Review : Despicable Me 3 (แก่แล้วสินะเรา)

กำกับ : Kyle Balda, Pierre Coffin, Eric Guillon (Despicable Me, Minions, The Lorax)

ติดตามรีวิว+พูดคุยเกี่ยวกับเกม ภาพยนตร์ และการ์ตูนได้ที่เพจของผมนะครับ[Link]

มาถึงภาคที่ 3 แล้วกับซีรี่สืที่สร้างชื่อให้ Illumination Studio ให้สามารถขึ้นมาเบียดตลาดหารส่วนแบ่งกับยักษ์ใหญ่อย่าง Pixar, Disney, Dreamworks ได้ แต่เอาเข้าจริงผมคิดว่าผลงานในช่วงหลังๆเริ่มดรอปๆนะ อย่างเรื่อง Minions นี่ผมว่าไม่ค่อยสนุกเลย (ส่วน Sing นี่ไม่ได้ดู) แล้วเรื่องนี้ละจะเป็นยังไงมาดูกันครับว่าผมคิดอย่างไรกับ Despicable Me 3



Despicable Me 3 เล่าถึง Gru (Steve Carrel) คนดีคนเดิม ที่หลังจากเลิกเป็นวายร้ายแล้วผันตัวมาเป็นมือปราบวายร้ายแทนและได้พบรักกับ Lucy (Kristen Wiig) ชีวิตก็เหมือนจะไปได้สวย แต่แล้วเหตุการณ์ก็พลิกผันเมื่อเขาทำงานพลาดไม่สามารถจับ Balthazar Bratt (Trey Parker) อาชญากรตัวฉกาจได้ เขาและ Lucy จึงถูกไล่ออกจากงานมือปราบวายร้าย หนำซ้ำพวก Minion ที่จงรักภักดีมาตลอดก็เริ่มทนความตกต่ำของเจ้านายไม่ได้จนขอลาออกกันไปทั้งยวง เหลือตัวที่ไม่รู้เรื่องอะไรอยู่สองตัวเท่านั้น ต่อมา Gru ที่กำลังเศร้าอยู่ก็ได้รับข่าวคราวว่าเขามีน้องชายฝาแฝดที่พลัดพรากจากกันไปตั้งแต่เด็กอยู่ เขาจึงคิดจะไปพบกับน้องชายให้จิตใจแจ่มใสขึ้น แต่น้องชายของเขากลับชักชวนให้เขากลับไปเป็นวายร้ายเสียนี่ Gru จะตัดสินใจอย่างไรติดตามได้ใน Despicable Me 3 ครับ



สงสัยจะแก่เกินวัยแล้ว คือต้องยอมรับว่า Animation ของค่ายนี้ คุณค่าของมันยังไม่สามารถจะเทียบกับเหล่าเจ้าพ่ออย่าง Pixar หรือ Disney ไปได้ มักจะเน้นด้านความบันเทิงมากกว่าที่จะมีเมสเสจดีๆให้ผู้ใหญ่ก็ยังสามารถดูได้ อย่าง Despicable Me 3 นี้ถึงแม้จะเห็นความพยายามที่จะมีเมสเสจหลายๆประเด็น ทั้งเรื่อง Good Parenting และเรื่องการยึดติดอยู่กับอดีตจนไม่สามารถก้าวไปข้างหน้าได้ แต่ประเด็นเหล่านี้มันก็ตื้นเขินเสียจนคิดว่าถ้าจะทำแค่นี้ไม่ทำก็ได้นะและเมื่อมาดูด้านความสนุก โอเค เรื่องความบันเทิงฉาบฉวยมันยังพอได้อยู่ เด็กๆในโรงก็เห็นสนุกเจี๊ยวจ๊าวกันดี แต่มุกมันจะเป็นมุกโง่ๆ+การโวยวายของพวกมินเนี่ยนมากกว่าที่จะมีมุกเฉียบๆที่ทำให้รู้สึกว่าคิดได้ไงอะไรพวกนี้ (แต่ถึงอย่างไรก็ตาม มิเนี่ยนก็ยังคงเป็นสิ่งที่ดีที่สุดในหนังอยู่ ชอบฉากที่ไปแข่ง got talent มาก) และในตอนท้าย หนังก็ยังดรอปลงไปอีกด้วยช่วงไคลแมกซ์ที่ทั้งตามสูตรและมีมุกแป้กเพิ่มขึ้น จนรู้สึกเหมือนดูๆให้มันจบๆไปเท่านั้น ผลลัพธ์โดยรวมออกมาเลยไม่ค่อยประทับใจครับ รู้สึกว่าสตูดิโอนี้เสียความสดใหม่ที่เคยมีตอนภาคแรกไปเสียแล้ว



