองก็เริ่มกระวนกระวายเหมือนกัน เพราะเธอเองก็อยากจะไปช่วยดันเต้
อยากจะไปดูปืน Ebony และ Ivory และฟังเรื่องเล่าเกี่ยวกับคุณยายของเธอ
เธอพูดว่าจะทำแขนห่วยๆไว้ให้เนโรใช้กินพาสต้าแล้วกัน
.
เนโรกล่าวขอโทษเธอ และบอกว่าเขาจะรอแล้วกัน
นิโค่ได้แต่คิดว่าทำไมสมองของเธอถึงไม่ปิ๊งไอเดียเจ๋งๆ ในเมื่อชะตากรรมของทั้งโลกขึ้นอยู่ที่เธอแล้ว
.
จูลิโอวิ่งเข้ามาหาพวกเขา บอกว่ามีปีศาจปรากฎตัวในป่า Mitis
เนโรถามว่ามันไปทำร้ายช้าวบ้านหรือเปล่า จูลิโอบอกว่าน่าจะไม่ เพราะชาวบ้านพากันซ่อนตัวกันอยู่ในบ้าน
เนโรลูบหัวจูลิโอ และบอกว่าทำดีมากที่มาบอกเรื่องนี้กับเขา
.
ในขณะที่เนโรจะออกไปข้างนอก เขาถามนิโค่ว่าจะไปด้วยกันไหม
ตั้งแต่เธอมาที่เมืองฟอร์จูน่าก็ยังไม่ค่อยเห็นปีศาจมากนัก
เธอมัวแต่ยุ่งกับการอ่านวิจัยทั้งหมดของพ่อเธอจนไม่ได้ไปปราบปีศาจกับเนโร
แต่ในตอนนี้เธอคิดว่าน่าจะมีประโยชน์ถ้าได้เห็นการต่อสู้ระหว่างเนโรและปีศาจ
.
เนโรเริ่มให้คำแนะนำเธอเป็นชุด เพื่อให้แน่ใจว่าเธอจะปลอดภัย (เช่น อย่าเข้าไปใกล้ปีศาจ)
นิโค่บอกว่าเธอไม่ได้เป็นที่สนใจของพวกปีศาจหรอก เพราะงั้นเนโรไม่ต้องเป็นห่วง
---------------------------------------------------------
Nero Chapter 6 (maybe spoiler)
เนโรเข้ามาในป่า Mitis แต่เขาเห็นว่ามันไม่มีอะไรเลย บางทีชาวบ้านอาจจะเห็นหมีก็ได้
นิโค่พูดว่า ชาวบ้านเมืองฟอร์จูน่าคงจะสับสน ระหว่างหมีกับปีศาจ
.
เนโรตอบกลับไปว่าป่า Mitis เคยถูกใช้เป็นสนามฝึกหลักของภาคี
ชาวบ้านจะไม่ค่อยเข้ามานอกจากจะมาเก็บไม้เก็บฟืน
.
เนโรเริ่มคิดหนัก ถ้าปีศาจอยู่ที่นี่ เป็นไปได้ว่าพวกมันอาจจะซ่อนตัวอยู่ที่ท้ายป่า
นิโค่เริ่มเหนื่อยล้า เพราะเพิ่งทำงานติดต่อกันมาสองคืน
แทนที่จะทิ้งเธอไว้ข้างหลัง หรือจะบอกให้เธอกลับบ้านไปคนเดียวก่อน เนโรเลยจูงมือเธอแล้วเดินฝ่าเข้าไปในป่า
.
ทันทีที่ตัวเนโรถูกปกคลุมด้วยเงา เขารู้ทันทีว่าโดนลอบโจมตีจากทางด้านบน
เนโรถีบนิโค่ออกไปให้พ้นจากขอบเขตการต่อสู้ทันที ก่อนจะเริ่มสู้กับปีศาจ เจ้าบลิซท์ (Blitz ตัวสายฟ้าในภาค 4)
.
ระหว่างต่อสู้ เนโรเหลือบมองไปที่นิโค่อย่างรวดเร็ว ในขณะที่เธอยืนนิ่งเป็นหินและยังมีชีวิตอยู่
เนโรก็รู้ทันที ว่าเธอรู้จากบันทึกวิจัยของแอกนัสว่าบลิซท์นั้นมองไม่เห็น
เธอพยายามที่จะไม่ส่งเสียง เพื่อไม่ให้มันรู้ตัวว่าเธออยู่ตรงนั้น
.
