Menu
[--mobilemenu--]
บราวเซอร์ของท่านไม่สนับสนุนหรือปิดการใช้งาน javascript ซึ่งจะไม่สามารถใช้งานไซต์บางส่วนเช่นการเข้าลิ้งค์ หรือโพสข้อความได้ตามปกติ, กรุณาเปิดการใช้งาน javascript เพื่อที่จะใช้งานเว็บ gconhubม หากมีปัญหาในการใช้งาน หรือต้องการสอบถามเพิ่มเติม กรุณาติดต่อ [email protected] หรือ [email protected]
แชร์ประสบการณ์+รีวิว เรียนต่อที่ประเทศญี่ปุ่น 2 ปี ด้วยทุนหนังสือพิมพ์ The Yomiuri Shinbun

<<
<
1
2
3
4
>
>>
Reply
Vote
# Tue 21 Feb 2017 : 7:47PM

Iseria Queen
member
แป๊กให้อยากแล้วจากไป
เจ้าสำนักหลังเขารุ่นที่ 1
ส่องหาแต่นม #5
Since 17/11/2007
(16387 post)
[Link]

สวัสดีครับ ชาวจีคอนทุกท่าน ปกติผมจะสิงอยู่แต่ในห้องเกมเสียเป็นส่วนใหญ่ ไม่ค่อยได้มาตั้งกระทู้รีวิวเท่าไหร่ แต่เนื่องจากอีกไม่กี่วัน จะครบระยะทุน 2 ปี ที่ผมมาเรียนต่อญี่ปุ่นแล้ว วันนี้จึงมาเขียนบอกเล่าประสบการณ์พร้อมกับรีวิวตีแผ่การใช้ชีวิตและการเรียนที่ประเทศญี่ปุ่นด้วยทุนหนังสือพิมพ์ "โยมิอุริ" ทุนที่เขาว่าโฉด โหด หิน ไม่อึดจริงอยู่ไม่ได้ นั้น มันจะเป็นยังไง มีข้อดีข้อเสียอย่างไร เดี๋ยวจะมาแชร์ให้อ่านกันครับ

อนึ่งกระทู้นี้เป็นกระทู้แชร์ประสบการณ์+รีวิว กระทู้แรกของผม หากมีข้อผิดพลาดประการใด ต้องขออภัยไว้ ณ ที่นี้ด้วยครับ

ขอแนะนำตัวคร่าวๆก่อนนะครับ

ผมจบการศึกษาเอกภาษาญี่ปุ่นจากมหาลัยรัฐบาล(ไม่ดัง)แห่งหนึ่ง หลังจบก็มาทำงานเป็นล่ามในบริษัทรถยนต์แห่งหนึ่งย่านแหลมฉบัง ตอนเรียนก่อนจบผมสอบได้ N2 ก็จริง แต่พอได้ทำงานจริงแล้ว รู้สึกว่าความรู้ภาษาญี่ปุ่นของตัวเองยังไม่เพียงพอ ต้องเรียนรู้เพิ่มเติมอีกมาก พอทำงานล่ามได้ 3 ปี ผมจึงเริ่มหาช่องทางที่จะมาเรียนต่อที่ญี่ปุ่น ซึ่งแรกๆก็คิดจะสอบชิงทุนรัฐบาลญี่ปุ่น แต่เป้าหมายของผม คือไม่ได้ต้องการเรียนต่อด้านภาษาหรืออะไรที่เกี่ยวกับภาษาอย่างเดียว อยากข้ามสายไปเรียนในสาขาวิชาอื่นด้วย ทุนรัฐบาลจึงไม่ตรงกับความต้องการของผมเท่าใดนัก เพราะทุนนี้ให้เรียนต่อในสายตรงที่จบมา ซึ่งจบเอกญี่ปุ่นมาอย่างผม ก็ไปต่อได้แค่ไม่กี่สาย ในตอนนั้นเองมีรุ่นพี่ล่ามท่านหนึ่งที่ทำงานเดียวกันกับผม แกเป็นศิษย์เก่าทุนหนังสือพิมพ์โยมิอุริ เคยอยู่ญี่ปุ่นด้วยทุนโยมิมา 4 ปี จึงได้แนะนำทุนนี้ให้กับผม ทำให้ผมจับพัดจับผลู ตัดสินใจลาออกจากงาน ได้มาเรียนต่อที่ญี่ปุ่นด้วยทุนนี้ในที่สุด

