Danganronpa 2 : Goodbye Despair (2014) Game Review by FallsDownz
Game Review by FallsDownz
Danganronpa 2 : Goodbye Despair
"ภาคต่อของ Danganronpa : Trigger Happy Havoc ที่พัฒนาขึ้นในทุกด้านอย่างชัดเจน ท่ามกลางความสิ้นหวัง คุณจะเชื่อใครได้ ?!!"
ถ้าหากจะมีเกมภาคต่อเกมใด ที่ผู้เขียนตั้งตารอคอยจะได้เล่นแบบแทบจะนับวันซักเกมเลย เกมๆนั้นก็คงจะเป็น Danganronpa 2 : Goodbye Despair นี้แหละ จากภาคแรก Trigger Happy Havoc ที่เป็นเกมที่ยอดเยี่ยมที่สุดของเครื่อง PSVita เกมหนึ่ง สู่ภาคต่อนี้ ที่ต้องพูดเลยว่าน่าประทับใจเสียยิ่งกว่าภาคแรกซะอีก
Danganronpa 2 : Goodbye Despair เป็นเกมแนว Visual Novel โดยเนื้อเรื่องหลักๆก็ยังคงความคล้ายคลึงเดิมจากภาคแรก คุณจะได้เล่นเป็น ฮาจิเมะ ฮินาตะเด็กนักเรียนที่เข้าเรียน Hope's Peak Academy แต่เขากลับพบว่า ตัวเขาเองไปอยู่บนเกาะแห่งหนึ่ง ซ้ำยังมีหมีที่ชื่อว่า "โมโนคุมะ" ห้ามเขาไม่ให้ออกไปจากเกาะ โดยมีข้อแม้ว่าสามารถออกไปจากเกาะได้ ถ้าหากใครซักคนฆ่าเพื่อนในกลุ่มของตัวเอง และจะต้องรอดจากการถูกจับได้อีกด้วย !! ความหวาดระแวง และความหวังที่เริ่มจะมลายหายไปขึ้นเรื่อยๆ ฮาจิเมะจะสามารถรอดออกจากเกาะนี้ไปได้หรือไม่ และเบื้องหลังของโมโนคุมะคืออะไรกันแน่ !!?
ก่อนอื่นต้องขอพูดก่อนเลยว่า สำหรับท่านใดที่ไม่เคยเล่นเกมภาคแรกมาก่อนซึ่งก็คือ Danganronpa : Trigger Happy Havoc ผู้เขียนแนะนำให้ไปหามาเล่นก่อนจริงๆ ถึงแม้มันจะไม่ได้สำคัญขนาดที่จะทำให้เล่นภาคต่อไม่รู้เรื่องเลย แต่ผู้เขียนคิดว่าการเล่นภาคแรกมาก่อนจะได้เปรียบกว่าคนไม่ได้เล่นภาคแรกมากกว่าเยอะ อย่างแรกเลยก็คือผู้ที่เล่นภาคแรกมาก่อนจะเข้าใจกฏของตัวเกมได้มากกว่าผู้ที่เพิ่งสัมผัสตัวเกมครั้งแรก จากที่ภาคแรกค่อนข้างจะอธิบายกฏได้ชัดเจนมากกว่า อย่างที่สองก็คือโบนัสในเกมต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นของหรือไอเทมยิบๆย่อยๆที่แอบเชื่อมโยงไปสู่ภาคแรก ที่ทำให้ผู้ที่เล่นภาคแรกน่าจะยิ้มหรือนึกถึงภาคแรกได้บ้าง ก็ถือเป็นโบนัสที่ไม่เลวเลยทีเดียว
อีกจุดหนึ่งเลยก็คือความเป็น Visual Novel ของมันซึ่งต้องอาศัยการคิดตาม ตีโจทย์ และอ่านหรือฟังอยู่ตลอดเวลา ซึ่งผู้เขียนส่วนตัวคิดว่ามันเป็นอะไรที่ตัวเกมทำได้อย่างยอดเยี่ยมและไม่น่ารำคาญเลยแม้แต่น้อย แต่ถ้าหากท่านเป็นคนที่ไม่ชอบอ่านหรือฟังอะไรเยอะๆ นี้ก็อาจจะไม่ใช่เกมของท่านก็เป็นได้ ส่วนสำหรับท่านที่ไม่ประสงค์จะฟังตัวละครพูดเป็นภาษาอังกฤษแต่ก็อ่านภาษาญี่ปุ่นไม่รู้เรื่อง ก็ไม่ต้องเป็นห่วงไป เช่นเดียวกับภาคแรก Danganronpa 2 : Goodbye Despair มีทางเลือกให้คุณเลือกก่อนเริ่มเกมเลย ว่าคุณจะให้เสียงพากษ์เป็นเสียงอังกฤษหรือญี่ปุ่น ซึ่งส่วนตัวผู้เขียนก็ชินกับเสียงพากษ์โมโนคุมะแบบภาษาอังกฤษไปแล้ว ซึ่งก็พากษ์ได้ดีในระดับหนึ่งทีเดียว
สำหรับ Danganronpa 2 : Goodbye Despair ยังคงคอนเซปคล้ายๆกับภาคแรกหรือแทบจะเหมือนกันหมด นั้นก็คือในเวลาปกติเหตุการณ์เนื้อเรื่องจะดำเนินไป โดยมีช่วงหลักใหญ่ๆสามช่วง ช่วงแรกก็คือ Free Time หรือเวลาว่าง ที่จะให้อารมณ์เหมือนเป็นเกมจีบสาว จีบผู้ชายอะไรก็ว่าไป โดยเป็นช่วงที่ให้เวลากับผู้เล่นจะทำอะไรก็ได้ วิ่งรอบเกาะหาตุ๊กตาโมโนคุมะเพื่อเก็บเหรียญเอาไปใช้หมุนตู้ของขวัญ หรือคุณจะใช้เวลาไปกับการคุยกับตัวละครตัวอื่นๆ เพื่อทราบถึงเบื้องหลังหรือความคิดของพวกเขา ซึ่งในภาคนี้ค่อนข้างจะสำคัญพอสมควร แตกต่างจากภาคแรก ภาคนี้สกิลที่เอาไว้ใช้ในช่วงถัดไปจะต้องแลกด้วย Hope Fragments ซึ่งได้มาจากการคุยกับตัวละครต่างๆ ซึ่งสกิลเหล่านี้ก็เอาไว้ช่วยทำให้เกมง่ายขึ้นนิดหน่อยในช่วงถัดๆไป แต่ตัวเกมในจุดนี้ก็เช่นเคยแบบภาคแรก ไม่ได้บังคับอะไร คุณจะข้ามไม่คุยกับใครเลยก็ได้เช่นเดียวกัน แต่คุณก็จะไม่ได้รับสกิลอะไรเลย รวมถึงคุณจะไม่ทราบถึงทัศนะคติและความคิดบางอย่างของตัวละครตัวโปรดของคุณอีกด้วย