เนโรพยายามก่อนกวนบลิซท์ให้มากพอที่นิโค่จะมีโอกาสหนี และทำได้อย่างสมบูรณ์แบบจนนิโค่หนีไปได้
ยังไงก็ตาม หลังหนีจากออกมาได้แล้ว นิโค่รีบเขียนอะไรสักอย่างลงแผ่นบันทึก และโชว์ให้เนโรเห็น
"ฉันได้แล้ว คิดออกแล้ว ฉันได้ไอเดียแล้ว ฉันมันอัจฉริยะ!!!"
เนโรตะโกนใส่เธอ "นี่เธอจริงจังใช่มั้ย?!!!"
.
เมื่อนิโค่ไม่ใช้โอกาสในการหนีออกไปไกลกว่านี้
เนโรจึงไม่มีทางเลือกนอกจากเริ่มใช้ดาบ Red Queen โจมตีและบิดเร่งเครื่อง สร้างเสียงรบกวนให้มากขึ้น
เนโรใช้ดาบ Red Queen โจมตีบลิซท์ และโดนไฟฟ้าของมันกระชากผ่านร่างกายของเขา
เนโรร้องด้วยความเจ็บปวด แต่ก็ยังคงกัดฟันโจมตีต่อไปจนฆ่าบลิซท์ลงได้
.
ในขณะที่หยิบซากของบลิซท์ขึ้นมา เนโรถามว่านิโค่มีแผนจะใช้ชิ้นส่วนจากมันสร้างแขนใช่มั้ย
นิโค่บอกว่าชิ้นส่วนของบลิซท์นั้นไม่ใช่ส่วนประกอบของแขน เธอแค่ได้ไอเดียจากมัน
และเธอจะวิจัยเกี่ยวกับมันแทน ว่ามันผลิตกระแสไฟฟ้าได้ยังไง แล้วจะใช้มันค้นหาวิธีการสร้างแขน
.
เนโรบอกว่าคงจะเป็นไอเดียที่ดี ถ้าพาเธอไปด้วยในการล่าปีศาจในครั้งต่อๆไป
แบบนั้นเธออาจจะได้แรงบัลดาลใจและไอเดียเพิ่มขึ้น
เธอดึงบุหรี่ออกมาและตอบ "รับทราบ"
---------------------------------------------------------
Epilogue Chapter
เนโรกำลังเตรียมตัวกลับไปยังเมือง Red Grave คิริเอะบอกกับเขา ว่าเธอจะอยู่ภายในบ้านคอยดูแลพวกเด็กๆ
เนโรบอกกับเธอว่ามอริสันจะส่งคนมาช่วยปกป้องเมืองฟอร์จูน่า
.
นิโค่บีบแตรรถ และเรียกให้เนโรรีบไปกันได้แล้ว
เนโร "รู้แล้วน่า เงียบๆไปเลย"
.
นิโค่ลงมาจากรถตู้ และบอกกับคิริเอะว่าไม่ต้องเป็นห่วง
ตออนี้เขามีอาวุธจากผลงานของนักประดิษฐ์ขั้นเซียนแล้ว เนโรไม่มีทางตายหรอก
หลังจากพูดคุยล้อเล่นกันแล้ว พวกเขาตัดสินใจว่าการเคลื่อนไหวขั้นต่อไปที่ดีที่สุด คือเนโรไปพบกับวีตามที่สัญญาไว้
.
เนโรกับนิโค่ เดินทางออกไปด้วยรถตู้ร้าน DMC
เนโรตะเพิดใส่นิโค่ ว่าเธอขับรถไม่นิ่มนวลเอาซะเลย นิโค่บอกว่าเธอกำลังกำราบไอ้รถคันนี้อยู่
.
นิโค่มองไปที่แขนของเนโรที่เธอประดิษฐ์มันขึ้นมาเอง และเข็มขัดพร้อมซองสำหรับใส่แขนอะไหล่
เธอรู้ว่าจำเป็นต้องเตรียมเข็มขัดและซองไว้ใส่แขนสำรองเอาไว้
เพราะแขนที่เธอสร้างนั้นทรงพลังก็จริง ก็มันก็พังง่ายมาก
และเธอเชื่อว่ามันเป็นเพราะพลังที่มีเยอะเกินขนาดของแขนเทียมนี้
.