Introduction เกี่ยวกับทุนหนังสือพิมพ์โยมิอุริ


ทุนหนังสือพิมพ์โยมิอุริ นั้นเป็นทุนของบริษัทหนังสือพิมพ์ The Yomiuri Shinbun ซึ่งจะให้ทุนการศึกษาแก่ชาวญี่ปุ่นและชาวต่างชาติมาเรียนต่อในญี่ปุ่น โดยในไทยทุนนี้จะต้องสมัครผ่าน Agency ซึ่งเท่าที่ผมทราบก็มีหลายเจ้าหลายราย ผู้รับทุนไม่จำเป็นต้องมีความรู้ภาษาญี่ปุ่นมาก่อน และไม่มีการสอบแข่งขันใดๆทั้งสิ้น มีแค่การยื่นเอกสาร สัมภาษณ์ หากผ่านก็ได้มาเลย ปัจจุบันไม่ใช่ทุนเปิดที่เปิดกว้างสำหรับทุกคน แต่เปิดรับกันในกลุ่มคนเล็กๆเท่านั้น ผมโชคดีที่ได้มาทุนนี้เนื่องจากรู้จักกับพี่ล่ามซึ่งเคยเป็นศิษย์เก่าทุน จึงได้มา โดยทุนนี้จะจ่ายค่าเล่าเรียน ค่าที่พักให้ มีเงินช่วยเหลือค่าเดินทาง และเงินเดือน(จากการทำงาน)ให้ แต่ก็มีเงื่อนไขสำคัญนั้นก็คือ ในระหว่างที่รับทุนเราต้องทำงานเป็นเด็กส่งหนังสือพิมพ์ให้กับร้านหนังสือพิมพ์ ซึ่งตรงนี้แหละครับ ที่เขาว่าโฉด โหด หิน ไม่แน่จริงอยู่ไม่ได้ 555 ส่วนรายละเอียดจะเป็นอย่างไรนั้น เดี๋ยวผมจะสาธยายให้ฟังกันครับ

ใครที่เหมาะกับทุนนี้บ้าง ทุนนี้ให้อะไรเรา และเราต้องทำอะไรแลก?

เชื่อว่าหลายคนที่อ่าน อาจจะมีความสนใจอยู่ทุนนี้ไม่น้อย แต่เท่าที่ผมเคยหาข้อมูลมา กลับพบว่า ข้อมูลต่างๆเกี่ยวกับทุนนั้นมีน้อยมาก อย่ากระนั้นเลย ผมจะมาแชร์ให้ทุกท่านได้ทราบกันชัดๆไปเลยว่า ทุนนี้มันดีหรือไม่ดียังไง ให้อะไรเราบ้าง และเราต้องทำอะไรเพื่อเป็นการแลกเปลี่ยนบ้าง ทั้งนี้ขอออกตัวก่อนว่า ผมไม่ใช่ Agency ทุนหรือมาโฆษณาอะไรให้กับทุน อย่างที่บอกไปในย่อหน้าที่แล้วว่า ทุนนี้เป็นทุนปิด ไม่ได้เปิดกว้างสำหรับทุกคนแล้ว ฉะนั้นผมจะไม่ชี้ช่องทางในการสมัครใดๆทั้งสิ้น สิ่งที่ผมจะพูดถึง คือการแชร์ข้อมูลที่ผมทราบ และประสบการณ์ตรงที่ผมได้เจอะเจอมาเท่านั้น

ทุนนี้เหมาะกับใคร?

