Menu
[--mobilemenu--]
บราวเซอร์ของท่านไม่สนับสนุนหรือปิดการใช้งาน javascript ซึ่งจะไม่สามารถใช้งานไซต์บางส่วนเช่นการเข้าลิ้งค์ หรือโพสข้อความได้ตามปกติ, กรุณาเปิดการใช้งาน javascript เพื่อที่จะใช้งานเว็บ gconhubม หากมีปัญหาในการใช้งาน หรือต้องการสอบถามเพิ่มเติม กรุณาติดต่อ [email protected] หรือ [email protected]
Review : Beauty and the Beast 2017 (เรื่องถ่มถุยไม่มีใครเก่งเท่าแกสตอง)
Slashmeplease at 2017-03-19 15:02:27 , Reads (3341), Comments (5) , Source :

Review : Beauty and the Beast 2017 (เรื่องถ่มถุยไม่มีใครเก่งเท่าแกสตอง)

ผู้กำกับ : Bill Condon (Dreamgirls, The Twilight Saga : Breaking Dawn, Mr. Holmes)

หนึ่งในขบวนหนัง “เปลี่ยนการ์ตูนเป็นไลฟ์แอคชั่น” ของดิสนีย์ เพียงแต่เรื่องนี้ค่อนข้างสำคัญเพราะเป็นเรื่องที่หลายคนชอบมากๆในตอนเด็ก และเวอร์ชั่นอนิเมชั่นของมันก็ยิ่งใหญ่มากๆ เป็นหนังอนิเมชั่นเรื่องแรกที่ได้เข้าชิง Best Picture ของออสการ์ Beauty and the Beast 2017 นี้จึงเรียกได้ว่าแบกรับความฝันของคน Gen Y ไว้อย่างหนักอึ้งจริงๆ



เรื่องย่อ ต้องเล่ามั้ย? 5555 Belle (Emma Watson) สาวน้อยผู้มีชีวิตอยู่ในหมู่บ้านเล็กๆในฝรั่งเศส เธอเป็นสาวสุดแปลกที่ชอบอ่านหนังสือและมีความคิดความอ่านมากกว่าคนทั่วไป มีอยู่วันหนึ่ง พ่อของเธอได้เดินทางไปขายสิ่งประดิษฐ์ในต่างเมือง แต่ก็มีแต่ม้าของเขาที่กลับมาบ้าน Belle จึงออกตามหา และได้พบว่าพ่อของเธอถูกขังอยู่ในปราสาทของ Beast (Dan Stevens) อสูรร้ายผู้น่ากลัว เธอได้เสนอตัวที่จะถูกขังแทนพ่อ ซึ่ง Beast ก็ยินยอม เพราะหวังว่าเธอจะมาทำลายคำสาปที่ว่า หากเขารักใครและคนๆนั้นรักเขาตอบ เขาจะได้หลุดพ้นจากการเป็นอสูร แต่การจะรักอสูรร้ายนี้มันจะเป็นไปได้หรือ?



หนึ่งในความน่าเป็นห่วงของหนังเรื่องนี้คือการที่ทุกคนรู้เรื่องราวของมันหมดแล้ว และดูไม่ใช่อะไรที่จะบิดไปได้แบบ The Jungle Book หรือพลิกฝ่ามือไปแบบ Maleficent (ซึ่งเรื่องหลังนี่เกือบทำผมหลับมาแล้ว) หลายอย่างใน Beauty and the Beast นั้นเหมือนต้นฉบับอนิเมชั่นมาก ยิ่งเพลงแนะนำตัว Belle ตอนแรกนี่แทบจะช็อตต่อช็อต แต่อย่างไรก็ตาม ด้วยการทุ่มทุนสร้างไม่อั้นของดิสนีย์ก็ทำให้การแสดงในเพลงต่างๆนั้นออกมาอลังการงานสร้างมากจนไม่อาจจะเรียกว่าเป็นหนังไม่ดีไปได้ และหนังก็ยังมีความพยายามที่จะใส่อะไรใหม่ๆ มีการตีความใหม่ๆเพิ่มเข้ามา (ถึงแม้จะค่อนข้างน้อยเมื่อเทียบกับเรื่องอื่นๆ) ซึ่งบางอย่างมันก็เวิร์คนะครับ แต่บางอย่างก็รู้สึกว่ามันไม่ลงตัวเท่าไหร่ อย่างไรก็ตาม หากจะดูหนังเป็นความบันเทิงแบบครอบครัวนั้น แนะนำครับ หนังไม่มีพิษมีภัย สนุกด้วย มุกตลกแบบฮาก๊ากนี่มีเยอะกว่าที่คิดเลยครับ เพียงแต่ความลงตัว ความคลาสสิกนั้น ผมว่ามันก็ยังไม่สามารถก้าวข้ามอนิเมชั่นต้นฉบับได้ครับ



