The Hunger Games: Mocking Jay Part 2 (2015) บทวิจารณ์��าพยนตร์โดย FallsDownz
The Hunger Games: Mocking Jay Part 2 ( 2015 ) บทวิจารณ์ภาพยนตร์โดย FallsDownz
"ประกายไฟลุกโชน"
เชื่อว่ามาถึงจุดนี้แล้ว ใครๆก็คงจะปฏิเสธได้ยากถึงความสำเร็จของแฟรนไชส์ The Hunger Games จากหนังสือนวนิยายชื่อดังสู่ภาพยนตร์ที่นอกจากจะสร้างชื่อเสียงของนักแสดง เจนนิเฟอร์ ลอว์เรนซ์ ให้เป็นที่โด่งดังแล้ว ยังกลายเป็นอีกหนึ่งภาพยนตร์จากหนังสือนวนิยายที่มีคุณภาพเหนือแฟรนไชส์ประเภทเดียวกันอื่นๆ โดยเฉพาะใน Catching Fire
ถึงแม้ว่าการตัดสินใจที่จะหั่นหนังสือเล่มเดียวในภาคสุดท้ายเป็นสองส่วนจนพาเอาส่วนแรกกลายเป็นหายนะไปจะเป็นการตัดสินใจที่น่าตั้งคำถาม แต่อย่างไรก็ตาม บทสรุปของแฟรนไชส์ที่แทบจะเรียกได้ว่าสร้างประวัติศาสตร์ให้กับวงการภาพยนตร์ฮอลลีวูดอย่าง The Hunger Games ก็ได้ดำเนินมาถึงจุดจบเสียทีใน Mocking Jay Part 2 ซึ่งมันเป็นความรู้สึกที่น่าใจหายอย่างแปลกประหลาดอีกครั้ง เสมือนตอน Deathly Hallow ของ Harry Potter ในขณะที่เรากำลังเพลิดเพลินอยู่กับการเสกเวทย์มนตร์คาถา หรือเคร่งเครียดไปกับการเมืองอันดุเดือด รู้สึกตัวอีกที เราก็ดำเนินมาถึงจุดจบของอีกหนึ่งแฟรนไชส์ชื่อดังเสียแล้ว
The Hunger Games: Mocking Jay Part 2 ว่าด้วยเรื่องราวต่อมาจาก 3 ภาคที่ผ่านมา สงครามระหว่างแคทนิส กับ สโนว์ ได้เข้ามาถึงจุดแตกหัก ถึงคราวที่เธอจะต้องต่อกรกับเขาและสะสางเรื่องราวที่ผ่านมาให้หมดสิ้น แต่หนทางกลับเต็มไปด้วยกับดักอันร้ายกาจและแสนอันตรายมากมาย แคทนิส จึงต้องทำทุกวิถีทางในการหยุดยั้งสโนว์ให้ได้
ถ้าหากเปรียบเทียบกับภาคล่าสุดอย่าง Mocking Jay Part 1 แล้ว Part 2 นี้ดูจะกลายเป็นการพัฒนาชนิดพลิกหน้ามือเป็นหลังมืออยู่ไม่ใช่น้อย จากภาพยนตร์อันแสนน่าเบื่อชวนหลับ หาอะไรจับต้องแทบจะไม่ได้ กลายมาเป็น บทสรุปอันแสนลุ้นระทึก น่าตื่นเต้น เรื่องราวที่น่าค้นหาชวนติดตาม แต่อย่างไรก็ตาม Mocking Jay Part 2 ยังคงเต็มไปด้วยปัญหามากมายหลายประการ แม้ว่าตัวแฟรนไชส์จะดำเนินมาถึงจุดจบแล้วก็ตาม