- ในความคิดผม ทุนนี้เหมาะกับคนที่อยากมาเรียนภาษาและเรียนในโรงเรียนเซมมงที่ญี่ปุ่น (โรงเรียนสอนวิชาชีพเฉพาะทาง) แต่ไม่มีทุนทรัพย์ส่วนตัวมากพอ หรืออยากประหยัดทุนทรัพย์
- คนที่ไม่ได้เรียนเก่งฉลาดพอ หรือไม่มั่นใจที่จะสอบชิงทุนให้เปล่าต่างๆได้ สิ่งที่ทำได้ก็ต้องใช้แรงกายแรงใจเข้าแลกน่ะครับ และอย่างที่บอก ทุนนี้ผู้สมัครไม่จำเป็นต้องมีความรูพื้นฐานภาษาญี่ปุ่นเลยก็ได้ ไม่ต้องเรียนเก่งอะไรมากมาย ขอเพียงใจต้องแกร่ง กายต้องแกร่ง ก็มาได้ครับ
- เด็กจบใหม่ที่อยากมาเรียนภาษา หาประสบการณ์ในต่างแดน หรือเป็นใบเบิกทางในการมาทำงานประจำที่ญี่ปุ่นในระยะยาว ศิษย์เก่าทุนหลานคนที่ผมรู้จัก หลังเรียนจบถ้าไม่เรียนต่อก็หางานและได้งานประจำในญี่ปุ่นทำกันไม่น้อย หากมีแพลนที่อยากมาทำงานที่ญี่ปุ่น ทุนนี้เป็นทางเลือกอีกทางนึงครับ

ทุนนี้ให้อะไรเราบ้าง?

- อย่างแรกเลยคือ ค่าเล่าเรียน ผู้รับทุนจะได้มาเรียนในโรงเรียนสอนภาษาญี่ปุ่น เป็นระยะเวลา 2 ปี หรือ 1 ปี 6 เดือน (แล้วแต่ระยะเวลากที่วมัคร รายละเอียดเดี๋ยวจะว่ากัน) โดยทุนจะชำระเงินค่าเล่าเรียนให้เราทั้งหมด และหากจบจากโรงเรียนสอนภาษาแล้ว มีความประสงค์จะเรียนต่อในระดับต่อไป เช่นโรงเรียนวิชาชีพเฉพาะทาง (専門学校) หรือมหาวิทยาลัย ก็สามารถขอต่อทุนได้ (เมื่อได้รับความยินยอมจากทางร้าน) โดยทุนจะมีค่าเล่าเรียนให้ปีละประมาณ 1,000,000 เยน ส่วนที่เกินกว่านั้น ต้องออกเอง
- ที่พักฟรี ทางทุนจะมีการจัดหาที่พักให้ โดยที่เราไม่ต้องดำเนินการใดๆทั้งสิ้น ไม่เสียค่าเช่าห้อง แต่ค่าอื่นๆเช่น น้ำ ไฟ แก๊ส เราต้องออกเองนะ
- เงินช่วยเหลือค่าเดินทางไปเรียน หรือค่าตั๋วรถไฟรายเดือน (定期券) โดยทุนจะช่วยออกบางส่วน ไม่ใช่ทั้งหมดนะ ก็ตามแต่สัญญาของแต่ละ Agency ว่าจะช่วยออกแบบไหน สำหรับของผม ร้านจะช่วยออกในส่วนที่เกินจาก 3,500 เยน (เช่น ค่าตั๋วเดือนผม 15,000 เยน ทุนจะช่วยค่าเดินทางเดือนละ 11,500 เยน)
- เงินเดือนจากการทำงาน เดือนละ 90,000 - 130,000 เยน อันนี้แล้วแต่ Agency แล้วแต่สัญญาของแต่ละที่แต่ละร้านเลยครับ ไม่เท่ากันซักที่ ทั้งนี้ หลังจากจบจากโรงเรียนภาษาแล้ว เข้าต่อที่โรงเรียนเซมมง จะได้รับการบรรจุเป็นเด็กทุนโยมิอย่างเป็นทางการอีกครั้ง ถึงตอนนั้นเร่เงินเดือนจะถูกปรับใหม่ เท่ากันทั่วประเทศ (อันนี้ จนท.ทุนเขาว่ามางี้ จริงเท็จประการใด ผมไม่มีข้อมูล) ส่วนเงินเดือนเท่านี้ ถือว่าเยอะมั้ย? พอใช้มั้ย? เดี๋ยวจะมาว่ากันอีกที
- สวัสดิการอื่นๆจากการทำงาน เช่น ค่ามาเช้า เงินโบนัส เบิกค่าน้ำมันรถ บลาๆ แล้วแต่ร้าน แล้วแต่สัญญาอีกล่ะครับ
- ชุดเครื่องนอนฟุต้ง 1 ชุด ชุดยูนิฟอร์มสำหรับใส่ทำงาน (มีชุดฤดูหนาว 1 ชุดฤดูร้อน 1 และเสื้อโปโล 3 ตัว ต้องใช้ตลอดระยะเวลาที่รับทุน)
- รถมอเตอร์ไซค์หรือจักรยาน ให้ใช้ 1 คัน (บางร้านส่งโดยใช้รถมอไซ บางร้านใช้จักรยาน แล้วแต่ร้าน)