ในส่วนถัดมาส่วนที่สองคือหลังจากมีเหตุการณ์การฆาตกรรมกันเกิดขึ้นจะเข้าสู่ช่วง Investigate Time คือช่วงสืบสวน หาหลักฐานที่ในเกมเรียกว่า "Truth Bullet" และพยายามคาดเดาให้ได้ว่าใครเป็นคนร้าย ซึ่งในส่วนนี้เหมือนกับภาคแรกเปะๆตรงที่ยังคงไม่อนุญาติให้ผู้เล่นออกจากห้องต่างๆถ้าหากยังหาหลักฐานไม่ครบ จึงอาจจะทำให้ผู้เล่นเกมแนวสืบสวนสอบสวนแบบฮาร์ดคอร์รำคาญบ้างแต่ก็ไม่ได้ถึงขนาดที่จะกดๆข้ามไปเลยซะทีเดียว
แต่ช่วงที่สำคัญที่สุดและเป็นจุดเด่น/หัวใจที่แท้จริงของเกม Danganronpa เลยก็คือ ช่วงที่สาม "Class Trial" ต่างหาก ในช่วงนี้จะเป็นช่วงที่ตัวละครทุกตัวจะมารวมกันที่ศาลและถกเถียงกันว่าเหตุการณ์นั้นเกิดขึ้นได้อย่างไร ใครเป็นฆาตกร โดยในช่วงนี้จะแบ่งออกเป็นมินิเกมย่อยต่างๆ
มินิเกมแรกคือ Nonstop Debate / Consent ซึ่งเป็นมินิเกมที่คุณจะได้ฟังตัวละครแต่ละตัวถกเถียงเรื่องราวต่างๆขึ้นมา แต่แตกต่างจากภาคแรกตรงที่ ในภาคแรกมันจะมีเพียงแค่คำพูดสีเหลืองซึ่งแสดงถึงการสงสัยว่าคำนั้นเป็นคำ"โกหก"โผล่ขึ้นมาเท่านั้น แต่ในภาคนี้มันมีสีใหม่เพิ่มขึ้นมานั้นก็คือคำพูดสีฟ้าซึ่งหมายความว่าเรา"เห็นด้วย"กับคำพูดของคนๆนั้น ซึ่งสร้างความแปลกใหม่ สีสันและความท้าทายให้กับตัวมินิเกมนี้ขึ้นมากๆ เพราะจากภาคแรกที่เราปกติก็แค่หาว่าคำพูดไหนโกหกหรือน่าสงสัยแล้วจากนั้นก็ยิงมันด้วยหลักฐานที่เรามีหรือดูดคำพูดที่เป็นหลักฐานที่แท้จริงมาจากตัวละครอื่นๆเพื่อพิสูจน์ว่าคนๆนั้นโกหกก็พอ ภาคนี้เรายังสามารถใช้หลักฐานในการเห็นด้วยกับตัวละครอื่น ซึ่งในช่วงท้ายๆของเกมมันจะมีทั้งคำพูดฟ้าและเหลืองปนกัน ทำให้ยากในการแสปมกดมั่วๆขึ้นมาก เพราะไม่ใช่แค่ว่าเราจะต้องหาเพียงคำพูดโกหก เราจะต้องตีโจทย์ให้แตกด้วยว่าสรุปแล้วมีใครโกหกหรือไม่ โกหกอย่างไร หรือ คำพูดของใครที่ถูกต้อง เราควรจะยิงด้วยหลักฐานชิ้นใดเป็นต้น นอกจากนั้นแล้วในช่วงหลังๆยังจะมีคำพูดสีม่วงลอยเข้ามาแบบมั่วๆอีกด้วยซึ่งคำพูดสีม่วงนี้เป็นเสมือนความคิดที่ถูกแทรกเข้ามาข้างหน้าคำพูดอื่นๆจะทำให้เรายิงคำพูดข้างหลังไม่โดน เราจึงจะต้องใช้ปุ่มกากบาทเลื่อนไปกดทำลายมันหรือจะใช้ Touch Pad ด้านหลังของ Vita ก็ได้ ถึงจะสามารถยิงใส่คำพูดด้านหลังมันได้ นี้ยังไม่นับคำพูดต่างๆในเกมโดยเฉพาะช่วงหลังที่ไม่ได้อยู่นิ่งๆให้เรายิง มีทั้งประเภทเอียงขวา เอียงซ้าย แม้กระทั่งหมุนตีลังกาเลยยังมีซึ่งทำให้เรายิงได้ลำบากยิ่งขึ้น
- อืมม์...คำพูดนี้ควรจะเห็นด้วยไหมหนอ ?
มินิเกมถัดมาที่ผู้เขียนถูกใจมากที่สุดในภาคนี้ มินิเกมนั้นก็คือ Rebuttal Showdown ซึ่งเป็นมินิเกมใหม่ในภาคนี้ ตัวมินิเกมนี้คล้ายๆกับ Make Your Augment ในบางส่วน แต่แทนที่เราจะเป็นคนจับผิดหรือเห็นด้วยกับตัวละครอื่นๆ Rebuttal Showdown จะเกิดขึ้นเมื่อตัวละครหลักพูดอะไรไปบางอย่าง แล้วตัวละครอื่นไม่เห็นด้วยจึงแย้งเรากลับมาทำให้เกิดมินิเกมนี้ขึ้น ซึ่งเราจะต้องใช้มีดซึ่งจริงๆมันก็คล้ายๆกับกระสุนที่ใช้ในการยิงคำพูดคนอื่นใน Make Your Augment นั้นแหละ ตัดคำพูดอีกฝ่ายและยืนยันว่าสิ่งที่เราพูดไปนั้นเป็นความจริง แต่ในระหว่างนั้นเราจะต้องใช้นิ้วของเราลากตัดคำพูดสีขาวของอีกฝั่งด้วย เพื่อให้อีกฝั่งนั้นจนมุมและเผยคำพูดที่ไม่เป็นความจริงออกมา เราจึงจะใช้มีดเฉพาะอันที่เป็นหลักฐานที่ถูกต้อง ตัดคำพูดของพวกเขาได้ แต่ระวังด้วย !! ไม่ใช่คำพูดสีเหลืองทุกอันจะถูก ตัวเกมจะพยายามหลอกคุณเสมอๆไม่ใช่แค่ในมินิเกมนี้ แต่ในทุกๆมินิเกม ซึ่งสาเหตุที่มินิเกมใหม่ชนิดนี้เป็นมินิเกมที่ผู้เขียนชอบมากที่สุดในภาคนี้ ก็เพราะว่ามันเป็นอะไรที่ซะใจมากๆ ในการที่มีคนอื่นโต้แย้งมา แล้วคุณเสมือนตบหน้าคนๆนั้นกลับไปด้วยหลักฐาน
- โดนเถียงซะแล้ว...
