Castlevania Season 3 : A- (แต่บอกว่ารักไม่ลง)
.
แม้จะให้เกรดที่สูง แต่ก็ต้องยอมรับว่ามีอะไรบางอย่างจากซีซั่นนี่ที่ในฐานะแฟนเกมคนหนึ่งรู้สึก ไม่สบายใจ เท่าไหร่กับการดัดแปลงที่ดูจะเลยเถิดไปนิด
.
สิ่งที่ขอชมก่อนคือการดำเนินเรื่องในซีซั่นนี้ที่ช่วยเปิดจักรวาลของ Castlevania ฉบับอนิเมชั่นให้กว้างขึ้นมากและมีปมอะไรที่สามารถสานต่อเรื่องราวจากนี้ได้พอสมควร ในซีซั่นนี้ความเป็น Dark Fantasy จะสูงเสียจนกลิ่นอาย Castlevania ดูจางลงเป็นพิเศษ และเนื้อหาซีซั่นนี้มีความมืดมนสูงและน่าติดตามต่อไป สำหรับการดำเนินเรื่องภาคนี้ อาจจะยังคงสไตล์ที่ไม่ได้เร่งอะไร เนิบ ๆ แต่ก็มีความน่าติดตามมากกว่าซีซั่นสอง ทำให้ไม่ได้รู้สึกเบื่อเมื่อช่วงกลางของซีซั่นสอง สำหรับตัวละครดูเหมือนซีซั่นนี้ Issac จะเป็นตัวขโมยซีนและยังเป็นตัวละครที่มีเรื่องราวน่าติดตามที่สุด ในขณะที่เหล่าอดีตตัวเอกภาคนี้การดำเนินเรื่องจะเน้นไปที่การพาตัวละครไปสู่ด้านมืดเพื่อเซ็ตติ้งในซีซั่นต่อไปเสียมากกว่า
.
สำหรับฉากแอ็คชั่นยังคงคุณภาพ น้อยแต่สุดยอด เช่นเดิม โดยเฉพาะสองตอนสุดท้ายที่การตัดต่อและงานอนิเมชั่น จังหวะ แทบจะสมบูรณ์แบบ และรู้สึกว่าเป็นซีซั่นนี้ทำฉากแอ็คชั่นได้ดีที่สุดด้วย
.
อย่างไรก็ตามจุดที่ขัดใจและไม่ค่อยโอเคเท่าไหร่มีสองจุด นั่นคือพาร์ทเรื่องราวของ Hector ที่นอกจากจะไม่ได้ทำให้เรื่องราวเดินไปข้างหน้าอย่างที่มันควรจะเป็น กลับทำให้ตัวของ Hector ไม่ได้มีการพัฒนาอะไรเลย การกระทำของเขาทำให้เรารู้สึกหงุดหงิด ใครที่แฟนตัวเอกคนนี้อาจจะหงุดหงิดพอสมควร อีกส่วนก็คงเป็นซีนหนึ่งเกี่ยวกับอาลูการ์ด ซึ่งผมจะไม่สปอยว่ามันเป็นอะไร โดยให้ความรู้สึกมันขัดใจมากพอตัว แม้ว่าผมมานั่งคิดแล้วรู้สึกว่าตามสถานการณ์ของเรื่องและต้นแบบอาลูการ์ด ก็พอจะเข้าใจการกำเนิดซีนที่ว่า แต่ก็มีหลายวิธีจะแสดงออกมาไม่จำเป็นต้องมาทางนี้ ซึ่งก็ไม่เข้าใจว่า Netflix มักจะชอบทำอย่างนี้บ่อย ๆ จนดูยัดเยียดไปเหมือนกัน
.
แม้จะมีจุดขัดใจใหญ่ ๆ (ในระดับที่นอนไม่หลับคิดแล้วคิดอีก) แต่ส่วนตัวมองงานภาพรวมแล้ว นี่ก็ยังคงเป็นอนิเมชั่นคุณภาพสูงที่ไม่อยากให้พลาดอยู่ดี การทำให้เรื่องราวของ Castlevania ที่ไม่มีอะไรมากมาย ให้กลายเป็นดาร์คแฟนตาซีที่มีเนื้อหามืดมนขนาดนี้ นับว่าทีมเขียนบทมีจินตนาการที่น่าสนใจมาก แม้ว่าบางจุดจะดูขัดใจแฟน ๆ ไป แต่ก็น่าสนใจว่าทิศทางของซีซั่นที่ 4 จะเป็นอย่างไร
.
ปล.หากใครดูแล้วรู้สึกไม่โอเคกับทิศทางตัวละครบางตัว ให้คิดว่ามันเป็นจักรวาลอนิเมชั่นครับ ไม่ใช่จักรวาลหลัก จักรวาลหลักยังคงเป็นเกมที่เรารักอยู่นั่นแหละ แต่ส่วนตัวผมคิดว่าทีมงานคงให้เกียรติตัวละครในซีซั่นถัด ๆ ไป เพราะเกริ่นว่าอยากทำให้ถึง Symphony และในซีซั่นสามก็มีการเปิดทางให้เรื่องราวต่อไปจากนี้อีกไกล ถ้าเขาจะสร้างต่อนะ

