Menu
[--mobilemenu--]
บราวเซอร์ของท่านไม่สนับสนุนหรือปิดการใช้งาน javascript ซึ่งจะไม่สามารถใช้งานไซต์บางส่วนเช่นการเข้าลิ้งค์ หรือโพสข้อความได้ตามปกติ, กรุณาเปิดการใช้งาน javascript เพื่อที่จะใช้งานเว็บ gconhubม หากมีปัญหาในการใช้งาน หรือต้องการสอบถามเพิ่มเติม กรุณาติดต่อ [email protected] หรือ [email protected]
Review: Beyond: Two Souls (PS3) [7.9/10]
Kanann at 2013-10-13 04:06:44 , Reads (56474), Comments (26) , Source :

ผมชอบเกมแนว Interactive Movies ครับ ยิ่งงานคลาสสิคอย่าง Dragon's Lair นี่ยิ่งดูยิ่งตลก พูดง่ายๆ คือดูเอาฮานั่นเอง แล้วก็เป็นแนวเกมที่เริ่มสูญพันธ์ไปแล้วด้วยจนกระทั่งถูกพัฒนาและยกระดับขึ้นโดยค่าย Quantic Dream ผลงานที่น่าจะจำได้กันก็คือ Heavy Rain เมื่อปี 2010 ไม่นานมานี้ที่เล่นแล้วไม่รู้จะฮาดีมั้ย มันช่างสยิ๋วกิ้วเหลือเกิน (เรื่องเกี่ยวกับฆาตกรรมต่อเนื่องนี่นะ...) จนมาถึง Beyond: Two Souls ที่เปลี่ยนบรรยากาศมาเรื่องเหนือธรรมชาติ+ไซไฟบ้าง

 

คำเตือน: ในรีวิวมีสปอยล์เล็กๆ น้อยๆ นะครับ ถ้าคิดจะเล่นเองเสพเองทุกเม็ดอย่างเพิ่งอ่าน คลิกมา+ยอดวิวก็ซาบซึ้งแล้วครับ (แฮ่)

 

 

เกมนี้จะให้เล่นหรือดำเนินเรื่องผ่านชะตาชีวิตของตัวละครเอกตัวเดียวเท่านั้นคือโจดี้ โฮล์มส์ (Ellen Page) ไปตั้งแต่วัยเด็กน้อยจนถึงวัยผู้ใหญ่ เคียงข้างไปกับวิญญาณที่ชื่อว่าไอเดนที่ผู้เล่นสามารถบังคับใช้งานให้เป็นประโยชน์ได้ในบางสถานการณ์ ส่วนตัวละครสำคัญอีกคนนั้นก็คือนักวิจัยที่ศึกษาในกรณีของโจดี้อยู่อีกคนนั่นก็คือดร.เนธาน (Willem Defoe) ซึ่งถือเป็นคนที่ใกล้ชิดที่สุดตั้งแต่ต้นเกมถึงจบเกม แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นทุกอย่างโฟกัสที่โจดี้กับวิญญาณไอเดนทั้งหมดครับ สองคนสำคัญที่เติบโตไปด้วยกัน ผจญภัยไปด้วยกันตลอดเวลา ซึ่งเป็นหัวใจหลักของเกมนี้

 



เกมสมัยนี้ทำได้ถึงระดับนี้แล้ว

 

งานภาพนี่คงไม่ต้องบรรยายมากนะครับ นั่นคือเอาคนแสดงจริงๆ เอานักแสดงมาปั้นเป็นโพลิก้อนในเกมเลยทีเดียว ออกมาเป๊ะสมจริงมาก การแสดงสีหน้าก็มีพลังใกล้เคียงกับคนเป็นๆ มากยิ่งขึ้นไปอีก ด้านอื่นทั่วไปที่ติดเหลี่ยมบ้างหยักบ้างเทกเจอร์หยาบบ้างโดยเฉพาะฉากอันนั้นต้องไปโทษ PS3 แล้วครับว่ามาถึงที่สุดแล้วจริงๆ โทษ Quantic Dream ผู้สร้างไม่ได้เลย ต่อไปต้อง PS4 สินะ...