แน่นอนว่าไม่มีอะไรได้มาฟรีๆ ทีนี้เรามาดูสิ่งที่เราต้องทำเพื่อแลกเปลี่ยนกันบ้าง

- ไปเรียนหนังสือ โดยถ้าเรียนในโรวเรียนสอนภาษา ก็ต้องเรียนตั้งแต่ 9:00 - 13:00 ถ้าเซมมงหรือมหาวิทยาลัยก็จะเลิกช้ากว่านี้
- เราต้องทำงานส่งหนังสือพิมพ์ให้กับทางร้าน โดยใน 1 วัน จะต้องส่ง 2 รอบ (วันอาทิตย์และวันหยุดราชการ ส่งแต่รอบเช้าอย่างเดียว)
- รอบเช้าเวลาตี 2:00 - 6:00 โมงเช้า รอบบ่ายเวลาบ่าย 15:00 - 17:00 โมงเย็น แล้วแต่ร้าน ใครเสร็จก่อนก็ได้กลับก่อนครับ
- มีวันหยุดให้สัปดาห์ละ 1 วัน นอกเหนือจากนั้น จะฝนตก หิมะตก ใต้ฝุ่นเข้า แผ่นดินไหว ก็ต้องไปส่งห้ามหยุดเด็ดขาด!!
- จัดเตรียมและใส่จิราชิ チラシ (ใบปลิวโฆษณา)
- งานเล็กๆน้อยๆอื่นๆที่ทางร้านมอบหมาย เช่น อยู่เวรเฝ้าร้าน เสียบใบปลิวโฆษณา เก็บหนังสือพิมพ์เก่า บลาๆ อันนี้แตกต่างกันไปแล้วแต่ร้าน
- บางร้านจะมีบังคับให้พนักงานทุกคนรับหนังสือพิมพ์ทุกเดือนด้วย ซึ่งก็จะมีโดนหักเงินค่าหนังสือพิมพ์เดือนละ 3,700 กว่าเยน
- หากมีการฉีกสัญญา อยู่ไม่ครบวาระทุน จะต้อเสียเงินชดเชยค่าเสียหายให้กับทางร้าน (เป็นจำนวนเงินเยอะพอสมควรครับ หลักแสนบาท)

เว่ากันซือๆ จริงๆแล้วทุนนี้ มันก็เหมือนการหาแรงงานต่างด้าว เข้ามาทำงานส่งหนังสือพิมพ์ให้กับร้านแหละครับ เพราะงานนี้คนญี่ปุ่นไม่ค่อยมีใครทำกันแล้ว เพราะงานมันลำยาก ค่าแรงไม่สูง จึงต้องมีการหาคนต่างชาติเข้ามาทำงานแทน โดยเอาทุนการศึกษามาเป็นการแลกเปลี่ยน ให้คนอยากมาทำกัน ถามว่าเงื่อนไขพวกนี้คุ้มไหม ยุติธรรมไหม กับการที่เราต้องมาทำงานเยี่ยงทาส (เดี๋ยวมาขยายความอีกที) เหนื่อย(มากๆๆๆ) และเงินที่ได้ก็ไม่ได้มากมายอะไร อันนี้ก็แล้วแต่ความคิดคนครับ หากเรารวมๆค่าเล่าเรียนต่อปี ค่าที่พักที่เราไม่ต้องเสีย กับเงินเดือนที่เราได้รับ เอามาเทียบกับชั่วโมงการทำงานแล้วล่ะก็ ขอบอกว่าหางานพิเศษทำเอง ไม่ได้เท่านี้แน่ๆครับ

เตรียมความพร้อมก่อนรับทุน

เมื่อรู้เงือนไขต่างๆของทุนแล้ว หากเรารับได้ก็มาถึงขั้นตอนการสมัครครับ หลังจากที่ผมได้คุยติดต่อคร่าวๆกับ agency ของทุนแล้ว ก็มีการนัดสัมภาษณ์ นัดดูหน่วยก้านสาขา หากเขาเห็นว่าผ่าน ไปไหว ก็จะมีเอกสารต่างๆให้กรอก มีการเซ็นต์สัญญาต่างๆ ให้เตรียมเอกสารสมัครเรียน เอกสารยื่นขอวีซ่า ซึ่งไม่มีอะไรยุ่งยากครับ เพราะทาง Agency จะเป็นผู้จัดการดำเนินการให้เราแทบทั้งหมด แต่หลักๆที่สำคัญที่เตรียม มีดังนี้ครับ