ที่ดูจะส่งผลต่อหลากหลายส่วนของภาพยนตร์มากที่สุด ก็คงจะหนีไม่พ้นการกำกับของ ฟรานซิส ลอว์เรนซ์ ที่ยังคงแสดงให้เห็นปัญหาจากภาคที่แล้ว การเล่าเรื่องของเขานั้นถึงแม้ว่าจะไม่ได้ย่ำแย่อะไร แต่ก็ตรงไปตรงมาตามสูตรสำเร็จมากจนเกินไป ขาดความคิดสร้างสรรค์อย่างรุนแรง ทำให้การดำเนินเรื่องคาดเดาง่าย และปราศจากความสดใหม่ ให้ความรู้สึกเหมือนนั่งชมภาพยนตร์สูตรสำเร็จเดิมๆ
กระทั่งตัวภาพยนตร์หลายส่วนเอง ก็ถูกเล่าเรื่องและผลักดันอย่างเร่งรีบ ไม่เว้นแม้แต่ฉากสำคัญๆที่ควรจะกระทบต่อจิตใจผู้ชมอย่างรุนแรง แต่กลับกลายเป็นฉากที่ถูกยัดเยียดเข้ามาอย่างลวกๆ ทำให้ฉากที่ควรจะน่าจดจำ ควรจะกลายเป็นฉากที่เราจะพูดถึงไปอีกนานแสนนาน หายวับไปกับตา จนแทบจะหาอะไรที่น่าจดจำไม่ได้ซักอย่าง
ที่ดูจะน่าเสียดายที่สุด ก็คือฉากแอ็คชั่นทั้งหลายในภาพยนตร์ที่เอาเข้าจริงน่าตื่นเต้น ลุ้นระทึก และเป็นจุดที่น่าจดจำที่สุดในภาคนี้ โดยเฉพาะฉากไล่ล่าใต้ดิน ที่ให้ความรู้สึกถึงภัยอันตรายที่ถาโถมรายล้อมเหล่าตัวละครของเราเข้ามาเสมือนคลื่นที่โหมกระหน่ำอย่างบ้าคลั่ง สร้างความรู้สึกที่เราไม่อาจจะหนีพ้นไปจากสถานการณ์เช่นนี้ จนเกิดอารมณ์ของความ 'สิ้นหวัง' ซึ่งเป็นจุดอารมณ์ที่สูงที่สุดของภาคนี้ และเรียกได้ว่าเป็นจุดที่ทำให้รู้สึกได้ว่านี้คือภาคบทสรุปและสิ่งที่ Mocking Jay Part 2 ตั้งใจจะเป็นอย่างแท้จริง ความรู้สึกที่ว่าภัยอันตรายนั้นอยู่ทุกหนทุกแห่ง และทุกย่างก้าวของเหล่าตัวละครอาจหมายถึงความตาย ไม่ต่างอะไรไปกับตอนที่พวกเขาอยู่ในสนามประลองในภาคก่อนๆ
แต่พอเมื่อฉากแอ็คชั่นเหล่านี้จบลง อารมณ์เหล่านี้ก็ถูกฉกฉวยไปจากผู้ชมอย่างรวดเร็ว และวนลูบกลับมาสู่การเล่าเรื่องอันแสนจืดชืดอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งนี้เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าใน Mocking Jay Part 2 จนเป็นเหตุทำให้บทสรุปของ The Hunger Games ไม่เต็มอิ่ม และไม่น่าจดจำเท่าที่ควร
โชคยังดีที่ทางด้านเทคนิคและทีมโปรดัคชั่นยังคงอลังการ สมจริงเช่นเคย การถ่ายและวางเฟรมภาพในจุดต่างๆก็ยังคงยอดเยี่ยม ทำให้ตัวภาพยนตร์ออกมาน่าดูชมตลอดเวลา การใส่ใจในรายละเอียดเล็กๆน้อยๆของแต่ละฉากก็ยังคงอยู่ในจุดที่น่าทึ่ง