เรื่องราวในเกมจะใช้วิธีเล่าแบบข้ามไปมาไม่เป็นไปตามลำดับเวลาที่แน่นอนครับ เช่นบทนี้เล่นวัยเด็กบทหน้าข้ามไปวัยผู้ใหญ่แล้วก็บทต่อไปอาจจะกลับมาเด็กอีกที โดยมีรูปแบบอยู่ที่การค่อยๆ ไขปมของเนื้อเรื่องหรือทำให้ผู้เล่นรู้สึกสงสัยใครรู้ว่าระหว่างที่ข้ามไปตั้งหลายปีนั้นมันเกิดอะไรขึ้นทำไมไปลงเอยตรงนั้น เป็นสิ่งที่ทำให้เกมดูน่าติดตามอยู่ตลอดคนเล่นไม่เบื่อตายไปเสียก่อน เพราะบางบทนี่เล่นแล้วต้องสารภาพว่าดำเนินเรื่องช้าจริงๆ ในส่วนตรงนั้นจะไปเน้นที่ความเศร้าความซาบซึ้งของเกม ซึ่งถ้าใครไม่เศร้าไปด้วยก็จบกันเลย...แต่ผมมีปัญหาส่วนตัวอยู่อย่างตอนเล่นรอบแรกเลยคือจำไม่ได้ว่าอะไรมันเกิดขึ้นก่อนหลังครับ แม้จะมีชื่อบทบอกเรียงกันตามเหตุการณ์ก่อนหลังก็ตามที (เป็นคนความจำสั้น)

(สปอยล์ !!!) ถ้าจะให้แบ่งการดำเนินเรื่องก็คงเป็น 1. ส่วนเด็กกับวัยรุ่นที่ดราม่าหน่อย เน้นอารมณ์ความรู้สึก 2. ส่วนฝึกฝนและร่วมงานกับ CIA รวมถึงหลังจากนั้นที่เน้นไปที่แอคชั่น 3. ออกเดินทางกับเป็นคนไร้บ้านข้างถนน ที่ทำหน้าที่เหมือนเป็นนักสืบโลกวิญญาณ คนสืบผี ช่วยชาวบ้าน อะไรประมาณนั้น 4. สุดท้ายก็ไปกู้โลก ! (จบสปอยล์ !!!) รวมๆ กันแล้วก็ไม่ยาวมากครับ ใช้เวลาเล่นประมาณ 6-8 ชั่วโมงเท่านี้จริงๆ แล้วลืมเรื่องการสำรวจไปได้เลยว่ามีน้อยมาก ทางแยกยิ่งแล้วใหญ่ เพราะตัวเกมไม่มีจุดเปลี่ยนชีวิตของโจดี้เลยครับ โอเคว่าเปลี่ยนชีวิตคนอื่นอาจจะใช่ (เช่นปล่อยให้ตาย) หรือเผาบ้านคนเล่น แต่ทั้งหมดก็เป็นเพียงความเปลี่ยนแปลงที่เบาบางเท่านั้น แล้วไปยัดทางแยกเอาที่เดียวตอนจบหรือใกล้จบมันทั้งหมดเลย เรียกได้ว่าดำเนินเรื่องไปได้ค่อนข้างเป็นเส้นตรงเลยทีเดียว (แต่ก็มีจุดเถลไถลบ้าง...หน่อยนึง)

 


 

ส่วนทางด้านเกมเพลย์  Interactive Movies เกมนี้ทำให้ผู้เล่นได้เล่นเป็นตัวละครในภาพยนตร์ได้ดีมาก การเคลื่อนไหวฉับพลันหรือการตัดสินใจตอบปัญหาต่างๆ ทำได้ราบลื่น แล้วก็เป็นมิตรกับคนที่ไม่ถนัดพวก QTE หรือกดปุ่มตามจังหวะด้วย เพราะว่าจะมีช่วงสโลว์ให้ช่วงเวลาที่ให้โอกาสก็ค่อนข้างนานอยู่ ทั้งหมดจะผสมผสานกับการบังคับตัวละครเดินทางเองบ้างแล้วก็ใช้ไอเดนแก้ปริศนาต่างๆ ในเกมครับ ใช้ไอเดนนี่จะคล้ายๆ แยกร่างปล่อยพลังวิญญาณออกมา ทำได้สารพัดประโยชน์ตั้งแต่ผลักของ บีบคอ เข้าสิง ฯลฯ ไปจนถึงอ่านความทรงจำเลย (เฮี้ยนมาก...)

แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นโดยเนื้อๆ เกมเพลย์ ของ Beyond: Two Souls สามารถสรุปได้ภายในประโยคเดียวครับ นั่นก็คือ "ขอให้ท่านบังคับโจดี้เดินทางไปให้ถึงจุดหมาย แล้วกดปุ่มตามที่กำหนดไปเรื่อยๆ" กดพลาดก็ไม่ตายซะด้วย เกมนี้ไม่มีการเกมโอเวอร์กลางทางครับ กดพลาดไปก็อาจจะเจ็บนิด อับอายขายหน้าหน่อย หรือต้องให้ไอเดนช่วย แต่ไม่มีการล้มเหลวที่ยิ่งใหญ่อะไร อย่างน้อยก็คือไม่ใหญ่พอจะให้ชีวิตโจดี้เปลี่ยน บทเปลี่ยน หรือมีทางแยกอะไรออกมา อาจจะมีฉากโบนัสหรือบางสิ่งบางอย่างเพิ่มอะไรมานิดหน่อยแต่ก็เป็นเพียงจุดเล็กๆ ซึ่งในข้อนี้ผู้สร้างก็ได้เตือนไว้แล้วก่อนเกมออกวางขาย ผมก็ไม่ควรจะคิดอะไรมาก ไม่ตายก็ไม่ตาย สงสารนางเอก แต่กลับกลายเป็นว่านอกจากไม่ตาย (?) แล้วเกมยังดำเนินไปอย่างตรงแน่วอีกต่างหาก...ทุกอย่างที่ผู้เล่นกดตัดสินใจไปนี่ก็เหมือนกับเอาไม้จิ้มฟันเขี่ยๆ ชะตาชิวิตโจดี้เล่นให้จั๊กจี๋หรือแค่คันๆ หรือนี่ อันนี้ก็แล้วแต่ความชอบส่วนบุคคลนะครับว่าจะมีความเห็นในรูปแบบไหน สำหรับผมแล้วแบบนี้ไม่ค่อยชวนให้เล่นหลายรอบเท่าไร (ยกเว้นว่าเผาบ้านคน อันนี้ชอบเผาหลายรอบ สนุก)

(สปอยล์ !!!) ฉากที่โลกหายนะในอนาคตน่าทำแยกออกมาอีกเกม น่าสนุกกว่าอีก (จบสปอยล์ !!!)

 

7.9 คะแนน 

ผมมีความคิดเห็นว่าสำหรับ Beyond: Two Souls เกมนี้จะมีฝ่ายที่ทั้งชอบและไม่ชอบ ซึ่งผมอยู่ในฝ่ายหลังครับ แม้ตัวงานที่นำเสนอออกมาจะจัดได้ว่าปราณีตและทุ่มเทในการสร้างงานด้านภาพ แต่ในฐานะเกมที่ผู้เล่นจะต้องโต้ตอบไปตามสถานการณ์ต่างๆ แล้ว ความหลากหลายและพลังที่จะทำให้ผู้เล่นรู้สึกใจหายไปกับการตัดสินใจของตัวเองดูจะขาดออกไปครับ เหมือนกับพาจูงให้เราเดินทอดน่องจากจุด A ไปจุด B เพื่อกดปุ่มตามไปเรื่อยๆ  คนที่เล่นเก่งก็จะสะดุดน้อยหน่อยหรือหลงทางยากหน่อย แต่ถนนนั้นเป็นทางตรงที่ค่อนข้างไปได้ช้าและน่าเบื่อพอสมควรทีเดียว ยกตัวอย่างให้ชัดเจนขึ้นก็คือตัวเกมโฟกัสที่โจดี้เพียงคนเดียวเท่านั้น ซึ่งไม่ว่าเราจะเลือกชะตากรรมของคนอื่นว่าจะเป็นหรือตายก็ไม่ส่งผลกระทบอะไรที่เป็นจริงเป็นจังซีเรียสมาก หรือจะเป็นชีวิตของเธอเองที่ต้องผ่านอะไรต่างๆ กับไอเดนตั้งแต่เด็กจนถึงจุดจบเกมก็ไม่ได้มีทางแยกระหว่างกลางที่ชี้เป็นชี้ตายหรือเป็นจุดผกผันเปลี่ยนแปลงของชีวิต แม้เนื้อเรื่องจะทำให้ดูดราม่าน่าสงสาร แต่ก็เล่นง่ายเอาทุกอย่างไปสรุปรวมเอาในทางแยกง่ายๆ ระหว่างฉากสุดท้ายและฉากจบเกมไม่กี่ทางเลือก ซึ่งในชีวิตคนเราจริงๆ หรือแม้กระทั่งเกมก่อนหน้าของทีมนี้เองอย่าง Heavy Rain มันไม่ (ควร) ออกมาแบบนี้ ชีวิตควรประกอบไปด้วยการตัดสินใจที่จะพาไปยังจุด C D D2 D3 E F ฯลฯ ด้วยสิ เพราะฉะนั้น แรงเชิญชวนที่จะให้เล่นหลายรอบหรือจดจำผลงานนี้ไปอีก 10 ปี 30 ปีนั้นเป็นไปได้ยากหน่อยครับ ตัวแก่นสารและเนื้อเรื่องของเกมก็ไม่ได้ลึกหรือซับซ้อนอะไรด้วย