มินิเกมชนิดต่อมาก็เป็นมินิเกมที่คล้ายๆกับภาคแรกจริงๆแล้วใช้ชื่อเดียวกันด้วยซ้ำ นั้นก็คือ Hang's Man Gambit ซึ่งเป็นมินิเกมที่คุณจะต้องหาคำตอบโดยการเอาตัวอักษรที่วิ่งไปวิ่งมาบนจอต่างๆมารวมกันอย่างน้อยสองอันและยิงให้มันออกมาเป็นคำตอบตามในฉากนั้นๆให้ได้ ซึ่งค่อนข้างจะแตกต่างและยากจากภาคแรกพอสมควรเลยทีเดียว ในภาคแรกมันก็แค่ลอยๆขึ้นมาแล้วก็หายไปแค่นั้น แต่ในภาคนี้มันวิ่งไปวิ่งมาบนจอทำให้ยิงยากขึ้น แถมระวังเอาไว้ด้วย ถ้าหากตัวอักษรที่เป็นคนละตัวมาชนกันตัวอักษรนั้นจะระเบิดออกแล้วยังทำความเสียหายแก่ตัวละครของคุณด้วย ถ้าหากตัวละครของคุณรับความเสียหายมากไปคุณก็จะล้มเหลวแล้วต้องเริ่มมินิเกมนั้นๆใหม่หมด แต่....ต้องพูดเลยว่าในด้านของความท้าทาย นี้เป็นมินิเกมที่ตัวเกมค่อนข้างจะช่วยผู้เล่นอยู่พอสมควร ต่อให้คุณไม่ทราบว่าคำตอบที่แท้จริงคืออะไร แค่คุณเดาตัวอักษรที่โผล่ขึ้นมาตัวแรกๆมันก็มักจะถูกและเป็นคำใบ้ให้คุณไปสู่คำตอบที่แท้จริงได้แล้ว อีกนัยนึงก็คือ ตัวอักษรที่ถูกต้องตำแหน่งแรกๆมันมักจะโผล่มาเป็นอันดับแรกๆเสมอ ซึ่งอีกครั้งอาจจะทำให้แฟนเกมสืบสวนสอบสวนชนิดฮาร์ดคอร์ผิดหวังได้ระดับหนึ่งเหมือนกัน
มินิเกมชนิดต่อมาอีกชนิดก็เป็นมินิเกมใหม่ในภาคนี้เช่นเดียวกัน Logic Drive ซึ่งคิดง่ายๆว่าเป็นมินิเกมแข่งรถกระโดดข้ามหลุมและสิ่งกีดขวางต่างๆละกัน แต่ในระหว่างมินิเกมมันจะมีคำถามโผล่ขึ้นมาบนหน้าจอให้คุณตอบซึ่งคำตอบจะแยกออกเป็นสองหรือสามทาง โดยคุณจะต้องเลือกคำตอบให้ถูกต้องตามคำถามในตอนนั้นๆ ถ้าหากคุณตอบผิด ทางที่คุณไปจะเป็นทางขาดซึ่งหมายความว่าคุณจะต้องตกลงหลุมไปร้อยเปอร์เซ็นต์และจะได้รับความเสียหายนิดหน่อย แต่ก็จะกลับมาเริ่มที่จุดเซฟก่อนหน้าให้คุณตอบใหม่ เป็นมินิเกมที่ค่อนข้างจะบันเทิงทีเดียว แต่อาจจะง่ายไปนิด เพราะสุดท้ายเวลาตอบคำถามถ้าคุณตอบผิด คุณก็แค่เปลี่ยนทางในรอบถัดไปก็พอ
มินิเกมชนิดถัดมาซึ่งเป็นมินิเกมที่สั้นที่สุดแล้ว และมักจะเป็นมินิเกมที่ส่วนใหญ่อยู่ตอนใกล้จะจบ Class Trial แล้วก็คือ Select Someone ซึ่งก็ตรงตามชื่อ คุณจะต้องเลือกตัวละครในตอนนั้นว่าใครเป็นคนร้ายตัวจริง ซึ่งตัวเกมจะไม่ได้บอกมาตรงๆคุณจะต้องคิดตามตลอดเวลาในฉากก่อนหน้าว่าหลักฐานชี้ไปที่ใคร ใครมีโอกาสเป็นคนร้ายมากที่สุด โดยคำนึงถึงหลักฐาน เวลา หรือแม้กระทั่งความสามารถเฉพาะตัวของพวกเขา
มินิเกมเกือบสุดท้ายถัดมาซึ่งปกติจะอยู่ตอนใกล้จะจบแล้วเช่นเดียวกันกับ Select Someone และเป็นมินิเกมที่เคยมีมาก่อนในภาคแรกก็คือ Panic Talk Action ซึ่งในภาคแรกใช้ชื่อ Bullet Time Battle โดยยังเป็นมินิเกมที่ให้เรากดปุ่มกากบาทตามจังหวะเสียงเพลงเพื่อทำลายคำพูดของอีกฝ่ายเช่นเคย โดยในช่วงท้ายๆเกมคุณจะไม่สามารถกดตามจังหวะได้อย่างเดียว แต่คุณยังมีกระสุนที่เอาไว้ทำลายคำพูดอีกฝั่งแบบจำกัดอีกด้วย เพราะฉะนั้นคุณจะต้องหาจังหวะบรรจุกระสุนใหม่ด้วยการกดสี่เหลี่ยมด้วย ที่สำคัญคือหลังจากคุณทำลายคำพูดของอีกฝั่งจนหมดและพวกเขาจนมุมแล้ว แตกต่างจากภาคแรกที่คุณจะต้องหากระสุนที่เป็นหลักฐานที่ถูกต้องยิงใส่ตัวละครนั้น ในภาคสองนี้มันจะกลายเป็นคำ 4 คำแทน โดยคำสี่คำจะปรากฏแบบสุ่มอยู่บนมุม บน ล่าง ซ้ายและขวาของจอ ซึ่งแต่ละด้านจะแทนด้วยปุ่ม สามเหลี่ยม กากบาท สี่เหลี่ยม และวงกลม คุณจะต้องกดต่อคำเหล่านี้ให้เป็นคำตอบที่ถูกต้องให้ได้ เพื่อทำลายคำพูดสุดท้ายของตัวละครนั้น ถ้าหากคุณเรียงได้ถูกต้อง คำพูดอีกฝั่งก็จะถูกทำลายและมินิเกมก็จะสำเร็จ
มินิเกมอันสุดท้ายของ Class Trial ก็คือ Closing Augment ซึ่งเป็นมินิเกมที่คล้ายคลึงกับภาคแรกพอสมควรและยังใช้ชื่อเดิมอีกด้วย โดยหลักๆมินิเกมนี้จะให้หนังสือการ์ตูนคุณมา ซึ่งหนังสือการ์ตูนนี้ก็คือเหตุการณ์การฆาตกรรมที่เกิดขึ้น แล้วในบางส่วนของหนังสือการ์ตูนนี้จะมีช่องบางช่องที่หายไป โดยคุณจะได้รับชิ้นส่วนช่องของหนังสือการ์ตูนเพื่อไปใส่ช่องที่หายไปให้ถูกต้อง แต่แตกต่างจากในภาคแรกที่ตัวเกมจะให้ชิ้นส่วนมาทั้งหมดเลย ในภาคนี้ตัวเกมจะให้คุณมาเพียง 5 ชิ้นหรือน้อยกว่านิดหน่อย โดยในแต่ละชุดจะมีเพียงแค่สามหรือสองชิ้นขึ้นอยู่กับจำนวนที่ให้มาเท่านั้นที่ถูกต้องและใช้ได้จริงๆ ที่เหลือจะเป็นตัวหลอกทั้งหมด เมื่อคุณใส่ถูกช่องไม่ว่าจะเป็นสองหรือสามช่อง ตัวหลอกจะหายไปแล้วชุดหมายจะขึ้นมาแทนที่ หมายความว่าคุณจะต้องมานั่งสรุป และวิเคราะห์สถานการณ์ที่เกิดขึ้นแล้ว ว่าในรูปนี้คือตอนไหน ใส่ตอนไหน ในแต่ละหน้าคือเหตุการณ์ตอนไหน ช่วงไหนที่หายไป ต่างจากภาคแรกที่ผู้เขียนแทบจะไม่เคยเลื่อนหน้า ใส่ให้จบๆมันไปทีละหน้าเลยเพราะมันมีมาให้ครบอยู่แล้ว อีกส่วนที่แตกต่างคือภาคนี้เวลาคุณใส่ช่อง ถูกหรือผิดมันจะบอกเราเลย ต่างจากภาคแรกที่ต้องกดยืนยันก่อนมันถึงจะบอกว่าถูกหรือผิดซึ่งเราจะต้องมานั่งใส่ใหม่น่ารำคาญพอสมควร จึงต้องพูดเลยว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงที่ไปในถูกทางแล้ว เมื่อคุณใส่แต่ละช่องได้ถูกหมด ตัวละครจะสรุปเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริงทั้งหมดในเหตุการณ์นั้น และตบท้ายด้วยการบอกว่าใครคือคนร้ายที่แท้จริงใน Chapter นั้น
- มา จัดมาให้หมด !!
