Review : Black Panther

กำกับ : Ryan Coogler (Fruitvale Station, Creed)

หนังเรื่องล่าสุดของ Marvel ที่ออกมาเป็นเรื่องสุดท้ายก่อนที่จะถึง Big Project คือ Infinity War แต่ตัว Black Panther เองก็สามารถสร้างความเป็นเอกเทศให้ตัวเองได้ดีไม่ได้เป็นแค่ทางผ่านไปสู้ Infinity War เท่านั้น โดยมีกระแสรีวิวที่ดีมากๆ และกำลังกวาดรายได้ไปอย่างล้นหลาม ด้วยหน้าหนังที่ดูจะเป็น “หนังเพื่อคนดำ” อย่างแท้จริง แล้วผมละคิดอย่างไรกับหนังมาดูกันครับ



Black Panther พูดถึงประเทศ “วากานด้า” ในแอฟริกา ซึ่งในอดีตเคยมีอุกกาบาตแร่ไวเบรเนี่ยม ซึ่งเป็นแร่ที่แข็งที่สุดในโลก และมีคุณสมบัติที่เอื้อต่อการพัฒนาทางเทคโนโลยีมากมายตกใส่ ทำให้ความเจริญของวากานด้านั้นก้าวกระโดดล้ำหน้าไปกว่าประเทศอื่นๆในโลก ด้วยความกลัวว่าความเจริญนี้จะนำภัยมาสู่ตัว วากานด้าจึงพรางประเทศของตนเองไว้ หลอกโลกภายนอกว่าตนเป็นประเทศโลกที่สาม มากล่าวถึงตัวเอกของเรื่อง T’ Challa รัชทายาทคนต่อไปของประเทศวากานด้า ซึ่งเมื่อบิดาของตนถูกสังหารจากการก่อการร้าย เขาก็เตรียมเข้าพิธีขึ้นครองราชย์ในฐานะกษัตริย์ แต่ประวัติศาสตร์ของประเทศนี้ยังมีความลับที่น่าตื่นตะลึงที่เขายังไม่รู้อีกมาก ซึ่งมันอาจทำให้เขาเปลี่ยนความคิดที่มีต่อประเทศของเขาและโลกใบนี้ไปตลอดกาล



ซึ่งสำหรับ Black Panther ก็ถือว่าเป็นหนังที่แสดงพัฒนาการในการทำหนังของมาร์เวลได้ดีมาก หนังดูมีความเป็นผู้ใหญ่ สามารถพูดถึงประเด็นการเมืองที่ลุ่มลึกได้กลมกล่อมดีทีเดียว ก็ถือว่าเป็นสัญญาณที่ดีว่าหนังมาร์เวลสามารถที่จะมีความเป็นผู้ใหญ่ได้เช่นกัน (ผมว่าความซีเรียส สุขุมนุ่มลึกนี้ ทำได้ดีกว่า The Winter Soldier อีก) ซึ่งประเด็นเกี่ยวกับคนดำ ความสัมพันธ์ระหว่างวากานด้า และเหล่าคนเชื้อสายแอฟริกันทั่วโลกก็ทำได้ดีจริงๆ มีมุมมองที่น่าสนใจมาก แถมยังแอบจิกกัดการเมืองอเมริกาในปัจจุบันด้วยครับ แต่เมื่อมามองในส่วนของความสนุกป็อปคอร์น ที่ทุกๆคนหวังจากหนังมาร์เวล ถึงมันจะไม่ดรอปลงไปชัดเจน แต่มันก็ไม่ได้พีคโดดเด่นขึ้นมาครับ เรื่องมุกตลก เรื่องนี้ลดลงไปชัดเจน แต่มุกก็เวิร์คอยู่ครับไม่มีแป้กอะไร ส่วนฉากบู๊ มีฉากบู๊ใหญ่ๆเพียงประมาณ 3 ฉากเท่านั้น ซึ่งถึงมันจะสนุกใช้ได้ แต่มันก็แค่นั้นครับ พอผ่าน ฉากสุดท้ายยังรู้สึกไม่ค่อยพีคด้วย ที่ดีที่สุดคือตอนกลางเรื่องมากกว่า อีกอย่างที่ยิ่งมาคิด ยิ่งชอบหนังน้อยลง คือการแถ plot ให้ตัวละครที่มี ideal ที่ถูกต้องมาตลอดกลายมาเป็นตัวร้ายให้พระเอกปราบ โดยการยัดเยียดความเลวแบบผิวเผินให้ ก่อนที่จะประเคน plot armor ให้กับพระเอกแบบน่าเกลียด ซึ่งพอมาย้อนคิดนี่มันเป็นการเขียนบทที่มักง่ายมากเลยนะเนี่ย ยังไม่นับที่บทตัวร้ายจะแพ้ก็แพ้ง่ายๆอีก ฉึบฉับๆ เอื้อ แพ้แล้ว...