- เอกสารต่างๆ ตามที่ Agency กำหนด
- เงินค่าดำเนินการ 30,000 - 50,000 บาท แล้วแต่เจ้าครับ (ซึ่งรวมค่าดำเนินการต่างๆ การยื่นขอวี ค่าตั๋วเครื่องบิน ค่าเรียนปรับพื้นฐาน บลาๆ)
- เงิน pocket money สำหรับใช้ชีวิตในเดือนแรกที่ไปอยู่ ตรงส่วนนี้ผมเตรียมไป 150,000 เยนก็เพียงพอแบบเหลือๆละครับ เอาไว้ซื้อของใช้จำเป็นเข้าห้อง
- ใบขับขี่มอไซ ที่เอาไปทำเป็นใบขับขี่สากลไว้ เอาไว้สำหรับขับรถมอไซส่งหนังสือพิมพ์ที่ญี่ปุ่นครับ ถ้าไม่มี มีทางเลือก 2 ทางคือ จักรยานกับมาสอบเอาที่ญี่ปุ่นให้ผ่าน (ไม่ยากและไม่ง่าย)
- อุปกรณ์กันหนาว รองเท้าสำหรับวิ่ง กายพร้อมใจพร้อม อุปกรณ์ก็ต้องพร้อมด้วย
- ของใช้ส่วนตัวอื่นๆ พวกบัตรเครดิต บัตรเดบิตที่กดเงินจากไทยที่ญี่ปุ่นได้ พกมาด้วยก็จะดีครับ สะดวกเวลาทำธุรกรรมซื้อของต่างๆ
- เรียนปรับพื้นฐานภาษาญี่ปุ่น สำหรับคนที่ไม่มีพื้นญี่ปุ่นเลย ทางทุนเขาจะมีให้เรียนปรับพื้นฐานก่อนมาญี่ปุ่นครับ ระยะเวลาเรียนประมาณ 1-2 เดือน แล้วแต่ ซึ่งตรงนี้ก็พอช่วยได้บ้าง ถ้าตั้งใจ อย่างน้อยๆ จำฮิรา-คาตา ให้ได้ให้หมด เพราะพอมาเรียนที่ญี่ปุ่นจริงๆจะไปเร็วมากครับ คนไม่มีพื้นมาเลยนี่มีช๊อค
- และที่สำคัญที่สุด คือเตรียมตัวเตรียมใจให้พร้อมครับ นอกจากการทำงานหนักและสภาพอากาศอันโหดร้าย (หึหึ) ที่เราต้องเจอแล้ว ก่อนไปเราจะไม่มีทางรู้เลยว่า เราจะได้ไปอยู่ร้านไหน เขตไหน ห้องหับสภาพแวดล้อมเป็นอย่างไร จะได้เรียนในโรงเรียนอะไร เราไม่สามารถเลือกหรือระบุได้นะครับ ทางทุนจะเป็นผู้กำหนดว่าจะให้เราไปอยู่ไหน ฉะนั้น การเตรียมความพร้อมในการปรับตัวจึงเป็นสิ่งสำคัญ