นี้ก็คือมินิเกมทั้งหมดใน Class Trial ซึ่งเพิ่มขึ้นมาถึง 2 มินิเกมและยังปรับปรุงจุดน่ารำคาญ ไม่จำเป็นบางจุดในภาคแรกอีกด้วย ที่สำคัญเลยก็คือมันยากและท้าท้ายขึ้นกว่าภาคแรกพอสมควรเลยทีเดียวในภาคนี้ แต่ก็ไม่ได้ยากถึงขนาดจะผ่านไม่ได้เลย ตัวเกมยังคอยมีตัวช่วยเสมอ ไม่ว่าจะเป็นสกิลที่คุณจะได้จากการแลก Hope Fragments หรือแม้กระทั่งพัฒนาความสัมพันธ์กับตัวละครอื่นๆซักตัวให้สูงสุดคุณก็จะได้สกิลพิเศษเช่นเดียวกัน ซึ่งสกิลเหล่านี้จะช่วยทำให้มินิเกมต่างๆง่ายขึ้น เช่นให้เวลาที่มากขึ้น , ยิงคำพูดที่แทรกเข้ามาใน Nonstop Debate/Consent ได้ง่ายยิ่งขึ้น หรือตัดคำพูดสีขาวใน Rebuttal Showdown ได้ง่ายยิ่งขึ้นเป็นต้น ไม่ใช่แค่นั้นตัวเกมยังมีหลอด Concentration หรือหลอดเพ่งเล็งทำให้เวลาต่างๆในมินิเกมช้าขึ้นจึงทำให้เราทำลายคำพูดแทรกและยิงคำพูดต่างๆได้ง่ายยิ่งขึ้นใน Nonstop Debate / Consent หรือทำให้เราไม่จำเป็นจะต้องรีโหลดกระสุนและแสปมมั่วๆโดยไม่ต้องสนใจจังหวะได้เลยในโหมด Panic Talk Action โดยหลอดนี้จะฟื้นคืนมาตามเวลา สุดท้ายแล้วยังมีมินิเกมเล็กๆที่ให้ผู้เล่นเลี้ยงสัตว์เลี้ยงเล็กๆซึ่งสัตว์เลี้ยงจะโตขึ้นเวลาเราเดินไปเดินมาในเกม เมื่อโตถึงจุดหนึ่งมันก็จะจากไปโดยจะให้ไอเทมเราเล็กๆน้อยๆ รวมถึงทิ้งไข่เอาไว้ให้เราเลี้ยงตัวใหม่อีกด้วย เป็นมินิเกมเล็กๆที่ไม่ได้มีอะไรน่าตื่นเต้นซักเท่าไรแต่ก็ถือเป็นโบนัสเล็กๆน้อยๆให้เรามีอะไรทำในช่วง Free Time ต่างๆ จึงเป็นจุดที่ต้องขอชมทีมผู้สร้าง Spike Chunsoft เลย ที่พัฒนาและปรับปรุงตัวเกมให้ดียิ่งขึ้นได้อย่างยอดเยี่ยมเลยทีเดียว
หลังจากพูดถึงช่วงต่างๆในเกมรวมถึงมินิเกมหลากหลายชนิดไปแล้ว ก็ต้องมาพูดถึงตัวเนื้อเรื่องและเหตุการณ์ความซับซ้อนของฉากฆาตกรรมต่างๆกันบ้าง โดยจะไม่พยายามสปอยล์เนื้อหาอะไรทั้งนั้น แต่พูดได้เลยว่าถ้าหากเทียบกับภาคแรก ตัวภาคสอง Goodbye Despair นั้นมีเนื้อเรื่องและการดำเนินเรื่องที่ค่อนข้างจะเหนือชั้นกว่าภาคแรกพอสมควร เนื้อเรื่องหลักก็น่าสนใจ น่าติดตามและพยายามหลอกผู้เล่นตลอดเวลา(โดยเฉพาะผู้ที่เล่นภาคแรกมาก่อนจะโดนหลอกเป็นพิเศษ) ซึ่งมันก็ทำให้เรายิ่งอยากรู้ตอนจบเข้าไปอีก ในส่วนของฉากฆาตกรรมเองก็ซับซ้อนและเดาทางได้ยากมากกว่าเดิม ที่น่าสนใจก็คือตัวเกมมีความลึกในตัวฉากฆาตกรรมต่างๆนี้มากขึ้น การเชื่อมโยงจุดต่างๆถูกเขียนออกมาได้อย่างซับซ้อนและคาดไม่ถึงยิ่งกว่าเดิม ถึงแม้ว่าบางจุดมันอาจจะซับซ้อนเกินไปชนิดที่ออกแนวบ้าๆบอๆซึ่งพาทำให้ผู้เขียนหลงทางไปบ้าง แต่ก็ไม่ได้เจอบ่อยและหนักหนามากซักเท่าไร
- นี้เอ็งแอบโฆษณาภาคต่อ Danganronpa : Another Episode ใช่ไหมเนี้ย
ส่วนสุดท้ายที่จะพูดถึงในภาคนี้ก็คือ ตัวละครต่างๆในเกม ซึ่งยังคงมีความคล้ายคลึงกับตัวละครในภาคแรกพอสมควร นั้นก็คือแต่ละตัวละครต่างๆค่อนข้างจะบ้าๆและเหมือนตัวละครในหนังสือการ์ตูนพอสมควร เช่นบางตัวละครชอบพูดเสียงดัง บางตัวละครชอบแกล้งคนอื่น หรือบางตัวละครทำตัวแปลกๆ เป็นต้น แต่ตัวละครต่างๆก็ถือได้ว่าน่าสนใจทุกตัวละครเลยทีเดียว โดยทุกๆตัวละครจะเป็น "Ultimate" ในด้านต่างๆ เช่น Ultimate Gamer , Ultimate Yakuza หรือแม้กระทั่ง Ultimate Nurse ซึ่งแล้วแต่เลยว่าคุณจะใช้เวลาว่างไปกับตัวละครใด แต่ขอเตือนไว้ก่อนว่าระวังไว้ พวกเขาอาจจะไม่ใช่คนดีอย่างที่พวกคุณคิด ความคิดที่อันตรายมากที่สุดในเกมซีรียส์ Danganronpa เลยก็คือการไว้ใจตัวละครอื่นๆ ไม่แน่ตัวละครที่คุณคิดว่าไร้เดียงสาและน่ารักมากที่สุด อาจจะกลายเป็นศพหรือแม้กระทั่งฆาตกรใน Chapter ถัดไปก็เป็นได้
ในท้ายที่สุด Danganronpa 2 : Goodbye Despair ไม่ใช่แค่เกมภาคต่อจาก Trigger Happy Havoc เฉยๆ แต่ยังเป็นภาคต่อที่พัฒนา ปรับปรุงมินิเกมต่างๆให้ท้าทายและซับซ้อนยิ่งขึ้นกว่าภาคแรก เมื่อไปรวมกับเนื้อเรื่องและฉากฆาตกรรมที่ซับซ้อนรวมถึงฉลาดมากยิ่งขึ้น ทำให้ทราบเลยว่า ทีมผู้สร้าง Spike Chunsoft มีความตั้งใจและความมุ่งมั่นแค่ไหน ที่จะพัฒนาเกมซีรียส์นี้ให้ก้าวหน้าไปอีกขั้น เรียกได้ว่านี้คืออีกหนึ่งเกมของผู้ใช้ PSVita ทุกคนที่จะต้องได้สัมผัสซักครั้ง
Final Score : [ A ] & [ Must Play Badge ]
อ่านบทวิจารณ์เก่าๆ ติดตามบทวิจารณ์ใหม่ๆและติดตามแฟนเพจได้ที่นี้ครับ :)
[Link]
[Link]
Danganronpa 2 : Goodbye Despair
"ภาคต่อของ Danganronpa : Trigger Happy Havoc ที่พัฒนาขึ้นในทุกด้านอย่างชัดเจน ท่ามกลางความสิ้นหวัง คุณจะเชื่อใครได้ ?!!"
