Life is Strange (2015) Game Review
Life is Strange (2015) Game Review
Life is Strange เป็นอีกหนึ่งตัวอย่างของวิดีโอเกม ซึ่งใช้พลังของการหั่นเป็นตอนต่างๆ นอกเหนือจากเกมของค่าย Telltale ได้เป็นอย่างดี ด้วยแต่ละตอนที่วางปม วางเรื่องราว นำเสนอตัวละคร หรือให้บางอย่างกับผู้เล่นตลอดเวลา จนนำไปสู่ความสัมพันธ์ และการตัดสินใจอันแสนยากลำบากในตอนสุดท้าย
ในด้านของเกมเพลย์ Life is Strange ก็ยังคงไม่แตกต่างไปจากเกมของค่าย Telltale ที่อาศัยเนื้อเรื่องและการตัดสินใจของผู้เล่น นำไปสู่ผลลัพธ์ที่แตกต่างเป็นหลัก
แต่จุดหนึ่งที่ดูจะแตกต่างไปจากเกมประเภทเดียวกันอื่นๆ ก็คงจะเป็นธีมและอารมณ์ประเภท Coming of Age ของมัน ซึ่งทำให้ทุกอย่างดำเนินไปอย่างค่อยเป็นค่อยไปมากขึ้น เฉกเช่นระบบการตัดสินใจของผู้เล่น ที่สามารถนั่งคิดได้อย่างเต็มที่ แตกต่างจากเกมของ Telltale ที่มักจะมีเวลาคอยจำกัดเราอยู่เสมอ (โดยเฉพาะ The Walking Dead) แต่ในอีกมิติหนึ่ง ธีมและอารมณ์ประเภทนี้ ก็ให้เวลากับผู้เล่นในการที่จะซึมซับอารมณ์ต่างๆในเกม สร้างสายสัมพันธ์ระหว่างตัวละครกับผู้เล่น จนเข้ากลายเป็นส่วนหนึ่งของเรื่องราวในเกมในที่สุดเช่นกัน
ถ้าหากจะมีจุดติซักจุดใน Life is Strange ก็คงจะเป็นช่วงระยะห่างระหว่างตอนที่เรา 'เล่นเกม' เช่น ควบคุมตัวละครหรือตัดสินใจอะไรบางอย่าง กับช่วงที่นั่งดูคัทซีนเฉยๆ มันไม่ค่อยสมดุลเท่าไรนัก บางฉากนั่งดูคัดซีนนานมากจนแทบหลับ บางช่วงที่น่าจะมีตัวเลือกให้เราตอบเองก็กลับเป็นฉากคัทซีนเล่นต่อกันยาวนาน ทำให้รู้สึกเหมือนไม่ได้เล่นเกม แต่เหมือนนั่งดูทีวีซีรีส์หรือภาพยนตร์เสียมากกว่า ซึ่งในมุมหนึ่งนี้คงไม่ใช่เรื่องดีสำหรับสื่อวิดีโอเกมเท่าไรนัก
ปัญหาจุดนี้ ดูจะส่งผลกระทบเป็นพิเศษต่อตอนสุดท้ายของ Life is Strange ในชื่อตอน 'Polarized' ซึ่งหลากหลายสิ่งใหญ่ๆเกิดขึ้น แต่พอฉากใดฉากหนึ่งไปถึงจุดพีคหรือจุดสูงสุดของมัน แทนที่ตัวเกมจะรีบสานต่อเพื่อที่จะคงอารมณ์ผู้เล่นไว้ได้ กลับมีฉากมาคั่นกลางหรืออะไรที่มาทำให้อารมณ์นั้นสะดุดและขาดตอนตลอดเวลา เช่น ฉากคัทซีนที่แทรกเข้ามาบ่อยครั้ง Puzzle แก้ปัญหาที่ไม่ค่อยน่าตื่นเต้น หรือการเปลี่ยนฉากไปๆมาๆหลายครั้ง เสมือนตัวผู้กำกับคุมการเล่าเรื่องไม่ค่อยจะอยู่ ทำให้อารมณ์พีคจุดนั้นตกลงไปอย่างรวดเร็ว นำมาสู่ฉากจบที่ไม่ค่อยมีอารมณ์ร่วมมากเท่าที่ควร
อย่างไรก็ตาม ในด้านเนื้อหาและประเด็นที่สอดแทรกอยู่ในเกมๆนี้ เรียกได้ว่าน่าทึ่ง น่าค้นหา น่าหยิบมาพูดถึงมากทีเดียว
Life is Strange นำเสนอการปะทะกันของความเชื่อเรื่องสิ่งเหนือธรรมชาติ กับวิทยาศาสตร์ ได้อย่างน่าสนใจ สะท้อนถึงปัญหาเรื่อง Global Warming ผ่านสองมุมมองได้อย่างดี แต่ที่น่าสนใจยิ่งกว่าก็คือการเลือกตัวละครเจ้าของสองความเชื่อนี้ในเกม ให้เป็นการปะทะกันของภารโรงมากประสบการณ์ กับคุณครูวิทยาศาสตร์ นำมาสู่ประเด็นเรื่องชนชั้นอีกขั้นหนึ่ง ซึ่งก็เป็นอีกหนึ่งประเด็นที่ตัวเกมนำมาวิพากษ์วิจารณ์อยู่มากไม่ใช่น้อย โดยเฉพาะการสะท้อนว่าปัญหาการแบ่งแยกชนชั้นเกิดขึ้นมาจากระบบทุนนิยมอันน่ารังเกียจ คนรวยก็เต็มไปด้วยอำนาจที่แทบจะกลืนกินเมืองทั้งเมือง ในขณะที่ชนชั้นแรงงานก็ต้องทำงานอย่างแทบเป็นแทบตายต่อไป