นิโค่เอ่ยปากถามว่าเนโรชอบ "Devil Breaker" นี่ไหม
เนโรก็ถามกลับว่า "Devil Breaker" อะไร?
นิโค่บอกว่ามันคือชื่อที่เธอตั้งให้เจ้าแขนนี่ เหตุผลเพราะมันทรงพลังมากที่จะใช้ทำลายร่างของปีศาจให้ย่อยยับ
เนโร "ไม่ใช่เพราะว่ามันพังง่ายงั้นเรอะ?"
.
นิโค่หน้ามุ่ย และพูดย้ำอีกว่าก็เพราะมันมีพลังมาก ในภาชนะที่เล็กแล้วก็เปราะ
ในทางเดียวกันก็สามารถพกพาแขนพวกนี้ไปได้หลายอันเพื่อชดเชยในข้อด้อยนี้
.
เนโรยอมเงียบ ไม่เถียงกับนิโค่อีก
แต่ก็พูดต่ออีก "เอาเถอะ ยังไงๆเธอก็ทำดีที่สุดแล้ว ฉันก็ไม่คิดว่าเธอจะออกแบบแขนได้ถึงสองโมเดลในเวลาที่จำกัดขนาดนี้"
.
นิโค่สร้างแขน Overture เสร็จในไม่กี่วัน หลังจากเห็นเนโรสู้กับบลิซท์
ระหว่างเธอดูการต่อสู้ของเนโรกับปีศาจ เธอก็ได้ไอเดียที่จะสร้างแขน Gerbera หลังจากมองดอกเยอบีร่าในบริเวณนั้น
เนโรเองก็ไม่มั่นใจนัก แต่เขาคิดว่านิโค่อาจจะชอบดอกไม้ก็ได้
.
นิโค่บอกว่าเธอยังมีไอเดียสำหรับ Devil Breakers เหลืออีก
แต่เธอไม่สามารถสร้างมันได้ในตอนนี้ เนื่องด้วยเวลาและทรัพยากร
เนโรบอกว่า งั้นเขาจะหาวัตถุดิบอย่างว่ามาให้นิโค่ก็แล้วกัน
นิโค่บอกว่าถ้าเนโรเอาซากของปีศาจ หรือเศษชิ้นส่วนของพวกมันกลับมาให้เธอ
เธอก็สามารถสร้างแขน Devil Breakers รูปแบบใหม่ๆให้เขาได้
.
เนโรนึกขึ้นได้ ว่าเขาไม่เคยนึกฝันมาก่อน ว่าเขากับนิโค่จะกลายเป็นเพื่อนร่วมงานกันได้
เพราะเธอคือลูกสาวของศัตรูในอดีต เขาสงสัยว่าดันเต้คงจะคิดแบบเดียวกับเขามั้ย
.
เนโรไม่ได้ข่าวเกี่ยวกับดันเต้มาร่วมเดือนแล้ว เขาได้แต่พูดพึมพำ "รอผมก่อนนะ.. ดันเต้"
.