การใช้ชีวิต สภาพความเป็นอยู่ การเรียน และโรงเรียน

เอาล่ะครับ มาถึงตรงนี้ หลายคนคงพอจะมองออกแล้วว่า ไอ้ที่ว่าทุนนี้เป็นทุนใช้แรงงานที่โฉด โหด หิน มันเป็นยังไง มีเค้ามูลมาจากไหน ก็นั่นแหละครับ มันมาจากความยากลำบากในการทำงาน ลืมการใช้ชีวิตแบบคนปกติๆ ไปได้เลย ทุกวันๆเราต้องตื่นแต่ตี 2 ทำงานถึงประมาณ 6 โมงเช้า หลังส่งหนังสือพิมพ์เสร็จ 8 โมงก็ต้องอาบน้ำแต่งตัวเตรียมออกไปเรียน อย่างผมนี่อยู่เมืองคาวาซากิ แต่โรงเรียนไกลถึงโยโกฮาม่า ต้องใช้เวลาเดินทางเกือบ 1 ชั่วโมง พอเรียนเสร็จบ่ายโมง กว่าจะกลับถึงห้องก็บ่าย 2 ละครับ มีเวลาไม่มากในการกินข้าว และออกมาส่งหนังสือพิมพ์รอบบ่าย ตั้งแต่บ่าย 3 ถึง 5 โมงเย็น จะเห็นว่าในแต่ละวันมีเวลาว่างให้เราเหลือน้อยมาก ซึ่งตรงนี้เราก็ต้องจัดสรรเวลากันไปนะครับ ว่าจะเอาเวลาไหนมาพักผ่อน อ่านหนังสือทบทวนความรู้ ทำการบ้าน และไปผ่อนคลายไปเที่ยว แรกๆอาจต้องปรับตัวหนักหน่อย เพราะยังไม่ชิน แต่พอเริ่มชินแล้วก็จะดีไปเองครับ มันอยู่ได้ คนอื่นทำได้เราก็ทำได้ครับ

เงินเดือนพอใช้ไหม?

เงินเดือนของเราทุกเดือน จะถูกหักค่าน้ำค่าไฟ ภาษีเงินได้ และหักเก็บไว้อีก เดือนละ 10,000 เยน ทุกเดือน เพื่อจะไว้เป็นเงินเก็บ จะคืนให้เมื่อเราออกทุน (บางร้านมีหักค่าหนังสือพิมพ์ด้วย) ทั้งนี้เราจะต้องเสียค่าภาษีท้องถิ่น ค่าประกันสุขภาพให้กับทางเขตด้วย ถามว่าเงินเดือนหลังหักค่าใช้จ่ายๆต่างๆแล้ว พอใช้ไหม ก็ต้องตอบว่าพอครับ หากประหยัดๆ ไม่ฟุ่มเฟื่อย ทำกับข้าวกินเองวันละมื้อ ก็สามารถเหลือเก็บเดือนละ 50,000 เยนได้สบายๆ ผมใช้เวลา 2 ปี เก็บเงินได้ 800,000 เยน จริงๆควรได้มากกว่านี้อีก แต่อบายมุขที่ญี่ปุ่นมันเยอะมากครับ ทั้ง Amazon Yahoo รองเท้าเอย เกมเอย เรียกได้ว่าอยู่ห้องเฉยๆ ไม่ออกไปไหน ก็เสียเงินได้ครับ อิอิ บางคนเก็บเงินเก่งๆนี่ เหลือเงินส่งกลับไทยไปผ่อนค่างวดรถได้เลยครับ เพราะทุนช่วยออกค่าเทอมและค่าที่พัก ทำให้เราไม่ต้องกังวลเรื่องค่าใช้จ่ายมากนัก ก็เรียกว่าอยู่กันได้แบบสบายๆ ไม่อัตคัตขัดสนครับ

สภาพที่พัก

อย่างที่ผมได้บอกไปในรีพลายที่แล้ว ก่อนมาเราจะไม่อาจรู้ได้เลยว่าเราจะได้ไปอยู่ร้านไหน เขตไหน เรียนที่ไหน ซึ่งสภาพห้องหับที่ทางร้านจัดให้ ก็แล้วแต่ร้าน แล้วแต่ Agency อีกนั่นแหละ บางที่เป็นแบบตึกเดียวกับร้าน พักอยู่ร่วมกัน แต่ผมโชคดีหน่อยจะเป็นห้องแบบวันรูม 1 ห้อง 1 คนครับ มีครัว ห้องน้ำ ห้องอาบน้ำ ที่เก็บฟุต้ง(ที่นอนแบบญี่ปุ่น) อุปกรณ์พร้อมตามมาตรฐานทั่วไปของญี่ปุ่น กว้างแคบแล้วแต่ดวงครับ โดยรวมแล้วจัดว่าดีงามทีเดียว ไม่ไกลจากสถานีรถไฟด้วย ห้องแบบนี้ถ้าเราออกมาอยู่เอง ค่าเช่าก็ตกเดือนละ 50,000 - 70,000 เยนเลยครับ