งานภาพนั้นอย่างที่บอกว่าทุนสร้างอลังการมาก ฉากการแสดงเพลงต่างๆสวยงามมากจริงๆครับ ไปดูตรงนี้นี่คุมแล้วล่ะ เพลงประกอบต่างๆนั้น เพลงคลาสสิกจากเวอร์ชั่นอนิเมชั่นนั้นมาครบครับ ซึ่งเพลงเหล่านี้เพราะมากๆทุกเพลงอยู่แล้ว อย่างไรก็ตามมีการเพิ่มเพลงใหม่ๆเข้าไปด้วย ซึ่งมันก็ไม่ได้ขี้เหร่นะ แต่ต้องยอมรับว่าสู้เหล่าเพลงอมตะของเวอร์ชั่นเก่าไม่ได้ครับ สุดท้ายการแสดง Emma Watson สวยมาก ร้องเพลงก็เพราะ (มีแอบเสียงไม่ถึงออริจินอลบ้างแต่ให้อภัยครับ นิดเดียว) แต่การแสดงสีหน้านี่...เห็นความพยายามนะ แต่บางฉากมันไม่ใช่อะ หน้าเศร้า หน้าเครียดกลายเป็นหน้างงซะหลายฉาก Beast เวอร์ชั่นนี้ การแสดงสีหน้าอาจจะหยวนๆได้ แต่การออกแบบมันรู้สึกเท่ไปหน่อย ชอบแบบการ์ตูนที่น่ารักๆมากกว่า (ไม่เกี่ยวกับการแสดงเล้ยยย 555) สุดท้ายที่ค่อนข้างประทับใจคือ Luke Evans ในบท Gaston ครับ เป็นตัวละครที่ผม Love to hate มาตั้งแต่เด็กๆ คือฮาในความหลงตัวเองโคตรๆของมันด้วย ซึ่งพอมาเวอร์ชั่นนี้ Luke Evans ก็ถ่ายทอดออกมาได้ดี ทั้งเลวทั้งน่าหมั่นไส้ ทั้งตลกในเวลาเดียวกัน ไม่มีใครถ่มถุยได้เก่งเท่าแกสตองจริงๆครับ

สรุป : ถึงจะก้าวข้ามต้นฉบับไม่ได้ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่ามันห่วย เป็นหนังที่งานสร้างดีมาก และดูสนุกเหมาะเป็นความบันเทิงในครอบครัวสุดๆครับ

คะแนน : 8/10 (A), ชอบครับ

แสดงความคิดเห็น
รอมู่หลานครับ
ชอบนะ ขนาดผมไม่ถูกกับหนังที่ชอบเพลงอย่างเเรง ยังดูสนุก
รู้สึกมีช่วงเพลงเยอะไป แล้วก็บีสดูกากๆ พอดีติดภาพมาจากคิงด้อมฮาร์ท555
เฉยๆมาก งานภาพสวย
ชอบกัสตอง
ชอบเพลง End credit ของ Celine
ส่วนเพลงHilightในเนื้อเรื่องเฉยๆ