อีกสิ่งหนึ่งที่ตัวเกมพูดถึงค่อนข้างมากเนื่องจากตัวละครและฉากหลังที่อยู่ในช่วงวัยเรียน ก็หนีไม่พ้นการสะท้อนปัญหาการรังแก (bullied) ในสังคมวัยเรียนของอเมริกัน ซึ่งก็สะท้อนได้หลากหลายมุมมองดี แต่ก็ไม่ค่อยมีอะไรแปลกใหม่เท่าไรนัก
แต่แน่นอนว่า ข้อความและประเด็นที่เกมยอดเยี่ยมเกมนี้ ตั้งใจที่จะนำเสนอมากที่สุด ก็คงจะหนีไม่พ้นประเด็นที่อยู่ในชื่อเกม 'Life' หรือ ชีวิต นั้นเอง
"Life is a B*tch" หรือ "ชีวิตมันโคตรไม่ยุติธรรม" ดูจะเป็นคำพูดที่บรรยายสิ่งที่ Life is Strange นำเสนอได้อย่างยอดเยี่ยมและตรงประเด็นมากที่สุด เพราะในขณะที่มันได้มอบประสบการณ์อันแสนประทับใจ สายสัมพันธ์ และความทรงจำที่สวยงามให้กับเรา
มันก็ได้มอบความทรงจำอันแสนข่มขื่น ให้ความรู้สึกที่ตัวละครไม่สามารถที่จะทำหรือเปลี่ยนแปลงอะไรให้ดีขึ้นได้เลย แม้จะมีพลังพิเศษอันแสนเหลือเชื่อก็ตาม ในอีกความหมายก็คือ ชีวิต เป็นสิ่งที่หาทางในการเล่นงานและทำให้เราท้อแท้จนได้ ไม่ว่าเราจะหาวิธีทางหลบหลีกมันเท่าไรก็ตาม ทุกการกระทำของเรานั้นมักจะตามมาด้วยราคาที่เท่าเทียมกันเสมอๆ เฉกเช่นแนวคิด "การแลกเปลี่ยนที่เท่าเทียม"
ท้ายที่สุดแล้ว สิ่งที่เราสามารถทำได้ ก็มีเพียงการยิ้มและเชิดหน้าท้าท้องฟ้า ยอมรับกับชะตากรรมอันแสนไม่ยุติธรรมนี้ เราอาจตั้งคำถามมากมายว่าทำไมมันถึงเกิดเช่นนี้ขึ้นหรือทำไมมันถึงไม่ลงเอ่ยในรูปแบบอื่น คำตอบนั้นง่ายดายมาก ก็เพราะว่านี้แหละคือ "ชีวิต" แม้ว่าสิ่งๆนี้จะทั้งแปลกประหลาด และโหดร้าย แต่มันก็เป็นสิ่งที่ทรงคุณค่ามากที่สุดอย่างปฏิเสธไม่ได้
Life is Strange เชื่อและต้องการที่จะเตือนให้เราระลึกเอาไว้เสมอ ว่าแม้ในวันที่มันดูท้อแท้หรือสิ้นหวังที่สุด จะมีคนคอยสนับสนุนและเป็นกำลังใจให้เราตลอดเวลา แม้เราจะมองไม่เห็นพวกเขาเหล่านั้นก็ตาม
Final Score: [ 9 / 10 ]
Related News
Popular News
แสดงความคิดเห็น
ซื้อตอนมันลดราคาในสตรีม ไม่คาดหวังเลยว่ามันจะดีเด่อะไรมาก
ที่เจ๋งที่สุดคงเป็นการเล่าเรื่องที่ทำให้เราอิน และรักในตัวละครของมัน แต่ละคนมีมิติมีปมที่แตกต่างกันไปเป็นสีเทาๆ ไม่ดีสุด ไม่ร้ายสุด แล้วจนจบเรื่องคือการขมวดปมที่เข้มข้น และกินใจผมมาก
และข้อดีอีกอย่างคืคือ มันเล่นไปกับความรู้สึกของผู้เล่น ตรงที่เพลงที่เลือกใช้ ภาพ แสงเงาต่างๆ บทพูด ทุกอย่างมันกลมกลืนและสร้างอารมณ์ร่วมได้ดีมากสำหรับผมนะ
เล่นเกมนี้มีจุดที่ให้น้ำตาแตก 2 ครั้งนะฮะ ซึ่งปกติผมไม่เคยร้องไห้กับการเล่นเกมส์ไหนมาก่อนเลยจิงๆ
ข้อเสียที่เห็นด้วยกับ จขกท ตรงที่ Puzzle ค่อนข้างตื้นเขิน ไม่ได้สนุกมากเท่าไหร่ แต่มักน็ไม่ใช่แก่นหลักของเกมส์นี้
และส่วนตัวว่า ภาพของเกมส์ตรงมุมมืด นี่แม่งมืดจิงๆ เล่นแล้วมึนหัวชิบหาย
ปกติผมเกลียดการซื้อแบบ digital มากๆๆๆ
แต่เกมนี้มันทำได้...และไม่ผิดหวังจริงๆ