Birdman ( 2014 ) บทวิจารณ์��าพยนตร์โดย FallsDownz
Birdman (2014) บทวิจารณ์ภาพยนตร์โดย FallsDownz
"Birdmanไม่ใช่แค่เสียดสีสังคมอเมริกันอย่างชาญฉลาดเท่านั้น มันยังถ่ายทอดออกมาด้วยวิธีอันน่าทึ่งหาใครเปรียบได้ยากอีกด้วย"
ต้องเรียกได้ว่า การแข่งขันชิงรางวัลเทศกาลภาพยนตร์ทั้งหลายที่ใกล้เข้ามาปีนี้ดุเดือดทีเดียว ตั้งแต่ตัวเต็งอย่าง Boyhood หรือ Whiplash ก็ยังมีภาพยนตร์อีกหลายเรื่องที่กำลังมาแรงในเวทีรางวัลเช่นกัน
ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คงจะหนีไม่พ้น Birdman ของผู้กำกับ Alejandro González Iñárritu เจ้าของผลงานอย่าง Babel (2006) และ Biutiful (2010) อย่างแน่นอน
สิ่งหนึ่งของภาพยนตร์เรื่องนี้ที่เตะตาผู้เขียนมากที่สุดตั้งแต่ต้นจนจบเลย ก็คือการตัดต่อและเคลื่อนไหวกล้องอันสุดแสนจะลื่นไหล มันลื่นไหลขนาดที่ว่าผู้เขียนไม่สามารถที่จะหาจุดที่ตัดต่อแบบชัดเจนร้อยเปอร์เซนต์ได้เลย
ยิ่งผนวกกับอีกจุดเด่นของตัวภาพยนตร์ซึ่งก็คือจำนวนฉากถ่ายยาว Long Take ที่เรียกได้ว่าทั้งเรื่อง แถมยังไม่มีช่วงเวลาใดที่รู้สึกว่าติดขัดหรือหลุดออกจากตัวภาพยนตร์เลยก็ยิ่งทำให้ภาพยนตร์เรื่องนี้น่าทึ่งเข้าไปอีก
ส่วนใหญ่ๆก็ต้องขอชมนักแสดงทุกคนที่เล่นกันโดยไม่มีติดขัดใดๆเลยซึ่งแสดงให้เห็นถึงฝีมือการแสดงทางฉาก Long Take อันยอดเยี่ยมของพวกเขาเป็นอย่างดี
ในด้านของบทภาพยนตร์ก็น่าสนใจไม่แพ้กัน ด้วยความที่มันเสียดสีสังคมวัตถุนิยมและค่านิยมต่างๆของสังคมได้อย่างเจ็บแสบ
เมื่อพูดถึงค่านิยมแล้วแน่นอนว่าก็ต้องมีในโลกภาพยนตร์เช่นกัน ซึ่ง Birdman กนำจุดนี้มาเล่นกับผู้ชมเยอะอยู่พอสมควรจนแทบจะกลายเป็นอีกหนึ่งจุดเด่นของเรื่องเลยทีเดียว อย่างเช่นตัวละครเอกที่ตัวภาพยนตร์ทิ้งคำถามถึงพลังของเขาให้เราคิดเอง หรือมุขตลกที่ล้อถึงพลังของผู้ชมในการเปลี่ยนแปลงทิศทางของสื่อและความอยากรู้อยากเห็นของผู้ชม
ที่โดนหนักที่สุดก็คงจะหนีไม่พ้นสังคมอเมริกันและโดยเฉพาะภาพยนตร์ซุปเปอร์ฮีโร่ที่กำลังได้รับความนิยมในขณะนี้ที่มีให้เห็นกันแทบจะทุกเดือน น่าเสียดายที่ในจุดนี้ตัวภาพยนตร์ยังเล่นได้ไม่หนักเท่าที่ควรนักถึงแม้ว่าจะย้ำถึงจุดนี้ตลอดเวลาแต่ตอนเนื้อสำคัญจริงๆก็ปาเข้าไปเกินครึ่งเรื่องแล้ว
ที่น่าสนใจก็คือการเสียดสีของภาพยนตร์เรื่องนี้ไม่ใช่แค่จากมุขตลกอันเจ็บแสบเท่านั้น แต่ยังมาจากความเหนือจริงของมันด้วยเช่นกันเนื่องจากตัวภาพยนตร์แทบจะไม่ได้ใส่ใจอะไรกับความสมเหตุสมผลของตัวเอง ตัวมันจึงนำจุดๆนี้มาล้อเลียนได้อย่างเต็มที่ ซึ่งเป็นอะไรที่บันเทิงไม่ใช่น้อย
คำถามที่น่าค้นหามากๆในภาพยนตร์เรื่องนี้เลยก็คือ เป็นตัวละครหรือผู้ชมกันแน่ที่เป็น Birdman ตัวจริง เพราะด้วยเทคนิคการถ่ายทำและเนื้อหามันทำให้ผู้เขียนอดคิดไม่ได้เสียจริง