สำหรับเนโร ศึกภายภาคหน้า จะไม่เพียงแค่การช่วยดันเต้ จะไม่ใช่แค่ช่วยโลกใบนี้
แต่สำหรับเขา มันคือศึกแห่งศักดิ์ศรี--
--to be continued in Devil May Cry 5--
---------------------------------------------------------
ปล. ออกตัวก่อนเลยว่าที่แปลบางช่วงอาจจะดูงงๆ เพราะเพิ่งจะรู้ว่าแปลข้อความจากอังกฤษเป็นไทยแล้วมันยังใช้ไม่ได้
ต้องแปลไทยเป็นไทยให้อ่านแล้วเข้าใจอีก
ถ้าแปลตรงไหนผิดพลาดไปขออภัยไว้ตรงนี้ก่อนเลย
อัพเดต ทำการเรียงลำดับของเนื้อหา ตามลำดับการแปล(ซึ่งจะอิงตามต้นฉบับของนิยาย)
อัพเดต 7/3/2562 แปลทุกบทจนถึง Epilogue Chapter เรียบร้อย
Like : drof666, Sound and Color, coolfear, Onkami, Zolaris, RedRaven
[Edited 11 times devilexe - Last Edit 2019-03-07 13:17:55]
View all 1 comments >
# Fri 1 Mar 2019 : 12:35PM
พรีออเดอร์ไปแล้ว รอดาวน์โหลดวันที่ 5
# Fri 1 Mar 2019 : 12:45PM
ฝั่งเมกา ดูตื่นเต้น กับdmc5 ดีแหะ น่าจะเพราะโดนหมักมานานด้วยแหละ
ปล.หวังว่าเกมส์จะดีจริงนะ
ปล.หวังว่าเกมส์จะดีจริงนะ
# Fri 1 Mar 2019 : 1:00PM
ไม่ชอบ devil trigger ภาคนี้เลย
ผมว่าของภาค 3 เท่สุดเเล้ว ที่ Kazuma Kaneko ออกเเบบอ่ะ
ผมว่าของภาค 3 เท่สุดเเล้ว ที่ Kazuma Kaneko ออกเเบบอ่ะ
Like : Black cat, om_duel
# Fri 1 Mar 2019 : 7:03PM
รอ review ครับ ค่อยจอง
ตัวละครใหม่ คอมโบ จะช้าไหม ดู trailer น่าจะช้ามากๆ
ตัวละครใหม่ คอมโบ จะช้าไหม ดู trailer น่าจะช้ามากๆ
# Fri 1 Mar 2019 : 9:00PM
ขอถามเซียนสายคอมโบหน่อยครับภาคนี้คอมโบง่ายขึ้นไหมครับ เหมือนเคยดูใน youtube สแปมปุ่มกับ jc อยู่กลางอากาศนานๆพอเกือบๆ เท่าภาค DmC อ่ะครับ
View all 4 comments >
Fri 1 Mar 2019 : 9:50PM
ยังตอบมากไม่ได้นะ เอาเท่าที่ทดลองจาก demo นะ
การกดคอมโบไม่ได้ง่ายขึ้นครับ ยังใช้ทักษะการกดเหมือนเดิม แต่แรงค์ขึ้นง่ายกว่าภาคเก่านิดหน่อย
แต่... ไม่ได้ง่ายชิว ๆ ขนาด DmC ครับ
การกดคอมโบไม่ได้ง่ายขึ้นครับ ยังใช้ทักษะการกดเหมือนเดิม แต่แรงค์ขึ้นง่ายกว่าภาคเก่านิดหน่อย
แต่... ไม่ได้ง่ายชิว ๆ ขนาด DmC ครับ
Like : น้องจิงโจ๊, FIRST
Sat 2 Mar 2019 : 9:09AM
ผมเล่นทุกภาคของซีรี่ย์เกมส์แนวนี้ผมไม่ได้เก่งเรื่องคอมโบ แต่พูดได้เต็มปากว่ากากๆอยากผมแรงค์ssได้เหมือนกัน ผมว่าภาคนี้คอมโบมันดูหลากหลายดีด้วย
Like : น้องจิงโจ๊
Sat 2 Mar 2019 : 3:13PM
สำหรับคนเล่นไม่เก่ง บอกเลยว่าง่ายขึ้นครับ
Like : น้องจิงโจ๊
Sun 3 Mar 2019 : 5:27AM
คอมโบง่ายขึ้นครับ timing ของ jc ง่ายขึ้น ไม่มี Inertia ให้งงกับการกดโมเม้นเท่าไหร่ เลยเน้นไปที่การกดคอมโบตามที่เกมมีมาให้มากกว่ากด jc สลับท่ารัวๆน่ะครับ เพราะงั้นเลยเล่นง่ายกว่า เรียกว่าออกไปทาง DmC ในรูปแบบของDMC4 น่ะครับ
Like : น้องจิงโจ๊
# Fri 1 Mar 2019 : 11:05PM
เจิมเลยครับ
เห็นseriesนี้แล้ว ในบอร์ดนี้นึกถึงคุณdevilexeทุกที
เห็นseriesนี้แล้ว ในบอร์ดนี้นึกถึงคุณdevilexeทุกที
Like : devilexe, FIRST
# Sat 2 Mar 2019 : 6:18AM
จัดคีย์ AMD มาแล้ว รอเล่นเลย
Like : Mindlody, "MnemoniC"
<<
<
1
2
3
4
5
6
>
>>
Reply
Vote
Related Thread
Popular Thread
4 online users
Logged In :
Logged In :
member
Since 8/9/2007
(17910 post)