โรงเรียน

โรงเรียนสอนภาษาญี่ปุ่นที่ทางทุนจะส่งเราไปเรียนนั้น จะมี 2 หลักสูตร คือ หลักสูตร 2 ปี (เข้าเรียนเดือนเมษา) กับหลักสูตร 1 ปี 6 เดือน (เข้าเรียนเดือนตุลา) ซึ่งก็แล้วแต่ว่าเราสมัครทุนมาในช่วงไหนนั่นเอง

เนื่องจากเราไม่สามารถกำหนดเลือกได้ว่าเราจะได้เรียนโรงเรียนไหน ฉะนั้น ทำใจครับว่าเราจะได้เรียนในโรงเรียนมาตรฐานปานกลางๆ ไม่เด่นดังหรือค่อยมีอะไรให้เลือกเรียนเท่าไหร่ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ผมคิดว่าโรงเรียนที่เราได้เรียนไม่ใช่ปัจจัยสำคัญครับ อาจารย์ทุกท่านที่มาสอนก็ตั้งใจสอนเราอย่างเต็มที่ทั้งนั้น ได้ไม่ได้อยู่ที่ตัวคนและความตั้งใจของเราล้วนๆ สำหรับผม โรงเรียนจัดว่ากลางๆ ไม่ดีไม่แย่ เรียนโดยการเน้นไวยากรณ์เพื่อไปสอบวัดระดับให้ผ่านเป็นหลัก ซึ่งตรงนี้จะเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ต้องการเรียนในคอร์สอื่นๆมากกว่า ดันไม่มีให้เลือกเรียน นักเรียนส่วนใหญ่เป็นคนจีนกับเวียดนามเยอะ คนไทยเป็นส่วนน้อย ไม่ถึง 10 คน (เกือบทั้งหมดของคนไทย คือเด็กทุนหนังสือพิมพิ์ที่มาจาก Agency เดียวกับผม ฮ่าๆๆๆๆ) พอเรียนใกล้ๆ จบก็จะมีกิจกรรมทัศนศึกษาต่างๆ ก็สนุกหรรษาดีครับ ได้เพื่อนชาวจีน เกาหลี เวียดนามเพียบ แต่ที่ไม่ได้เลยก็คือ... เพื่อนชาวญี่ปุ่น เชื่อไหมครับ 2 ปีที่มาอยู่ นอกจากเพื่อนร่วมงานในร้านหนังสือพิมพ์แล้ว ผมแทบไม่ได้คุยหรือผูกมิตรกับคนญี่ปุ่นคนอื่นๆเลย นับเป็นข้อเสียสำคัญ ข้อหนึ่งของเด็กทุนหนังสือพิมพ์เลยครับ แต่ข้อเสียนี้จะพอชดเชยได้ หากได้เรียนในระดับเซมมง หรือมหาวิทยาลัย ก็จะพอมีเพื่อนญี่ปุ่นบ้างครับ



การทำงาน สภาพอากาศ และปัญหาต่างๆที่พบ

ในเวลาตี 2 ของทุกวันๆ เราจะต้องออกไปส่งหนังสือพิมพ์ ซึ่งมีจำนวนประมาณ 300 เล่ม เอาไปส่งตามบ้าน ตามตึกต่างๆ แต่นั่นมันเป็นแค่ส่วนเล็กๆครับที่เราจะต้องเจอ ปัจจัยหลักๆ ทำให้งานมันยากลำบาก มันมีอยู่ 4 อย่างครับ

1. จำนวนของจิราชิ (ใบปลิวโฆษณา)


เรียกสั้นๆว่า ชิ ทุกๆวันก่อนออกไปส่งหนังสือพิมพ์ เราต้องมาใส่ชินี้ลงไปในหนังสือพิมพ์ทุกๆเล่มก่อน ถึงจะออกไปส่งได้ ซึ่งแต่ละวันก็จะมีปริมาณความหนาและหนัก แตกต่างกันไปโดยเฉพาะวันเสาร์หรือวันหยุดเทศกาลจะหนาเป็นพิเศษ ช่างโชคร้ายที่หนังสือพิมพ์โยมิอุรินั้น ได้รับการกล่าวขานว่าเป็นหนังสือพิมพ์ที่มีจิราชิเยอะและหนาที่สุดในบรรดาหนังสือพิมพ์ญี่ปุ่นแล้วครับ บางวันมีชิ 2 ชั้นด้วย ส่งเสร็จกลับมาต้องมาใส่ชิสองชั้นและตอกให้เรียบก่อน เพื่อเตรียมสำหรับส่งในรอบถัดไป ยิ่งชิหนาชิเยอะ งานยิ่งหนัก ยิ่งลำบาก