เรื่องงานภาพนั้นก็ตามมาตรฐานมาร์เวลครับ ไม่มีอะไรดีหรือร้ายไปกว่านั้น แต่ที่ชอบจริงๆคือเพลงประกอบครับ มีการใช้ทั้งเพลงแร็พและเพลงพื้นมืองของอัฟริกัน แถมบางแทร็คก็เอามาผสมผสานกันอย่างลงตัว ชอบมากครับ เป็นการผสานสองวัฒนธรรมของคนดำเข้าด้วยกัน

สรุป : มีความเป็นผู้ใหญ่ขึ้นสำหรับหนังมาร์เวล ประเด็นสังคมที่พูดถึงน่าสนใจ ส่วนความสนุกก็ตามมาตรฐานครับ แต่ขัดใจการยัดเยียดความเลวให้ตัวร้ายและ plot armor ของพระเอกนิดหน่อยครับ

คะแนน : 7.9/10 (B+) เฉยๆครับ

ขอบคุณสำหรับรีวิวดีๆครับ

ถ้าเอาแบบลืมไปเลยว่าอยู่ค่ายนี้ตระกูลนี้ มองแบบหนังทั่ว ๆ ไป คงราว ๆ 5.5 - 6 เหมาะสำหรับดูผ่าน ๆ รอแฟนรอเพื่อนไม่ถึงขั้นอยากเก็บสะสม

ตัวละครไม่ค่อยอินเท่าไร เนื้อเรื่องธรรมดา ไม่เหมาะกับหนังใหญ่เลย

ชอบคับ ดูแล้วไหลลื่นเพลินๆดี เอาไป 8.2

ผมชอบนะ สนุกดี ได้เห็นแง่คิดที่หนังจะสื่อดี

ผมว่าคิวบู้มันดูง่อยๆ ไปหน่อย หนังมันไม่ค่อยทรงพลังแบบหนังฮีโร่ ไอ้ผลไม้ม่วงกินแล้วมีผลอะไรยังดูไม่ค่อยเข้าใจ(คือไม่ได้ดูเก่งขึ้นเลย) แบลคแพนเทอร์ ความเก่งคือดูพึ่งชุดซะมาก



ดูได้พอสนุก แต่ไม่มีอะไรให้จดจำเป็นพิเศษละมั้ง จุดพี้คไม่มี ค่อยๆไหลไปเรื่อยๆ เนิบนาบ แต่ก็ดูเพลินๆ

แต่ค่อนข้างชอบดนตรีนะ

ที่สงสัยต้นไม้กินแล้วไปพบวิญญาณได้เลยหรอ หรือมีพลังผลSoul Stone ที่ตกมาพร้อมอุกาบาต คือมันแปลกๆ

หนังมาเวล จุดอ่อนใหญ่สุดที่ผมไม่ชอบสุดๆเลย คือตัวร้ายจะปุมาเก่งเเค่ไหน สุดท้าย ก็เเพ้เเบบ wtf มาก

หนัง dc จะทำจนจุดนี้ดีกว่ามาก สมน้ำสมเนื้อ big boss ถึงจะตายม่ยากเเต่ก็ได้อีกฉากบู๊ที่ยาวพอตัวในทุกเรื่อง

เรื่องนี้กลุ่มผู้หญิงดูจะชอบกันมาก ที่ทำงานกับในเฟซผมนี่ ฝ่าบาทๆกันใหญ่

แต่ผมก็ชอบนะ ชอบดูเรื่องแนวๆตัวเอกต้องเจออุปสรรคเพื่อเติบโตเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว

เป็นหนังที่ดีตามมาตรฐานมาเวลน่ะแต่ไม่ได้ดีขนาดที่โดนอวยกันมาก่อนหน้านี้ก่อนที่เราจะได้ดู ที่โดนอวยขนาดนั้นเพราะเรื่องผิวสีอ่ะ แต่บ้านเราที่ไม่ได้มีปัญหาเกี่ยวกับเรื่องเหยียดผิวพอได้ดูส่วนใหญ่ก็จะออกกลางๆมากกว่า
สรุปหนังมาเวลในรอบปีที่ผ่านมาไปๆมาๆชอบทอรเชิญยิ้มที่สุดแฮะ