ฉากเจ๊ใส่แว่นนี่ อื้อหือ

เสียดายใส่แป๊ปเดียวก็เหยียบทิ้งซะแล้ว

เล่นเรื่องเดียวคนคงติดภาพ wonder woman gal gadot ไปอีกนานเหมือน ironman กับ wolverine

สงครามโลกครั้งที่ 1 ที่ยุติหนังมันเบือนไปเล็กน้อยเพราะจริงๆ ฝ่ายสัมพันธมิตรทำลายฝ่ายมหาอำนาจกลางจนหมดแล้ว กษัตริย์ไกเซอร์ของเยอรมันถึงทำสนธิสัญญาแวร์ซาย ก่อนสัญญาแวร์ซายเป็นชนวนของสงครามโลกครั้งที่ 2
สรุปนาซีคือแพ้ไม่ใช่เจรจาสงบศึกเหมือนวันเดอร์ วูแมน และสงครามโลกครั้งที่ 1 สยามเข้าสนามรบด้วยการเข้ากับฝ่ายสัมพันธมิตร





ธงจักรวรรดิเยอรมันสงคราม WWI ส่วนไทยใช้ธงไตรรงค์สามสีตั้งแต่ พ.ศ.2460 หรือ หนึ่งร้อยปีพอดีตามไทม์ไลน์ประวัติศาสตร์



ส่วนนี้คือธงสยามก่อนเป็นธงไตรรงค์หนึ่งปี

หนังครับ ไม่ใช่สารคดีประวัติศาสตร์ แล้วในเรื่องดูเหมือนจะ

ส่วนเรื่องนี้เป็นซุปเปอร์ฮีโร่เลยนะครับ ไม่ใช่ฮีโร่ธรรมดา ขนาดหนังคนปรกติยังโคตรเว่อร์ โดนยิงเป็นหมื่นนัดไม่โดน โดนล่อเป็นสิบไม่ตาย

ความสมจริงของหนังซุปเปอร์ฮีโร่ คือ อ้างอิงต้นฉบับให้มากที่สุดครับ ถ้าเรื่องวันเดอร์สิ่งที่เปลี่ยนแปลงมากที่สุดคือการเกิดครับ แต่เดาว่า ต้องการตัดตัวละครที่คาใจออก จะได้ไปรวมทีม เนื้อเรื่องใหม่เลย เพราะดูทรง ไม่น่ามีภาคต่อส่วนตัว แบบกัปตัน 1 2 3 คือจะทำเพิ่มได้อีกก็คือ ช่วงสงครามโลกครั้งที่สองแต่ผมว่าไม่น่าแล้วนะ แต่ถ้าขายดีก็ไม่แน่ เงินมา หนังมี


ถ้าสมจริงแบบซุปเปอร์แมนโดน .38 แล้วม่องนี่ไม่เอานะ



ในอนาคตจะมีจัสติคปะทะแอดแวน ไหมเนี่ย ถ้ามีทุนสร้างจะขนาดไหน แค่ค่าตัวนักแสดงก้เครียดแล้วววววว

สัปดาห์แรกอย่างไม่เป็นทางการซัดไป 230 ล้านทั่วโลก เม็ดสองสัปดาห์นี้ถ้ากระแสยังแรงอยู่ไม่หลุด 450 ล้าน จากทุนสร้างร้อยสี่สิบกว่าล้านสู้ๆ

เรื่องนี้รู้สึกเฉยๆนะ ฉากสู้ยังสู้ตอนbvsไม่ได้ เพลงบิ้วผิดจังหวะยังไงไม่รู้(อันนี้อาจจะคิดไปเอง) เนื้อเรื่องเรื่องนี้มีเนื้อเรื่องด้วยเหรอ ตัวร้ายที่..............

ครั้งนี้ถือว่าdcทำได้ดีนะ แต่ควรจะปรับปรุงฉากสู้ลาสบอสหน่อย

ดูตัวอย่างหนังก็น่าดูดีเลยคาดหวังไว้บ้าง แต่พอดูจบนี่สนุกโคตรๆอะ ไดอาน่านี่กลายเป็นฮีโร่หญิงที่ชอบมากที่สุดไปซะแล้ว หลงรักเลยอะ ตอนจบก็โคตรประทับใจมีน้ำตาซึมด้วย ให้ 9/10 ในหนังฮีโร่ที่ฉายในปีนี้ให้แพ้โรแกนนิดๆแค่เรื่องเดียว
พูดถึงบอสใหญ่

ตอนแรกที่ประทับใจจนเกือบกดเต็ม 10 คือประเด็นที่

เพิ่งไปดูมาชอบมากเลย ไม่ได้อินกับซีนอารมณ์ของหนังฮีโร่มานานมากแล้ว

แถมฉากต่อสู้ก็ทำมาดีอีกต่างหาก (หันไปดูฉากธอร์สู้กับโลกิ...)