แต่ความประทับใจในเทคโนโลยีของการสร้างเกมนี้และฉากต่างๆ รวมไปถึงการแสดงของนักแสดงที่มาร่วมสร้างผลงานเกมนี้ถือเป็นจุดเด่นที่น่าประทับใจเลยทีเดียว สีหน้าและอารมณ์ในบางครั้งมันโดนใจ ถ้า Quantic Dream จะสร้างเกมแนวนี้มาอีกผมก็เล่นนะ ผลงานต่อๆ ไปจะต้องดีขึ้นเรื่อยๆ อย่างแน่นอน

 


มีฉากโป่โป๊อาบน้ำด้วยนะ (ไม่ใช่อันนี้)
 



(Click to expand)


แสดงความคิดเห็น
17 more comments >>
ผมอยากจะถามคนที่ได้เล่นแล้ว ในส่วนของแอพที่เห็นว่ามีให้โหลดในพวกสมาร์ทโฟน มันช่วยให้เล่นเกมนี้ได้สนุกขึ้นบ้างไหมครับ พอดีรู้สึกว่าในรีวิวไม่ได้พูดถึงเลย จากที่อ่านรายละเอียดมาเห็นว่าใช้ควบคุมแทนจอย PS3 เลยอยากรู้ว่ามันมีดียังไงถึงได้ทำแยกออกมาให้โหลดในอุปกรณ์ตัวอื่น หรือทำมาให้สำหรับคนที่อยากลองของแปลกเฉยๆ
ลองของแปลกเฉยๆครับ ใช้จอยสองเล่นก็ได้ ถ้ามีอีกจอย วุ่นวายดี
เล่น The Wolf Among Us ดีกว่าครัฟผมว่าเจ๋งกว่าเยอะ
เป็นเกมส์ที่น่าหลับมาก ดูหนังเกรดเอดีกว่านะ
ปีนี้ผมรอเกมนี้ที่สุด แต่ก็ยอมรับว่าแอบผิดหวังพอสมควร

เห็นด้วยกับผู้รีวิวครับ
Winsor : 1 day Ago

เล่น The Wolf Among Us ดีกว่าครัฟผมว่าเจ๋งกว่าเยอะ

เพิ่งลองเล่น Demo เมื่อคืนครับ ชอบนะ ปุ่มกดลุ้นดี gameplay ก็เหมือนกับ The Walking Dead เลย เพราะเป็นทีมเดียวกัน รอให้ออกมาครบ 5 Episode ค่อยซื้อทีเดียวดีกว่า รู้สึกว่าปีที่แล้วจะมี Journey กับ The Walking Dead มาปีนี้ มี Lost in the Rain กับ The Wolf Among Us นี่แหละที่ชอบ ส่วน Beyond ก็คงเล่นอยู่แล้ว ^^
ไม่ได้เล่นแฮะ และจะยาก
ชอบมากครับ อารมย์เหมือนดูหนังแล้วเราได้มีส่วนร่วมด้วยภาพสวยมากมุมกล้องก็ดี
สนุกคุ้มค่ารู้สึกเต็มอิ่มแล้วครับ ตั้งตารอเกมต่อไปบนps4แน่นอน
ถ้าจะทำขนาดนี้ทำไมไม่สร้างเป็นหนังไปเลยหว่า
ถ้าจะทำขนาดนี้ทำไมไม่สร้างเป็นหนังไปเลยหว่า
.........
เนื้อเรื่องแนวๆนี้ถ้าทำเป็นหนังผมหลับตั้งแต่ 20 นาทีแรกแล้วครับ 555 แต่พอเป็นเกมมันกลับดูสนุกขึ้นเป็นกองทันทีเลย
ผมดูพี่เบย์แคสในยูทูปผมยังรู้สึกว่าสนุกเลยครับ เกมแนวนี้ถ้าอ่านภาษาอังกฤษเก่งๆล่ะก็หนุกแน่นอนครับแต่ถ้าอ่านไม่ออกมันจะกลับตาลปัตรกลายเป็นเกมโคตรน่าเบื่อไปในทันทีครับ