รู้สึกตรงกันทุกเรื่องครับ
โดยเฉพาะซีน Alucard ที่ว่า

รู้สึกเหมือนซีรีย์ฝรั่งหลายๆเรื่อง
ที่จงใจใส่มาจนมันทำให้หนังมันเกินพอดี

เพิ่งดูจบเมื่อคืนรวดเดียวทั้ง season

ความรู้สึกในหัวคือ...
บางเรื่อง...ไม่ได้อยากรู้ หรือ ไม่ต้องบอกก็ได้
รู้สึกเหมือน ละครเรทติ้งดีแล้วยืดเวลาเนื้อเรื่องไปนิดนึง
ประมาณนั้นครับ

แต่...สิ่งที่รู้สึกว่าน่าให้อภัยคือ
ฉาก Boss Fight ตอนท้าย และ
ทิ้งท้ายไว้ได้รู้สึกว่า Season หน้าจะบันเทิงมากแน่ๆ

รู้สึกเหมือนกันเลย เสียดายซีซั่นนี้อุส่ามีตั้ง 10 ตอน ดันรู้สึกดำเนินเรื่องอืดๆพอดูจบแล้วรู้สึกว่าซีซั่นนี้กลายเป็น Filler ไปเลย โดยรวมแล้วถือว่าสนุกอยู่ ถ้าไปโฟกัสที่การพัฒนาตัวละครของ Hector กับ Isaac เน้นๆสองคนนี้ผมว่าเนื้อเรื่องจะเดินไวกว่านี้

เซ็งเรื่อง Alucard เหมือนกันผมว่าพลอตช่วงนั้นอ่อนมากๆหาเหตุผลไม่เจอทำไมถึงทำกันแบบนั้น. . .
ที่สำคัญคือ

F U Netflix

ผมว่าสนุกกว่า season 2 นะ แต่ประจำมาพีคตอน 2 ep สุดท้าย ฉากสู้ทำดีมาก

ผมยังดู season 1 ไม่ผ่านเลย

อาลูคาร์ดกลายเป็น...

โคนามิแม่งก็ปล่อยผ่านมาได้ไงฟะ

ไม่ต้องคิดไรมากมันคือในส่วน​ businessที่เป็นใบสั่งที่มักจะต้องมีเป็นยัดเยียดตามสไตล์netflix

มี1ฉากซั่ม

พระเอกขาว​นางเอกดำำ​ พระเอกดำนางเอกขาว

Homosexual.scene.​ตัวละครต้องมี​ ครบ​เผ่า​ เอเชียจีน​ อาหรับ​ แบล้ก​ ไวน์​ยุโรป​ แม้กซีกัน​
ตัวละครต้องมีคนอ้วน​ คนขี้เหล่​

แคสแมร่งเป็น​ SJW​ type เข้าไว้​ ถ้าเป็นหนังเนื้อหาต้องทำนองนี้
มันเหมือนเป็นใบสั่งของหนังยุคนี้ไปแล้วจนบางเรื่องดูฝืนๆไปหมด​แล้ว

ดูให้เห็นภาพล่าสุดก็วิชเชอร์นั่นแหล่ะ​ Castมันถึงเละเทะไปหมด

พยายามจะดู s1 ได้ถึง ep3 หลับ

ตอนแรกที่เห็นใส่ตัวละครจากญี่ปุ่นมาก็นึกว่า