งานภาพนั้นค่อนข้างธรรมดามาก ไม่แย่แต่ก็ไม่มีอะไรน่าประทับใจเลย เพลงประกอบมีการใช้เพลงยุค 80s เยอะมากแต่มันเป็นมุกที่เฝือเกินไปแล้วกับหนังยุคนี้ ความรู้สึกมันเลยเฉยๆมาก

สรุป : พาลูกไปดูอาจพอได้ แต่ผมว่าหนังมัน....เด็กไปน่ะ คุณค่าของมันได้แค่บันเทิงฉาบฉวยเท่านั้นครับ (ช่วงไม่สนุกก็มี 555)

คะแนน : 7.2/10 (B) ไม่ชอบครับ

ผมว่า Despicable Me 3 ได้โลดแล่นในแนวทางของมันอยู่แล้ว ต่อให้หนังไม่ต้องเขียนบทฉลาดอะไร งานภาพลวกๆ ทำแบบไม่แคร์สื่อสนใจรายละเอียดอะไรมาก แต่เพราะการ design ตัวละครออกมาดีมากๆตั้งแต่แรก ค่าย Illumination เลยนำตัวละครเหล่านี้ต้มยำทำแกงได้ไม่รู้กี่รอบก็ยังทำเงินได้ คือเข้าใจใช่มั้ย เงินน่ะ!! เงิน!! เลยทำให้ Despicable Me 3 ออกมาเป็นแบบนี้

จุดที่สังเกตได้คือ ภาคนี้ลดบทบาทของเหล่า Minion ลงไปมาก (มีหนังแยกเป็นของตัวเองแล้วนี่ จะเล่าเยอะอีกทำไม) แถมตัวละครตัวนึงอย่าง



คือเล่นตัดตัวละครง่ายๆแบบนี้เลย เพราะภาคนี้ introduce ตัวละครใหม่ๆค่อนข้างเยอะ ไหนจะเป็น Dru พี่น้องฝาแฝดผู้พลัดพราก ไหนจะตัวร้ายใหม่ Evil Bratt ไหนจะหัวหน้าองค์กรสายลับคนใหม่

พอเขี่ยๆบทบาทของ Minion ลง (ซึ่งบางคนที่เข้าไปดูหวังจะเห็น Minion เยอะๆอาจจะผิดหวัง) ภาคนี้เน้นในเนื้อเรื่องของครอบครัว Gru มากขึ้น เห็นถึงความสัมพันธ์ฉันท์พี่น้องที่พลัดพราก Gru-Dru บทบาทของความเป็นแม่ของ Lucy พอใส่ประเด็นพวกนี้เข้า มันชักที่จะเริ่มแปลงหนังอนิเมชั่น Despicable Me 3 กลายเป็นหนังครอบครัวเฮฮาธรรมดาๆ

แต่ยังดีที่หนังเล่าเรื่องได้ดีอยู่ เดินเรื่องเร็วไม่น่าเบื่อ เน้นฉากแอ็คชั่นท่ามกลางความบ้าๆบอๆของตัวละครทำได้สนุกดี มุขล้อเลียนจิกกัดสังคมปัจจุบันก็ยังฮาพอขำๆได้

โดยรวมก็ชอบนะ อยู่ในระดับที่โอเคอยู่ เพียงแต่บทหนังกับมุขมันไม่ค่อยฉลาดๆตลกๆเท่า 2 ภาคที่แล้วเท่าไหร่

ผมดูก็โอเคนะ ไม่ได้แย่ แต่เดินเรื่องเร็ว เพราะตัวละครเยอะด้วย เล่าคนนั้นทีคนนี้ทีก็หมดเวลาละ
ชอบสุดก็ฉากข้างล่างนี้แหละ ดูจบกลับมาดูอีกๆๆๆๆๆ

สอบถามว่าถ้าเทียบกับ Minions ที่มาแต่ Minion ล้วนๆ ไม่มี Gru อันใหนดีกว่ากันครับ? เห็นว่า Minions ตอนนั้นรีวิวก็เฉยๆ ไม่ได้ว้าวอะไร