ถ้าหากจะมีเกมภาคต่อเกมใด ที่ผู้เขียนตั้งตารอคอยจะได้เล่นแบบแทบจะนับวันซักเกมเลย เกมๆนั้นก็คงจะเป็น Danganronpa 2 : Goodbye Despair นี้แหละ จากภาคแรก Trigger Happy Havoc ที่เป็นเกมที่ยอดเยี่ยมที่สุดของเครื่อง PSVita เกมหนึ่ง สู่ภาคต่อนี้ ที่ต้องพูดเลยว่าน่าประทับใจเสียยิ่งกว่าภาคแรกซะอีก
Danganronpa 2 : Goodbye Despair เป็นเกมแนว Visual Novel โดยเนื้อเรื่องหลักๆก็ยังคงความคล้ายคลึงเดิมจากภาคแรก คุณจะได้เล่นเป็น ฮาจิเมะ ฮินาตะเด็กนักเรียนที่เข้าเรียน Hope's Peak Academy แต่เขากลับพบว่า ตัวเขาเองไปอยู่บนเกาะแห่งหนึ่ง ซ้ำยังมีหมีที่ชื่อว่า "โมโนคุมะ" ห้ามเขาไม่ให้ออกไปจากเกาะ โดยมีข้อแม้ว่าสามารถออกไปจากเกาะได้ ถ้าหากใครซักคนฆ่าเพื่อนในกลุ่มของตัวเอง และจะต้องรอดจากการถูกจับได้อีกด้วย !! ความหวาดระแวง และความหวังที่เริ่มจะมลายหายไปขึ้นเรื่อยๆ ฮาจิเมะจะสามารถรอดออกจากเกาะนี้ไปได้หรือไม่ และเบื้องหลังของโมโนคุมะคืออะไรกันแน่ !!?
ก่อนอื่นต้องขอพูดก่อนเลยว่า สำหรับท่านใดที่ไม่เคยเล่นเกมภาคแรกมาก่อนซึ่งก็คือ Danganronpa : Trigger Happy Havoc ผู้เขียนแนะนำให้ไปหามาเล่นก่อนจริงๆ ถึงแม้มันจะไม่ได้สำคัญขนาดที่จะทำให้เล่นภาคต่อไม่รู้เรื่องเลย แต่ผู้เขียนคิดว่าการเล่นภาคแรกมาก่อนจะได้เปรียบกว่าคนไม่ได้เล่นภาคแรกมากกว่าเยอะ อย่างแรกเลยก็คือผู้ที่เล่นภาคแรกมาก่อนจะเข้าใจกฏของตัวเกมได้มากกว่าผู้ที่เพิ่งสัมผัสตัวเกมครั้งแรก จากที่ภาคแรกค่อนข้างจะอธิบายกฏได้ชัดเจนมากกว่า อย่างที่สองก็คือโบนัสในเกมต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นของหรือไอเทมยิบๆย่อยๆที่แอบเชื่อมโยงไปสู่ภาคแรก ที่ทำให้ผู้ที่เล่นภาคแรกน่าจะยิ้มหรือนึกถึงภาคแรกได้บ้าง ก็ถือเป็นโบนัสที่ไม่เลวเลยทีเดียว
อีกจุดหนึ่งเลยก็คือความเป็น Visual Novel ของมันซึ่งต้องอาศัยการคิดตาม ตีโจทย์ และอ่านหรือฟังอยู่ตลอดเวลา ซึ่งผู้เขียนส่วนตัวคิดว่ามันเป็นอะไรที่ตัวเกมทำได้อย่างยอดเยี่ยมและไม่น่ารำคาญเลยแม้แต่น้อย แต่ถ้าหากท่านเป็นคนที่ไม่ชอบอ่านหรือฟังอะไรเยอะๆ นี้ก็อาจจะไม่ใช่เกมของท่านก็เป็นได้ ส่วนสำหรับท่านที่ไม่ประสงค์จะฟังตัวละครพูดเป็นภาษาอังกฤษแต่ก็อ่านภาษาญี่ปุ่นไม่รู้เรื่อง ก็ไม่ต้องเป็นห่วงไป เช่นเดียวกับภาคแรก Danganronpa 2 : Goodbye Despair มีทางเลือกให้คุณเลือกก่อนเริ่มเกมเลย ว่าคุณจะให้เสียงพากษ์เป็นเสียงอังกฤษหรือญี่ปุ่น ซึ่งส่วนตัวผู้เขียนก็ชินกับเสียงพากษ์โมโนคุมะแบบภาษาอังกฤษไปแล้ว ซึ่งก็พากษ์ได้ดีในระดับหนึ่งทีเดียว
สำหรับ Danganronpa 2 : Goodbye Despair ยังคงคอนเซปคล้ายๆกับภาคแรกหรือแทบจะเหมือนกันหมด นั้นก็คือในเวลาปกติเหตุการณ์เนื้อเรื่องจะดำเนินไป โดยมีช่วงหลักใหญ่ๆสามช่วง ช่วงแรกก็คือ Free Time หรือเวลาว่าง ที่จะให้อารมณ์เหมือนเป็นเกมจีบสาว จีบผู้ชายอะไรก็ว่าไป โดยเป็นช่วงที่ให้เวลากับผู้เล่นจะทำอะไรก็ได้ วิ่งรอบเกาะหาตุ๊กตาโมโนคุมะเพื่อเก็บเหรียญเอาไปใช้หมุนตู้ของขวัญ หรือคุณจะใช้เวลาไปกับการคุยกับตัวละครตัวอื่นๆ เพื่อทราบถึงเบื้องหลังหรือความคิดของพวกเขา ซึ่งในภาคนี้ค่อนข้างจะสำคัญพอสมควร แตกต่างจากภาคแรก ภาคนี้สกิลที่เอาไว้ใช้ในช่วงถัดไปจะต้องแลกด้วย Hope Fragments ซึ่งได้มาจากการคุยกับตัวละครต่างๆ ซึ่งสกิลเหล่านี้ก็เอาไว้ช่วยทำให้เกมง่ายขึ้นนิดหน่อยในช่วงถัดๆไป แต่ตัวเกมในจุดนี้ก็เช่นเคยแบบภาคแรก ไม่ได้บังคับอะไร คุณจะข้ามไม่คุยกับใครเลยก็ได้เช่นเดียวกัน แต่คุณก็จะไม่ได้รับสกิลอะไรเลย รวมถึงคุณจะไม่ทราบถึงทัศนะคติและความคิดบางอย่างของตัวละครตัวโปรดของคุณอีกด้วย
ในส่วนถัดมาส่วนที่สองคือหลังจากมีเหตุการณ์การฆาตกรรมกันเกิดขึ้นจะเข้าสู่ช่วง Investigate Time คือช่วงสืบสวน หาหลักฐานที่ในเกมเรียกว่า "Truth Bullet" และพยายามคาดเดาให้ได้ว่าใครเป็นคนร้าย ซึ่งในส่วนนี้เหมือนกับภาคแรกเปะๆตรงที่ยังคงไม่อนุญาติให้ผู้เล่นออกจากห้องต่างๆถ้าหากยังหาหลักฐานไม่ครบ จึงอาจจะทำให้ผู้เล่นเกมแนวสืบสวนสอบสวนแบบฮาร์ดคอร์รำคาญบ้างแต่ก็ไม่ได้ถึงขนาดที่จะกดๆข้ามไปเลยซะทีเดียว
