Avengers: Age of Ultron ( 2015 ) บทวิจารณ์��าพยนตร์โดย FallsDownz
Avengers: Age of Ultron ( 2015 ) บทวิจารณ์ภาพยนตร์โดย FallsDownz
"อาหารว่างยามเบื่อ"
ในที่สุดเราก็ได้เข้าสู่ปลายช่วง Phase 2 และกำลังจะเข้าสู่ Phase 3 ของมาร์เวลอย่างเต็มตัวเสียที หลังจากที่ทางค่ายมาร์เวล ได้ประกาศตารางภาพยนตร์อีกยาวเหยียดไปจนถึงปี 2019 ใน Infinity War part 2 กันเลยทีเดียว และด้วยเหตุนี้เอง แน่นอนว่าก็ทำให้ภาพยนตร์ของทางค่ายในช่วงนี้ก็เต็มไปด้วยการปูไปสู่อภิมหาสงครามที่จะเกิดขึ้นใน Infinity War ซึ่งAvengers 2 ก็เป็นหนึ่งในภาพยนตร์เหล่านั้น
Avengers: Age of Ultron ว่าด้วยเรื่องราวการทดลองอันล้มเหลวของไอรอนแมน ซึ่งให้กำเนิด อัลตรอนหุ่นยนตร์อัจฉริยะผู้พยายามจะทำลายโลกขึ้นมา กลุ่มอเวนเจอร์จึงต้องรวมตัวกันอีกครั้งหนึ่งเพื่อหยุดแผนการของอัลตรอนก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินแก้
สำหรับ Avengers: Age of Ultron ก็คงต้องบอกว่า ยังคงเป็นภาพยนตร์ที่ดูสนุกได้เรื่อยๆ และเต็มไปด้วยซีจี การกำกับฉากแอ็คชั่นที่ยอดเยี่ยม อลังการงานสร้างตามสไตล์ของมาร์เวลเช่นเคย
โดยในภาคนี้ทิศทางของภาพยนตร์ดูจะเดินไปในทางที่ให้ความสำคัญกับเบื้องลึกเบื้องหลังของตัวละครต่างๆ มากกว่าการเต็มไปด้วยฉากแอ็คชั่นวินาศทุก 5 นาทีแบบ นาทีแบบใน Avengers ภาคแรก ซึ่งก็เป็นแนวทางที่ไม่เลวเลยทีเดียว
เพียงแต่ว่าตัวภาพยนตร์ในภาคนี้ยังค่อนข้างจะเดิมๆไปเสียทุกอย่าง ตั้งแต่ฉากแอ็คชั่น ปมขัดแย้ง ยันตัวละคร พูดง่ายๆว่าทุกอย่างแทบจะเหมือน Avengers ภาคแรกเปะๆ แต่น่าสนใจน้อยกว่า ด้วยสาเหตุที่มันยังคงเต็มไปด้วยมุขเดิมๆ ตัวละครเอกทะเลาะกันเอง ตัวละครร้ายพูดถึงมนุษย์ที่ทำสิ่งแย่ๆ บลาๆๆ ซ้ำซากเหมือนทางผู้กำกับ จอส วีดอน นึกมุขใหม่ไม่ออก ที่สำคัญคือตัวภาพยนตร์ยังเสียเวลาหลายส่วนกับการปูไปสู่ภาพยนตร์เรื่องต่อไปของมาร์เวลทั้งๆที่ตัวมันเองก็แทบจะไม่มีเวลาในการเล่าเรื่องของตัวเองแล้ว เช่นตัวละครอย่างอัลตรอน ที่ถูกเร่งการพัฒนาตัวละครอย่างมาก จนเราแทบจะหาเหตุผลในการกระทำของเขา หรือ รู้สึกเห็นอกเห็นใจเขาไม่ได้เลย
ซ้ำร้ายเข้าไปอีก ก็คือตัวละครร้ายของเรื่องอย่างอัลตรอน ที่ควรจะถูกจัดอยู่ในสุภาษิต "ท่าดีทีเหลว" เพราะนอกจากจะกระจอกงอกง้อยต่างจากฉบับหนังสือการ์ตูนอย่างลิบลับแล้ว ตัวภาพยนตร์ยังพยายามอวยเกินเหตุทั้งๆที่สิ่งที่เห็นตรงหน้ามันต่างกันลิบลับ โดยเฉพาะหลังจากการมาของอีกหนึ่งตัวละครใหม่ซึ่งลดชั้นอัลตรอนจนแทบจะเป็นเศษเหล็กข้างถนน