ถ้า DC คงมาตรฐานแบบนี้ได้ตลอดรับรองเจ๋งแน่นอนเลย

ทำได้ดี กู้หน้าจาก BvS ที่มันแหม่งๆ หลายจุด ได้ดีเลย

แต่ส่วนตัวให้ MoS เหนือกว่าอยู่นิดๆ

ปล นางเอกน่ารักมากกกกกกกก

10/10 ครับ เพราะวงแขนระดับพระเจ้าเลยให้เต็ม

ล่าสุดยังครองอันดับ 1 เอาชนะเดอะ มัมมี่ได้ รายได้รวม Worldwide: $435,202,503 น่าจะจบประมาณ 600-700 ล้าน ซึ่งถือว่าหรูหรามากแล้วสำหรับหนัง Origin ภาคแรกที่เพิ่งเริ่มเปิดตัว (มัมมี่เองก็ไม่น่าเกลียดนะ สำหรับรายรับรวมทั่วโลก)



ส่วนตัวที่ประทับใจ ที่ดูแล้วรู้สึกชอบหนัง Wonder Woman คือ Theme ของเรื่องดี จับต้องได้ (กับประเด็นเรื่องสงครามและสันติภาพ) และสามารถเข้าใจได้ง่าย แบบเด็กก็ดูได้ พอๆกับหนังของพิกซาร์ ถึงจะไม่ล้ำลึกเท่า Inside Out แต่ Theme ของ Wonder Woman น่าจะเข้าใจง่ายกว่า อันนี้ต้องปรบมือให้ผกก.แพ็ทตี้ เจนกินส์ ที่นำเสนอถ่ายทอดเรื่องราวออกมาได้แข็งแรงมีพลัง นอกจากทำให้คนดูตามดูจนจบแล้ว ยังได้รับข้อความที่เธออยากบอก

คือหนังที่ดีมันไม่ใช่แค่เอามันส์ เอาสนุกอย่างเดียว ดูจบแล้วก็จบเลย ไม่รู้ว่าหนังบอกอะไร ไม่มีคุณค่าอะไรให้จับต้องได้ ผ่านไปสักพักก็ลืม แม้จะเป็นหนังจากการ์ตูนคอมิกส์ก็ไม่จำเป็นว่าจะต้องขายเนื้อเรื่องตัวละครอย่างเดียว

เจนกินส์ใช้การเล่าเรื่องแบบง่ายๆไม่ซับซ้อน การเล่าเรื่องแบบ 3 องก์ของเจนกินส์ ทำได้ดี และนำเสนอ Theme ของเรื่องให้คนดูเข้าใจตั้งแต่ช่วง Set Up ที่ปูเรื่องราวเกริ่นให้คนดูเข้าใจ


บทหนังออกแบบมาดี เข้ากับตัวละคร Wonder Woman
- การออกแบบตัวละคร การนำตัวละครตัวนี้ออกมาจากคอมิกส์ ผ่านการวิเคราะห์ ออกแบบนิสัยตัวละคร ให้เข้ากับ Theme ของเรื่อง ทัศนคติของตัวละครก็แข็งแรงและมีความความลึกซึ้ง เด่นชัด

- การสร้างบุคลิกของตัวละครทุกตัวให้ขับเน้น Theme แม้แต่ตัวละครสมทบ อย่างดร.พอยซั่น อินเดียนแดง มือซุ่มยิง (ที่หลายคนบอกแค่เดินไปเดินไปมา ไม่มีประโยชน์) ก็ช่วยขับเน้นแก่นของเรื่องให้โดดเด่นออกมา


ส่วนลาสบอส ในองก์ที่ 3 Resolution นี่ออกมาเป็นการสรุป Theme ของเรื่อง ซึ่งมันเป็นแนวปรัชญา บทสนทนา+งานภาพมันเลยจัดวางออกมาแนวแฟนตาซี แต่ด้วยความที่เนื้อเรื่องมันเป็นเทพเป็นจินตนาการมันเลยดูแล้วไม่ลิเกเท่าไหร่ คือมีสรุปซ้อน 2 ครั้ง ตรงนี้ก็เลยอาจดูเหมือนจับยัดที่อยู่ๆตัวละครก็โผล่ออกมา ก็เพราะอารมณ์มันเว้นช่วงนานไม่ได้ แต่มาเล่าเรื่องแบบแฟนตาซีจ๋าสุดขั้วกันดื้อๆในตอนจบมันเลยดูประดักประเดิด


สรุปขุ่นแม่มีดีที่ Theme ของเรื่อง กับการเอาเรี่องแฟนตาซีมาซ้อนกับประวัติศาสตร์จริงได้โดยไม่เคอะเขิน กล้าเล่น ส่วนตัวชอบแนวนี้แบบ กิมย้ง, หวงอี้, แดน บราวน์ ตรงนี้เลยทำให้หนัง Wonder Woman มีมิติ +ดูเรียลกว่าหนังซูเปอร์ฮีโร่เรื่องอื่น คือมันเรียลไปคนละแบบกับ The Dark Knight (แต่ด้านอื่นก็ยังมีติดๆขัดๆบ้าง อย่างการจัดวางคอมโพสที่ยังไม่เนี๊ยบ ยิ่งเปรียบเทียบกับหนัง DC ก่อนๆหน้านี้ของอีตาแซ็ค)

ปล.ในหนังไม่มีการเจรจาสงบศึกนะ คือการเจรจาสงบศึกในหนังไม่น่าจะเกิดขึ้น คือหนังไม่ได้บอกตรงนี้

สรุปไดอาน่าไม่ท้องใช่มั้ยครับ

พระเอกมีสกิล หน้า 7 หลัง 7

เค้าแค่จูบกัน ไม่ท้องหรอกครับ