แต่ช่วงที่สำคัญที่สุดและเป็นจุดเด่น/หัวใจที่แท้จริงของเกม Danganronpa เลยก็คือ ช่วงที่สาม "Class Trial" ต่างหาก ในช่วงนี้จะเป็นช่วงที่ตัวละครทุกตัวจะมารวมกันที่ศาลและถกเถียงกันว่าเหตุการณ์นั้นเกิดขึ้นได้อย่างไร ใครเป็นฆาตกร โดยในช่วงนี้จะแบ่งออกเป็นมินิเกมย่อยต่างๆ
มินิเกมแรกคือ Nonstop Debate / Consent ซึ่งเป็นมินิเกมที่คุณจะได้ฟังตัวละครแต่ละตัวถกเถียงเรื่องราวต่างๆขึ้นมา แต่แตกต่างจากภาคแรกตรงที่ ในภาคแรกมันจะมีเพียงแค่คำพูดสีเหลืองซึ่งแสดงถึงการสงสัยว่าคำนั้นเป็นคำ"โกหก"โผล่ขึ้นมาเท่านั้น แต่ในภาคนี้มันมีสีใหม่เพิ่มขึ้นมานั้นก็คือคำพูดสีฟ้าซึ่งหมายความว่าเรา"เห็นด้วย"กับคำพูดของคนๆนั้น ซึ่งสร้างความแปลกใหม่ สีสันและความท้าทายให้กับตัวมินิเกมนี้ขึ้นมากๆ เพราะจากภาคแรกที่เราปกติก็แค่หาว่าคำพูดไหนโกหกหรือน่าสงสัยแล้วจากนั้นก็ยิงมันด้วยหลักฐานที่เรามีหรือดูดคำพูดที่เป็นหลักฐานที่แท้จริงมาจากตัวละครอื่นๆเพื่อพิสูจน์ว่าคนๆนั้นโกหกก็พอ ภาคนี้เรายังสามารถใช้หลักฐานในการเห็นด้วยกับตัวละครอื่น ซึ่งในช่วงท้ายๆของเกมมันจะมีทั้งคำพูดฟ้าและเหลืองปนกัน ทำให้ยากในการแสปมกดมั่วๆขึ้นมาก เพราะไม่ใช่แค่ว่าเราจะต้องหาเพียงคำพูดโกหก เราจะต้องตีโจทย์ให้แตกด้วยว่าสรุปแล้วมีใครโกหกหรือไม่ โกหกอย่างไร หรือ คำพูดของใครที่ถูกต้อง เราควรจะยิงด้วยหลักฐานชิ้นใดเป็นต้น นอกจากนั้นแล้วในช่วงหลังๆยังจะมีคำพูดสีม่วงลอยเข้ามาแบบมั่วๆอีกด้วยซึ่งคำพูดสีม่วงนี้เป็นเสมือนความคิดที่ถูกแทรกเข้ามาข้างหน้าคำพูดอื่นๆจะทำให้เรายิงคำพูดข้างหลังไม่โดน เราจึงจะต้องใช้ปุ่มกากบาทเลื่อนไปกดทำลายมันหรือจะใช้ Touch Pad ด้านหลังของ Vita ก็ได้ ถึงจะสามารถยิงใส่คำพูดด้านหลังมันได้ นี้ยังไม่นับคำพูดต่างๆในเกมโดยเฉพาะช่วงหลังที่ไม่ได้อยู่นิ่งๆให้เรายิง มีทั้งประเภทเอียงขวา เอียงซ้าย แม้กระทั่งหมุนตีลังกาเลยยังมีซึ่งทำให้เรายิงได้ลำบากยิ่งขึ้น
- อืมม์...คำพูดนี้ควรจะเห็นด้วยไหมหนอ ?
มินิเกมถัดมาที่ผู้เขียนถูกใจมากที่สุดในภาคนี้ มินิเกมนั้นก็คือ Rebuttal Showdown ซึ่งเป็นมินิเกมใหม่ในภาคนี้ ตัวมินิเกมนี้คล้ายๆกับ Make Your Augment ในบางส่วน แต่แทนที่เราจะเป็นคนจับผิดหรือเห็นด้วยกับตัวละครอื่นๆ Rebuttal Showdown จะเกิดขึ้นเมื่อตัวละครหลักพูดอะไรไปบางอย่าง แล้วตัวละครอื่นไม่เห็นด้วยจึงแย้งเรากลับมาทำให้เกิดมินิเกมนี้ขึ้น ซึ่งเราจะต้องใช้มีดซึ่งจริงๆมันก็คล้ายๆกับกระสุนที่ใช้ในการยิงคำพูดคนอื่นใน Make Your Augment นั้นแหละ ตัดคำพูดอีกฝ่ายและยืนยันว่าสิ่งที่เราพูดไปนั้นเป็นความจริง แต่ในระหว่างนั้นเราจะต้องใช้นิ้วของเราลากตัดคำพูดสีขาวของอีกฝั่งด้วย เพื่อให้อีกฝั่งนั้นจนมุมและเผยคำพูดที่ไม่เป็นความจริงออกมา เราจึงจะใช้มีดเฉพาะอันที่เป็นหลักฐานที่ถูกต้อง ตัดคำพูดของพวกเขาได้ แต่ระวังด้วย !! ไม่ใช่คำพูดสีเหลืองทุกอันจะถูก ตัวเกมจะพยายามหลอกคุณเสมอๆไม่ใช่แค่ในมินิเกมนี้ แต่ในทุกๆมินิเกม ซึ่งสาเหตุที่มินิเกมใหม่ชนิดนี้เป็นมินิเกมที่ผู้เขียนชอบมากที่สุดในภาคนี้ ก็เพราะว่ามันเป็นอะไรที่ซะใจมากๆ ในการที่มีคนอื่นโต้แย้งมา แล้วคุณเสมือนตบหน้าคนๆนั้นกลับไปด้วยหลักฐาน
- โดนเถียงซะแล้ว...
มินิเกมชนิดต่อมาก็เป็นมินิเกมที่คล้ายๆกับภาคแรกจริงๆแล้วใช้ชื่อเดียวกันด้วยซ้ำ นั้นก็คือ Hang's Man Gambit ซึ่งเป็นมินิเกมที่คุณจะต้องหาคำตอบโดยการเอาตัวอักษรที่วิ่งไปวิ่งมาบนจอต่างๆมารวมกันอย่างน้อยสองอันและยิงให้มันออกมาเป็นคำตอบตามในฉากนั้นๆให้ได้ ซึ่งค่อนข้างจะแตกต่างและยากจากภาคแรกพอสมควรเลยทีเดียว ในภาคแรกมันก็แค่ลอยๆขึ้นมาแล้วก็หายไปแค่นั้น แต่ในภาคนี้มันวิ่งไปวิ่งมาบนจอทำให้ยิงยากขึ้น แถมระวังเอาไว้ด้วย ถ้าหากตัวอักษรที่เป็นคนละตัวมาชนกันตัวอักษรนั้นจะระเบิดออกแล้วยังทำความเสียหายแก่ตัวละครของคุณด้วย ถ้าหากตัวละครของคุณรับความเสียหายมากไปคุณก็จะล้มเหลวแล้วต้องเริ่มมินิเกมนั้นๆใหม่หมด แต่....ต้องพูดเลยว่าในด้านของความท้าทาย นี้เป็นมินิเกมที่ตัวเกมค่อนข้างจะช่วยผู้เล่นอยู่พอสมควร ต่อให้คุณไม่ทราบว่าคำตอบที่แท้จริงคืออะไร แค่คุณเดาตัวอักษรที่โผล่ขึ้นมาตัวแรกๆมันก็มักจะถูกและเป็นคำใบ้ให้คุณไปสู่คำตอบที่แท้จริงได้แล้ว อีกนัยนึงก็คือ ตัวอักษรที่ถูกต้องตำแหน่งแรกๆมันมักจะโผล่มาเป็นอันดับแรกๆเสมอ ซึ่งอีกครั้งอาจจะทำให้แฟนเกมสืบสวนสอบสวนชนิดฮาร์ดคอร์ผิดหวังได้ระดับหนึ่งเหมือนกัน