ในท้ายที่สุด Birdman ก็เป็นภาพยนตร์แห่งปี 2014 ที่ยอดเยี่ยมเรื่องหนึ่งถึงแม้ว่าอาจจะไม่ได้เต็มไปด้วยพลังอย่าง Whiplash หรือเต็มไปด้วยความทรงจำแบบ Boyhood แต่ด้วยการเสียดสีสังคมวัตถุนิยมและค่านิยมได้อย่างน่าสนใจที่สำคัญเลยก็คือเทคนิคการถ่ายทำ ตัดต่อและฉาก Long Take อันน่าทึ่งก็ ี่ทำให้ยากที่จะลืมภาพยนตร์เรื่องนี้ได้
Final Score: A - [ Must See Badge ]
ติดตามบทวิจารณ์ใหม่ๆในอนาคต และอัพเดทข่าวหรือตัวอย่างวงการภาพยนตร์/เกมได้ที่แฟนเพจเลยครับผม :)
[Link]
[Link]
"Birdmanไม่ใช่แค่เสียดสีสังคมอเมริกันอย่างชาญฉลาดเท่านั้น มันยังถ่ายทอดออกมาด้วยวิธีอันน่าทึ่งหาใครเปรียบได้ยากอีกด้วย"
ต้องเรียกได้ว่า การแข่งขันชิงรางวัลเทศกาลภาพยนตร์ทั้งหลายที่ใกล้เข้ามาปีนี้ดุเดือดทีเดียว ตั้งแต่ตัวเต็งอย่าง Boyhood หรือ Whiplash ก็ยังมีภาพยนตร์อีกหลายเรื่องที่กำลังมาแรงในเวทีรางวัลเช่นกัน
ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คงจะหนีไม่พ้น Birdman ของผู้กำกับ Alejandro González Iñárritu เจ้าของผลงานอย่าง Babel (2006) และ Biutiful (2010) อย่างแน่นอน
สิ่งหนึ่งของภาพยนตร์เรื่องนี้ที่เตะตาผู้เขียนมากที่สุดตั้งแต่ต้นจนจบเลย ก็คือการตัดต่อและเคลื่อนไหวกล้องอันสุดแสนจะลื่นไหล มันลื่นไหลขนาดที่ว่าผู้เขียนไม่สามารถที่จะหาจุดที่ตัดต่อแบบชัดเจนร้อยเปอร์เซนต์ได้เลย
ยิ่งผนวกกับอีกจุดเด่นของตัวภาพยนตร์ซึ่งก็คือจำนวนฉากถ่ายยาว Long Take ที่เรียกได้ว่าทั้งเรื่อง แถมยังไม่มีช่วงเวลาใดที่รู้สึกว่าติดขัดหรือหลุดออกจากตัวภาพยนตร์เลยก็ยิ่งทำให้ภาพยนตร์เรื่องนี้น่าทึ่งเข้าไปอีก
ส่วนใหญ่ๆก็ต้องขอชมนักแสดงทุกคนที่เล่นกันโดยไม่มีติดขัดใดๆเลยซึ่งแสดงให้เห็นถึงฝีมือการแสดงทางฉาก Long Take อันยอดเยี่ยมของพวกเขาเป็นอย่างดี
ในด้านของบทภาพยนตร์ก็น่าสนใจไม่แพ้กัน ด้วยความที่มันเสียดสีสังคมวัตถุนิยมและค่านิยมต่างๆของสังคมได้อย่างเจ็บแสบ
เมื่อพูดถึงค่านิยมแล้วแน่นอนว่าก็ต้องมีในโลกภาพยนตร์เช่นกัน ซึ่ง Birdman กนำจุดนี้มาเล่นกับผู้ชมเยอะอยู่พอสมควรจนแทบจะกลายเป็นอีกหนึ่งจุดเด่นของเรื่องเลยทีเดียว อย่างเช่นตัวละครเอกที่ตัวภาพยนตร์ทิ้งคำถามถึงพลังของเขาให้เราคิดเอง หรือมุขตลกที่ล้อถึงพลังของผู้ชมในการเปลี่ยนแปลงทิศทางของสื่อและความอยากรู้อยากเห็นของผู้ชม
ที่โดนหนักที่สุดก็คงจะหนีไม่พ้นสังคมอเมริกันและโดยเฉพาะภาพยนตร์ซุปเปอร์ฮีโร่ที่กำลังได้รับความนิยมในขณะนี้ที่มีให้เห็นกันแทบจะทุกเดือน น่าเสียดายที่ในจุดนี้ตัวภาพยนตร์ยังเล่นได้ไม่หนักเท่าที่ควรนักถึงแม้ว่าจะย้ำถึงจุดนี้ตลอดเวลาแต่ตอนเนื้อสำคัญจริงๆก็ปาเข้าไปเกินครึ่งเรื่องแล้ว