ที่สำคัญคือการแสดงของ เจนนิเฟอร์ ลอวเรนซ์ ก็ยังคงยอดเยี่ยม น่าทึ่งและแทบจะโอบอุ้มตัวภาพยนตร์เอาไว้บนบ่าของเธอ ซึ่งดูจะเป็นสิ่งที่ยังคงโดดเด่นไว้วางใจได้ไม่เปลี่ยนสำหรับแฟรนไชส์นี้
ถึงแม้ว่า Mocking Jay Part 2 จะอยู่จุดกึ่งกลางระหว่างบทสรุปที่ยอดเยี่ยม และบทสรุปที่น่าผิดหวัง แต่ในท้ายที่สุด สิ่งที่แฟรนไชส์ The Hunger Games ได้รับ จากการฝ่าฟันได้มาถึงจุดนี้ ก็ไม่สามารถเป็นอื่นใดไปได้นอกจากความสำเร็จและกลายเป็นอีกหนึ่งเสี้ยวประวัติศาสตร์ของวงการภาพยนตร์ฮอลลีวูด
สุดท้ายแล้ว The Hunger Games: Mocking Jay Part 2 ก็ยังคงไว้ซึ่งการสอดแทรกเนื้อหาที่สะท้อนถึงวงจรแห่งบาปซึ่งไม่มีวันสิ้นสุดของมนุษย์ชาติ ไม่ใช่แค่ในด้านการเมืองที่เต็มไปด้วยเกมแห่งการแสวงหาประโยชน์เพื่อตนเอง แต่ยังรวมถึงธรรมชาติของมนุษย์ที่ไม่ใช่แค่เป็นเผ่าพันธุ์ที่ช่างหยิ่งผยองจองหองเท่านั้น แต่ยังเต็มไปด้วยข้ออ้างล้านแปดประการ สิ่งเดียวที่เราทำได้ก็เพียงแต่หวังโลกในภายภาคหน้าจะเต็มไปด้วยความหวัง ความสงบสุข และใครซักคนที่จะลุกขึ้นมาต่อต้านกับการกระทำที่ไม่ถูกต้องนั้น เพื่อจุดประกายไฟให้ลุกโชน เสมือนสัญลักษณ์แห่งม็อกกิ้งเจย์
Final Score : [ 7 / 10 ]
Related News
Popular News
แสดงความคิดเห็น
หลังจากนั้นก็อึมครึม ผมนึกว่าแคนนิสฝันนะตอนนั้น ที่ไหนได้ คงตามหนังสือแหละ
แต่อยากให้คนสร้างทำฉากที่อิ่มเอมกว่านี้หน่อย ขนาดมีลูก 2 คนแล้ว น่าจะให้เห็นเมืองที่ถูกพลิกฟื้น
คนกลับมาอยู่กันอย่างมีความสุข อะไรแบบนี้
แต่นั่งดูไปก็นึกถึงเมืองไทยไป (คอย) เราจะทำตามสัญญาขอเวลาอีกไม่นาน (ไม่รู้เมื่อไหร่นะ ต้องรอให้ประชาชนหายบ้าก่อน) 5555
ดีใจที่ไม่ได้ไปดูโรง ยิ่งเยอะภาค ยิ่งไม่หนุก สร้างภาคต่อไรนักหนา ส่วนหนังสือ ไม่ชอบ อ่าน..!
ซีรีส์นี้ผมให้พอๆกันทุกภาค คือเฉยๆทุกภาค
นางเอกนี่ใส่เสื้อกล้ามเขียวแหงๆเรื่องนี้
ผมชอบตรงที่ถ่ายทอดออกมาจากนิยายได้ดี
ชอบภาค 2>3.2>3.1>1
คนกำกับภาค 1 แย่มาก
ตอนแรกผมก็คิดว่า คาดเดาง่าย
แต่ไปๆมาๆ เหมือนเป็นความจงใจของบท ที่ทำให้คนดูคิดไปทางนั้น
เพราะ hint มาให้บ่อยเหลือเกิน