ยิ่งเมื่อเทียบกับตัวร้ายของภาคที่แล้วอย่าง โลกิ ยิ่งแล้วใหญ่ เพราะอย่างน้อยโลกิก็เป็นตัวละครร้ายที่มีเรื่องราวน่าติดตามมากกว่าอัลตรอนอยู่มาก ในขณะที่อัลตรอนเป็นตัวละครใหม่ ยังดีที่อีกสองตัวละครใหม่ สการ์เล็ต วิช และควิกซิลเวอร์ ยังพอน่าสนใจที่จะดึงฝั่งตัวร้ายให้ดูสูสีกับฝั่งตัวเอกได้อยู่บ้าง (ถึงแม้ว่าเรื่องราวของทั้งสองตัวละครจะโคตร cliché เลยก็เถอะ)
อีกหนึ่งสิ่งที่ค่อนข้างจะจืดชืด ก็คือบทภาพยนตร์ที่ค่อนข้างจะเดาง่าย หรือแนวความคิดที่พูดถึงความเลวร้ายในมนุษย์ ด้านมืดของมนุษย์ก็ช่างซ้ำซาก และยังขยี้ประเด็นได้เบามากๆอีก จนไม่รู้ว่าจะใส่มาทำไม ทั้งๆที่เอาเข้าจริง ประเด็นซ้ำซากจำเจเหล่านี้ก็สามารถเป็นที่ยอมรับ หรือกระทั่งยอดเยี่ยมได้ ถ้าหากถ่ายออกมาได้ดีพอ ทำให้เรารู้สึกอยากเข้าไปสำรวจหรือครุ่นคิดมากพอ แต่สิ่งที่ Avengers 2 เป็นอยู่ในขณะนี้ยังห่างไกลจากคำนั้นอยู่มาก
สุดท้ายแล้ว Avengers: Age of Ultron ก็เป็นภาพยนตร์ที่ให้ความรู้สึกขาดๆอยู่มาก เสมือนทางมาร์เวลกั๊กของดีๆเอาไว้ รวมถึงตัวผู้กำกับ จอส วีดอน เองก็หมดมุข จนทำให้ทุกอย่างจืดชืด ได้เป็นเพียงแค่อาหารว่างฆ่าเวลา รอให้อาหารจานหลักถูกนำมาเสิร์ฟก็เท่านั้น
Final Score: 6.5 / 10
"อาหารว่างยามเบื่อ"
ในที่สุดเราก็ได้เข้าสู่ปลายช่วง Phase 2 และกำลังจะเข้าสู่ Phase 3 ของมาร์เวลอย่างเต็มตัวเสียที หลังจากที่ทางค่ายมาร์เวล ได้ประกาศตารางภาพยนตร์อีกยาวเหยียดไปจนถึงปี 2019 ใน Infinity War part 2 กันเลยทีเดียว และด้วยเหตุนี้เอง แน่นอนว่าก็ทำให้ภาพยนตร์ของทางค่ายในช่วงนี้ก็เต็มไปด้วยการปูไปสู่อภิมหาสงครามที่จะเกิดขึ้นใน Infinity War ซึ่งAvengers 2 ก็เป็นหนึ่งในภาพยนตร์เหล่านั้น
Avengers: Age of Ultron ว่าด้วยเรื่องราวการทดลองอันล้มเหลวของไอรอนแมน ซึ่งให้กำเนิด อัลตรอนหุ่นยนตร์อัจฉริยะผู้พยายามจะทำลายโลกขึ้นมา กลุ่มอเวนเจอร์จึงต้องรวมตัวกันอีกครั้งหนึ่งเพื่อหยุดแผนการของอัลตรอนก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินแก้
สำหรับ Avengers: Age of Ultron ก็คงต้องบอกว่า ยังคงเป็นภาพยนตร์ที่ดูสนุกได้เรื่อยๆ และเต็มไปด้วยซีจี การกำกับฉากแอ็คชั่นที่ยอดเยี่ยม อลังการงานสร้างตามสไตล์ของมาร์เวลเช่นเคย
โดยในภาคนี้ทิศทางของภาพยนตร์ดูจะเดินไปในทางที่ให้ความสำคัญกับเบื้องลึกเบื้องหลังของตัวละครต่างๆ มากกว่าการเต็มไปด้วยฉากแอ็คชั่นวินาศทุก 5 นาทีแบบ นาทีแบบใน Avengers ภาคแรก ซึ่งก็เป็นแนวทางที่ไม่เลวเลยทีเดียว