ที่น่าสนใจก็คือการเสียดสีของภาพยนตร์เรื่องนี้ไม่ใช่แค่จากมุขตลกอันเจ็บแสบเท่านั้น แต่ยังมาจากความเหนือจริงของมันด้วยเช่นกันเนื่องจากตัวภาพยนตร์แทบจะไม่ได้ใส่ใจอะไรกับความสมเหตุสมผลของตัวเอง ตัวมันจึงนำจุดๆนี้มาล้อเลียนได้อย่างเต็มที่ ซึ่งเป็นอะไรที่บันเทิงไม่ใช่น้อย
คำถามที่น่าค้นหามากๆในภาพยนตร์เรื่องนี้เลยก็คือ เป็นตัวละครหรือผู้ชมกันแน่ที่เป็น Birdman ตัวจริง เพราะด้วยเทคนิคการถ่ายทำและเนื้อหามันทำให้ผู้เขียนอดคิดไม่ได้เสียจริง
ในท้ายที่สุด Birdman ก็เป็นภาพยนตร์แห่งปี 2014 ที่ยอดเยี่ยมเรื่องหนึ่งถึงแม้ว่าอาจจะไม่ได้เต็มไปด้วยพลังอย่าง Whiplash หรือเต็มไปด้วยความทรงจำแบบ Boyhood แต่ด้วยการเสียดสีสังคมวัตถุนิยมและค่านิยมได้อย่างน่าสนใจที่สำคัญเลยก็คือเทคนิคการถ่ายทำ ตัดต่อและฉาก Long Take อันน่าทึ่งก็ ี่ทำให้ยากที่จะลืมภาพยนตร์เรื่องนี้ได้
Final Score: A - [ Must See Badge ]
ติดตามบทวิจารณ์ใหม่ๆในอนาคต และอัพเดทข่าวหรือตัวอย่างวงการภาพยนตร์/เกมได้ที่แฟนเพจเลยครับผม :)
[Link]
[Link]
Popular News
แสดงความคิดเห็น
เกี่ยวกับพระเอกที่เคยเป็นดาราดังพลุแตกจากบทซุปเปอร์ฮีโร่มาก่อน แต่ปัจจุบันก็กลายเป็นดาราเกรดบี
ซึ่งค่อนข้างคล้ายชีวิตจริงของไมเคิ่ล คีตั้น(ผู้เคยดังจากบทแบทแมน)
ซึ่งดาราฮอลี่วู้ดที่มีชะตากรรมแบบนี้ก็เยอะอยู่นะ
อย่างแวนแดม วาลคิมเมอร์ เพียส เอ๊ดดี้เมอฟี่
ส่วนนิโคลัส เคจไม่นับเพราะผมมองว่างานแกก็ยังมีงานเยอะเรื่อยๆไม่ขัดสนอะไรเหอๆๆ
ส่วนตัวแล้วผมว่า Birdman มันคือ ดราม่า แอ็คชั่น และตลกเลยครับ แต่ส่วนใหญ่จะ ดราม่า ตลกมากกว่า ไอ้ส่วนแอ็คชั่นมันเหมือนสร้างขึ้นมาเพื่อล้อเลียนเฉยๆเลยมีค่อนข้างจะน้อย
ไม่ได้ติดตามเลยแต่อยากดูมาก ดูรอบแล้วไม่เจอเลย
ไม่ได้ติดตามเลยแต่อยากดูมาก ดูรอบแล้วไม่เจอเลย
คาดว่าคงไม่ได้เข้าในไทยละมั้งครับเพราะยังไม่มีข่าวเลย กระผมได้ชมเนื่องจากตอนไปเที่ยวช่วงวันปีใหม่ที่ต่างประเทศมีรอบฉายพอดีครับ ถ้ารอก็คงต้องรอลุ้น DVD ละมั้งครับ ถ้าเข้าโรงในไทยก็คงคาดว่าหลังจากพวกประกาศรางวัลเวทีออสการ์/ลูกโลกทองคำครับ
อันแรกคือตัวไมเคิลกับแบทแมน อันนี้ชัดมากๆ
กลายเป็น ละครเวทีที่ล้อเลียนชีวิตริกแกนที่ล้อเลียนชีวิตไมเคิล จิ๊ดมาก
แล้วการตัดต่อนี่มีผลมากๆ ดูแล้วเหนื่อยไปกับริกแกนก่อนที่พล็อตจะทันได้อธิบายเสียอีก
อีกสองคนที่ชอบมากคือนอร์ตั้น พอถึงฉากใกล้จบนี่ผมนึกขึ้นมาได้เลยว่าทำไมต้องเอานอร์ตั้นมาเล่น
อีกคนที่คือแซ้คที่เล่นเป็นคนปกติ ธรรมชาติกว่าตอนเล่นหนังตลกอีก ฮ่าๆๆ