มินิเกมชนิดต่อมาอีกชนิดก็เป็นมินิเกมใหม่ในภาคนี้เช่นเดียวกัน Logic Drive ซึ่งคิดง่ายๆว่าเป็นมินิเกมแข่งรถกระโดดข้ามหลุมและสิ่งกีดขวางต่างๆละกัน แต่ในระหว่างมินิเกมมันจะมีคำถามโผล่ขึ้นมาบนหน้าจอให้คุณตอบซึ่งคำตอบจะแยกออกเป็นสองหรือสามทาง โดยคุณจะต้องเลือกคำตอบให้ถูกต้องตามคำถามในตอนนั้นๆ ถ้าหากคุณตอบผิด ทางที่คุณไปจะเป็นทางขาดซึ่งหมายความว่าคุณจะต้องตกลงหลุมไปร้อยเปอร์เซ็นต์และจะได้รับความเสียหายนิดหน่อย แต่ก็จะกลับมาเริ่มที่จุดเซฟก่อนหน้าให้คุณตอบใหม่ เป็นมินิเกมที่ค่อนข้างจะบันเทิงทีเดียว แต่อาจจะง่ายไปนิด เพราะสุดท้ายเวลาตอบคำถามถ้าคุณตอบผิด คุณก็แค่เปลี่ยนทางในรอบถัดไปก็พอ
มินิเกมชนิดถัดมาซึ่งเป็นมินิเกมที่สั้นที่สุดแล้ว และมักจะเป็นมินิเกมที่ส่วนใหญ่อยู่ตอนใกล้จะจบ Class Trial แล้วก็คือ Select Someone ซึ่งก็ตรงตามชื่อ คุณจะต้องเลือกตัวละครในตอนนั้นว่าใครเป็นคนร้ายตัวจริง ซึ่งตัวเกมจะไม่ได้บอกมาตรงๆคุณจะต้องคิดตามตลอดเวลาในฉากก่อนหน้าว่าหลักฐานชี้ไปที่ใคร ใครมีโอกาสเป็นคนร้ายมากที่สุด โดยคำนึงถึงหลักฐาน เวลา หรือแม้กระทั่งความสามารถเฉพาะตัวของพวกเขา
มินิเกมเกือบสุดท้ายถัดมาซึ่งปกติจะอยู่ตอนใกล้จะจบแล้วเช่นเดียวกันกับ Select Someone และเป็นมินิเกมที่เคยมีมาก่อนในภาคแรกก็คือ Panic Talk Action ซึ่งในภาคแรกใช้ชื่อ Bullet Time Battle โดยยังเป็นมินิเกมที่ให้เรากดปุ่มกากบาทตามจังหวะเสียงเพลงเพื่อทำลายคำพูดของอีกฝ่ายเช่นเคย โดยในช่วงท้ายๆเกมคุณจะไม่สามารถกดตามจังหวะได้อย่างเดียว แต่คุณยังมีกระสุนที่เอาไว้ทำลายคำพูดอีกฝั่งแบบจำกัดอีกด้วย เพราะฉะนั้นคุณจะต้องหาจังหวะบรรจุกระสุนใหม่ด้วยการกดสี่เหลี่ยมด้วย ที่สำคัญคือหลังจากคุณทำลายคำพูดของอีกฝั่งจนหมดและพวกเขาจนมุมแล้ว แตกต่างจากภาคแรกที่คุณจะต้องหากระสุนที่เป็นหลักฐานที่ถูกต้องยิงใส่ตัวละครนั้น ในภาคสองนี้มันจะกลายเป็นคำ 4 คำแทน โดยคำสี่คำจะปรากฏแบบสุ่มอยู่บนมุม บน ล่าง ซ้ายและขวาของจอ ซึ่งแต่ละด้านจะแทนด้วยปุ่ม สามเหลี่ยม กากบาท สี่เหลี่ยม และวงกลม คุณจะต้องกดต่อคำเหล่านี้ให้เป็นคำตอบที่ถูกต้องให้ได้ เพื่อทำลายคำพูดสุดท้ายของตัวละครนั้น ถ้าหากคุณเรียงได้ถูกต้อง คำพูดอีกฝั่งก็จะถูกทำลายและมินิเกมก็จะสำเร็จ
มินิเกมอันสุดท้ายของ Class Trial ก็คือ Closing Augment ซึ่งเป็นมินิเกมที่คล้ายคลึงกับภาคแรกพอสมควรและยังใช้ชื่อเดิมอีกด้วย โดยหลักๆมินิเกมนี้จะให้หนังสือการ์ตูนคุณมา ซึ่งหนังสือการ์ตูนนี้ก็คือเหตุการณ์การฆาตกรรมที่เกิดขึ้น แล้วในบางส่วนของหนังสือการ์ตูนนี้จะมีช่องบางช่องที่หายไป โดยคุณจะได้รับชิ้นส่วนช่องของหนังสือการ์ตูนเพื่อไปใส่ช่องที่หายไปให้ถูกต้อง แต่แตกต่างจากในภาคแรกที่ตัวเกมจะให้ชิ้นส่วนมาทั้งหมดเลย ในภาคนี้ตัวเกมจะให้คุณมาเพียง 5 ชิ้นหรือน้อยกว่านิดหน่อย โดยในแต่ละชุดจะมีเพียงแค่สามหรือสองชิ้นขึ้นอยู่กับจำนวนที่ให้มาเท่านั้นที่ถูกต้องและใช้ได้จริงๆ ที่เหลือจะเป็นตัวหลอกทั้งหมด เมื่อคุณใส่ถูกช่องไม่ว่าจะเป็นสองหรือสามช่อง ตัวหลอกจะหายไปแล้วชุดหมายจะขึ้นมาแทนที่ หมายความว่าคุณจะต้องมานั่งสรุป และวิเคราะห์สถานการณ์ที่เกิดขึ้นแล้ว ว่าในรูปนี้คือตอนไหน ใส่ตอนไหน ในแต่ละหน้าคือเหตุการณ์ตอนไหน ช่วงไหนที่หายไป ต่างจากภาคแรกที่ผู้เขียนแทบจะไม่เคยเลื่อนหน้า ใส่ให้จบๆมันไปทีละหน้าเลยเพราะมันมีมาให้ครบอยู่แล้ว อีกส่วนที่แตกต่างคือภาคนี้เวลาคุณใส่ช่อง ถูกหรือผิดมันจะบอกเราเลย ต่างจากภาคแรกที่ต้องกดยืนยันก่อนมันถึงจะบอกว่าถูกหรือผิดซึ่งเราจะต้องมานั่งใส่ใหม่น่ารำคาญพอสมควร จึงต้องพูดเลยว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงที่ไปในถูกทางแล้ว เมื่อคุณใส่แต่ละช่องได้ถูกหมด ตัวละครจะสรุปเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริงทั้งหมดในเหตุการณ์นั้น และตบท้ายด้วยการบอกว่าใครคือคนร้ายที่แท้จริงใน Chapter นั้น
- มา จัดมาให้หมด !!