เพียงแต่ว่าตัวภาพยนตร์ในภาคนี้ยังค่อนข้างจะเดิมๆไปเสียทุกอย่าง ตั้งแต่ฉากแอ็คชั่น ปมขัดแย้ง ยันตัวละคร พูดง่ายๆว่าทุกอย่างแทบจะเหมือน Avengers ภาคแรกเปะๆ แต่น่าสนใจน้อยกว่า ด้วยสาเหตุที่มันยังคงเต็มไปด้วยมุขเดิมๆ ตัวละครเอกทะเลาะกันเอง ตัวละครร้ายพูดถึงมนุษย์ที่ทำสิ่งแย่ๆ บลาๆๆ ซ้ำซากเหมือนทางผู้กำกับ จอส วีดอน นึกมุขใหม่ไม่ออก ที่สำคัญคือตัวภาพยนตร์ยังเสียเวลาหลายส่วนกับการปูไปสู่ภาพยนตร์เรื่องต่อไปของมาร์เวลทั้งๆที่ตัวมันเองก็แทบจะไม่มีเวลาในการเล่าเรื่องของตัวเองแล้ว เช่นตัวละครอย่างอัลตรอน ที่ถูกเร่งการพัฒนาตัวละครอย่างมาก จนเราแทบจะหาเหตุผลในการกระทำของเขา หรือ รู้สึกเห็นอกเห็นใจเขาไม่ได้เลย
ซ้ำร้ายเข้าไปอีก ก็คือตัวละครร้ายของเรื่องอย่างอัลตรอน ที่ควรจะถูกจัดอยู่ในสุภาษิต "ท่าดีทีเหลว" เพราะนอกจากจะกระจอกงอกง้อยต่างจากฉบับหนังสือการ์ตูนอย่างลิบลับแล้ว ตัวภาพยนตร์ยังพยายามอวยเกินเหตุทั้งๆที่สิ่งที่เห็นตรงหน้ามันต่างกันลิบลับ โดยเฉพาะหลังจากการมาของอีกหนึ่งตัวละครใหม่ซึ่งลดชั้นอัลตรอนจนแทบจะเป็นเศษเหล็กข้างถนน
ยิ่งเมื่อเทียบกับตัวร้ายของภาคที่แล้วอย่าง โลกิ ยิ่งแล้วใหญ่ เพราะอย่างน้อยโลกิก็เป็นตัวละครร้ายที่มีเรื่องราวน่าติดตามมากกว่าอัลตรอนอยู่มาก ในขณะที่อัลตรอนเป็นตัวละครใหม่ ยังดีที่อีกสองตัวละครใหม่ สการ์เล็ต วิช และควิกซิลเวอร์ ยังพอน่าสนใจที่จะดึงฝั่งตัวร้ายให้ดูสูสีกับฝั่งตัวเอกได้อยู่บ้าง (ถึงแม้ว่าเรื่องราวของทั้งสองตัวละครจะโคตร cliché เลยก็เถอะ)
อีกหนึ่งสิ่งที่ค่อนข้างจะจืดชืด ก็คือบทภาพยนตร์ที่ค่อนข้างจะเดาง่าย หรือแนวความคิดที่พูดถึงความเลวร้ายในมนุษย์ ด้านมืดของมนุษย์ก็ช่างซ้ำซาก และยังขยี้ประเด็นได้เบามากๆอีก จนไม่รู้ว่าจะใส่มาทำไม ทั้งๆที่เอาเข้าจริง ประเด็นซ้ำซากจำเจเหล่านี้ก็สามารถเป็นที่ยอมรับ หรือกระทั่งยอดเยี่ยมได้ ถ้าหากถ่ายออกมาได้ดีพอ ทำให้เรารู้สึกอยากเข้าไปสำรวจหรือครุ่นคิดมากพอ แต่สิ่งที่ Avengers 2 เป็นอยู่ในขณะนี้ยังห่างไกลจากคำนั้นอยู่มาก
สุดท้ายแล้ว Avengers: Age of Ultron ก็เป็นภาพยนตร์ที่ให้ความรู้สึกขาดๆอยู่มาก เสมือนทางมาร์เวลกั๊กของดีๆเอาไว้ รวมถึงตัวผู้กำกับ จอส วีดอน เองก็หมดมุข จนทำให้ทุกอย่างจืดชืด ได้เป็นเพียงแค่อาหารว่างฆ่าเวลา รอให้อาหารจานหลักถูกนำมาเสิร์ฟก็เท่านั้น
Final Score: 6.5 / 10
Related News
Popular News
แสดงความคิดเห็น
พึ่งจะมีอัลตรอนนี่แหละเป็น ai ขี้วีน พลังประมวลผลไปไหนหมด
แม่มรีวิวโคตรฮา
##################################################################################################################
ข้อเสียของ Age of Ultron คือประเด็นมันเยอะจนสับสน จริงๆเรียกว่าค้างๆคาเก้ๆกังๆดีกว่า และแอ็คชั่นไม่มันส์ (แต่คนอื่นอาจจะมันส์ก็ได้ อันนี้แล้วแต่ ขนาดWild Card ตาลุงแถวบ้านผมบอกมันส์โคตรๆที่สุดในรอบหลายปี) แต่หนังมาพร้อมเอฟเฟคดีซีจีบึ้มแตก ลงทุนสร้างไป 279.9 ล้าน
(The Hobbit: The Battle of the Five Armies 250ล้าน, Avatar-237 ล้าน, Man of Steel-225 ล้าน, The Avengers ภาคแรก220 ล้าน, Transformers: Age of Extinction-210 ล้าน, Iron Man 3 -200 ล้าน, Furious 7-190 ล้าน, The Dark Knight กับStar Trek Into Darkness และPacific Rim ที่ลงทุนเท่ากันที่ 185 ล้าน, และCaptain America: The Winter Soldier 170 ล้านเหรียญ )
แต่หนังก็มีข้อดี
1./เป็นหนังรวมพลังดารา ขายคาแรคเตอร์ซูเปอร์ฮีโร่ ได้เห็นบรรดาซูเปอร์ฮีโร่หลายๆคนในเรื่องเดียวกัน (แม้จะไม่สดใหม่เท่าสมัยภาคแรก) ขายพลังดาราซึ่งก็ไม่ทำให้ผิดหวังโดยเฉพาะ Robert Downey Jr. เล่นบทโทนี่ สตาร์ค ได้ดี (คล้ายๆ X-Men แต่อันนั้นสุดติ่งเพราะมีทั้ง Hugh Jackman, Ian McKellen, Halle Berry)
2./หนังตลก คือหนังไม่ได้ตลกฮาก๊ากแบบ Dumb and Dumber แต่ Avengers เป็นหนังที่รวยอารมณ์ขัน เล่นมุขขำขันตลอดเรื่อง สมกับเป็นหนังดิสนีย์ จุดนี้คือเสน่ห์ของ Avengers ตั้งแต่ภาคแรก และภาคนี้ก็ยังเป็นแบบนั้นอยู่ ไดอะล็อคเขียนมาดี ใส่เข้ามาถูกที่ถูกเวลา “Watch your language" ก็โอเคนะ, หรืออย่างมุขยกฆ้อนปอนด์ของ Thor แต่ถึงจะเป็นหนังตลกรวยอารมณ์ขัน หนังก็มีโทนที่มืดหม่นอยู่ ซึง Joss Whedon ก็ผสมผสานสองส่วนนี้ได้ลงตัวดูแล้วกลมกล่อมไม่เคอะเขิน
หวังไว้กับage of ultronแล้วรู้สึกผิดหวังอยู่พแสมควร นึกว่าจะได้เห็นฮีไร่โดนยำเละ darkหดหู่
เนื้อเรื่องดูเร่งรีบเกินไปจริงๆขยายเป็นpart2ให้ภาค1avengerพ่ายไปก่อนน่าจะสนุกกว่านี้มาก
Quick silverของmcuก็สู้ของทางfoxไม่ได้เลยออกเยอะกว่าแต่ไม่ค่อยน่าจดจำ
ภาคนี้เป็นได้แค่หนังฆ่าเวลาครับ ดูได้ไม่เสียดายเงินแต่ไม่เจ๋งอย่างที่คิดไว้
avenger 2 trailer ของญี่ปุ่น ไม่นึกเลยว่าจะ spoil จนสิ้นซากได้ถึงขนาดนี้
Safe house นี่ -*-