นี้ก็คือมินิเกมทั้งหมดใน Class Trial ซึ่งเพิ่มขึ้นมาถึง 2 มินิเกมและยังปรับปรุงจุดน่ารำคาญ ไม่จำเป็นบางจุดในภาคแรกอีกด้วย ที่สำคัญเลยก็คือมันยากและท้าท้ายขึ้นกว่าภาคแรกพอสมควรเลยทีเดียวในภาคนี้ แต่ก็ไม่ได้ยากถึงขนาดจะผ่านไม่ได้เลย ตัวเกมยังคอยมีตัวช่วยเสมอ ไม่ว่าจะเป็นสกิลที่คุณจะได้จากการแลก Hope Fragments หรือแม้กระทั่งพัฒนาความสัมพันธ์กับตัวละครอื่นๆซักตัวให้สูงสุดคุณก็จะได้สกิลพิเศษเช่นเดียวกัน ซึ่งสกิลเหล่านี้จะช่วยทำให้มินิเกมต่างๆง่ายขึ้น เช่นให้เวลาที่มากขึ้น , ยิงคำพูดที่แทรกเข้ามาใน Nonstop Debate/Consent ได้ง่ายยิ่งขึ้น หรือตัดคำพูดสีขาวใน Rebuttal Showdown ได้ง่ายยิ่งขึ้นเป็นต้น ไม่ใช่แค่นั้นตัวเกมยังมีหลอด Concentration หรือหลอดเพ่งเล็งทำให้เวลาต่างๆในมินิเกมช้าขึ้นจึงทำให้เราทำลายคำพูดแทรกและยิงคำพูดต่างๆได้ง่ายยิ่งขึ้นใน Nonstop Debate / Consent หรือทำให้เราไม่จำเป็นจะต้องรีโหลดกระสุนและแสปมมั่วๆโดยไม่ต้องสนใจจังหวะได้เลยในโหมด Panic Talk Action โดยหลอดนี้จะฟื้นคืนมาตามเวลา สุดท้ายแล้วยังมีมินิเกมเล็กๆที่ให้ผู้เล่นเลี้ยงสัตว์เลี้ยงเล็กๆซึ่งสัตว์เลี้ยงจะโตขึ้นเวลาเราเดินไปเดินมาในเกม เมื่อโตถึงจุดหนึ่งมันก็จะจากไปโดยจะให้ไอเทมเราเล็กๆน้อยๆ รวมถึงทิ้งไข่เอาไว้ให้เราเลี้ยงตัวใหม่อีกด้วย เป็นมินิเกมเล็กๆที่ไม่ได้มีอะไรน่าตื่นเต้นซักเท่าไรแต่ก็ถือเป็นโบนัสเล็กๆน้อยๆให้เรามีอะไรทำในช่วง Free Time ต่างๆ จึงเป็นจุดที่ต้องขอชมทีมผู้สร้าง Spike Chunsoft เลย ที่พัฒนาและปรับปรุงตัวเกมให้ดียิ่งขึ้นได้อย่างยอดเยี่ยมเลยทีเดียว
หลังจากพูดถึงช่วงต่างๆในเกมรวมถึงมินิเกมหลากหลายชนิดไปแล้ว ก็ต้องมาพูดถึงตัวเนื้อเรื่องและเหตุการณ์ความซับซ้อนของฉากฆาตกรรมต่างๆกันบ้าง โดยจะไม่พยายามสปอยล์เนื้อหาอะไรทั้งนั้น แต่พูดได้เลยว่าถ้าหากเทียบกับภาคแรก ตัวภาคสอง Goodbye Despair นั้นมีเนื้อเรื่องและการดำเนินเรื่องที่ค่อนข้างจะเหนือชั้นกว่าภาคแรกพอสมควร เนื้อเรื่องหลักก็น่าสนใจ น่าติดตามและพยายามหลอกผู้เล่นตลอดเวลา(โดยเฉพาะผู้ที่เล่นภาคแรกมาก่อนจะโดนหลอกเป็นพิเศษ) ซึ่งมันก็ทำให้เรายิ่งอยากรู้ตอนจบเข้าไปอีก ในส่วนของฉากฆาตกรรมเองก็ซับซ้อนและเดาทางได้ยากมากกว่าเดิม ที่น่าสนใจก็คือตัวเกมมีความลึกในตัวฉากฆาตกรรมต่างๆนี้มากขึ้น การเชื่อมโยงจุดต่างๆถูกเขียนออกมาได้อย่างซับซ้อนและคาดไม่ถึงยิ่งกว่าเดิม ถึงแม้ว่าบางจุดมันอาจจะซับซ้อนเกินไปชนิดที่ออกแนวบ้าๆบอๆซึ่งพาทำให้ผู้เขียนหลงทางไปบ้าง แต่ก็ไม่ได้เจอบ่อยและหนักหนามากซักเท่าไร
- นี้เอ็งแอบโฆษณาภาคต่อ Danganronpa : Another Episode ใช่ไหมเนี้ย
ส่วนสุดท้ายที่จะพูดถึงในภาคนี้ก็คือ ตัวละครต่างๆในเกม ซึ่งยังคงมีความคล้ายคลึงกับตัวละครในภาคแรกพอสมควร นั้นก็คือแต่ละตัวละครต่างๆค่อนข้างจะบ้าๆและเหมือนตัวละครในหนังสือการ์ตูนพอสมควร เช่นบางตัวละครชอบพูดเสียงดัง บางตัวละครชอบแกล้งคนอื่น หรือบางตัวละครทำตัวแปลกๆ เป็นต้น แต่ตัวละครต่างๆก็ถือได้ว่าน่าสนใจทุกตัวละครเลยทีเดียว โดยทุกๆตัวละครจะเป็น "Ultimate" ในด้านต่างๆ เช่น Ultimate Gamer , Ultimate Yakuza หรือแม้กระทั่ง Ultimate Nurse ซึ่งแล้วแต่เลยว่าคุณจะใช้เวลาว่างไปกับตัวละครใด แต่ขอเตือนไว้ก่อนว่าระวังไว้ พวกเขาอาจจะไม่ใช่คนดีอย่างที่พวกคุณคิด ความคิดที่อันตรายมากที่สุดในเกมซีรียส์ Danganronpa เลยก็คือการไว้ใจตัวละครอื่นๆ ไม่แน่ตัวละครที่คุณคิดว่าไร้เดียงสาและน่ารักมากที่สุด อาจจะกลายเป็นศพหรือแม้กระทั่งฆาตกรใน Chapter ถัดไปก็เป็นได้
ในท้ายที่สุด Danganronpa 2 : Goodbye Despair ไม่ใช่แค่เกมภาคต่อจาก Trigger Happy Havoc เฉยๆ แต่ยังเป็นภาคต่อที่พัฒนา ปรับปรุงมินิเกมต่างๆให้ท้าทายและซับซ้อนยิ่งขึ้นกว่าภาคแรก เมื่อไปรวมกับเนื้อเรื่องและฉากฆาตกรรมที่ซับซ้อนรวมถึงฉลาดมากยิ่งขึ้น ทำให้ทราบเลยว่า ทีมผู้สร้าง Spike Chunsoft มีความตั้งใจและความมุ่งมั่นแค่ไหน ที่จะพัฒนาเกมซีรียส์นี้ให้ก้าวหน้าไปอีกขั้น เรียกได้ว่านี้คืออีกหนึ่งเกมของผู้ใช้ PSVita ทุกคนที่จะต้องได้สัมผัสซักครั้ง
Final Score : [ A ] & [ Must Play Badge ]
อ่านบทวิจารณ์เก่าๆ ติดตามบทวิจารณ์ใหม่ๆและติดตามแฟนเพจได้ที่นี้ครับ :)
[Link]
[Link]
Popular News
แสดงความคิดเห็น
จำใจต้องดอง T-T
เห็นว่าทีมสร้างกำลังพิจารณาอยู่ครับ + ผมได้ยินแว่วๆมาอีกว่ากำลังทำอยู่ด้วย อยากให้ทำมากๆครับ แบบว่านี้เป็นเกมโปรดอีกเกมหนึ่งของ Vita ผมเลยฮ่าๆ
หวังว่าจะลงนะ ภาคแรกยังมีเลย
ไม่อยากจะพูดซ่ำแต่ ชอบมากเกมนิ
รีวิว สุดยอด ขอบคุณครับ
กลัวหาแผ่นยาก จังครับ
รีวิว สุดยอด ขอบคุณครับ
กลัวหาแผ่นยาก จังครับ
อูยหาไม่ยากหรอกครับ ผมว่าเห็นมีทั่วไปนะครับ
แนะนำให้เล่นภาคแรกให้จบก่อน ค่อยมาต่อภาคสองก็ได้ครับ
ถ้ามี iOS อยู่แล้ว ลองเข้า jp store โหลด chapter แรกมาเล่นก็ได้ครับ(ฟรี)
ถ้าติดใจค่อยซื้อเพิ่ม :3