2. ตึกและบันได


ในการส่งหนังสือพิมพ์ นอกจากไปหยอดตาม Post ต่างๆตามบ้านหรือ Post รวมแล้ว ยังมีพวกที่ต้องเข้าไปหยอดถึงหน้าห้องเลย (บริการดี๊ดี) ปัญหาอยู่ตรงนี้ครับ ตึกที่ญี่ปุ่น จะมีตึกประเภทหนึ่งครับ ที่เรียกว่า ''ดันจิ'' (団地) ผมเรียกมันว่า ตึกเหียไม้โท ครับ เป็นตึกที่เป็นบล็อคๆไม่มีทางเดินระหว่างห้อง ทำให้ไม่สามารถเดินไปหยอดห้องที่อยู่ข้างๆกันได้ ต้องขึ้นไปแล้วกลับลงมาใหม่ แล้วกลับขึ้นไปอีกบล็อค และร้อยละ 80 ของตึกพวกนี้ มันไม่มีลิฟท์ครับ!! ไม่มีลิฟท์ ลองนึกสภาพ ต้องเดินขึ้นบันไดชั้น 5 เพื่อไปหยอดหนังสือพิมพ์ห้องเดียว แล้วเดินกลับลงมา เดินขึ้นไปชั้น 5 อีกที เพื่อไปหยอดอีกห้องที่อยู่ข้างๆกันดูสิครับ ทั้งเสียเวลา เสียพลังงาน และทำลายสุขภาพเข่ามาก และเหนื่อยมากๆด้วย ใครที่โชคร้ายมาเจอพวกตึกแบบนี้เยอะๆ (แบบผม เจอตึกแบบนี้ 10 กว่าตึก สนนรวม 60 กว่าเล่ม) ไม่แนะนำให้อยู่ระยะยาวครับ อาจจะเจอโรคข้อเข่าเสื่อมได้ และนี่ก็เป็นเหตุผลหลักที่ทำให้ผมตัดสินใจอยู่ทุนแค่ 2 ปีครับ ไม่ต่อแล้วจ้า

3. สภาพอากาศ


คนไทยจากประเทศเมืองร้อนอย่างเราๆ เจออากาศแค่ราวๆ 20 องศาต้นๆ ถึง 10 องศาปลายๆ ก็ร้องหนาวกันแล้วใช่ไหม แต่นั่นเทียบไม่ได้เลยกับในญี่ปุ่น ที่หน้าหนาวอากาศอยู่ที่หลักเลขตัวเดียวทุกวัน!! และอย่าลืมว่าเราต้องออกแต่เช้ามืด ตี 2 ซึ่งเป็นช่วงพีคที่อากาศหนาวเย็นที่สุด ตรงนี้เป็นปัญหาสำหรับผู้มาใหม่ๆมาก หลายๆคนไม่ชินเจออากาศหนาวเข้าไป ท้อร้องไห้กลับบ้านก็มีครับ ต้องงัดอุปกรณ์กันหนาวทุกอย่างที่มีมาใช้ พวกหมวกไหมพรม ถุงมือ ผ้าพันคอ ผ้าปิดหน้า และเสื้อกันหนาวหนาๆที่กันลมได้ เพราะเราต้องขี่มอไซในอุณหภูมิ 4-5 องศา บางวันติดลบ ทุกอย่างต้องเซฟครับ ไม่งั้นหนาวตายแน่ แต่อุปกรณ์ทุกอย่างที่กล่าวมามันจะไร้ความหมายทันทีเมื่อ...หิมะตก และฝนฤดูหนาวตก ไหนจะต้องมาแร๊บหนังสือพิมพ์ทีละเล่มๆ เพื่อไม่ให้หนังสือพิมพ์เปียก ถนนก็ลื่น หนาวก็หนาว คำเดียวสั้นๆครับ ไม่ต้องบรรยาย... ''นรก''

และก็อย่างที่ผมบอกไว้คือ งานนี้ ไม่ว่าฝนจะตกหนัก หิมะลง พายุเข้า แผ่นดินไหว ก็หยุดไม่ได้ครับ ยกเว้นภูเขาไฟระเบิด...หนีสิ

และอย่างสุดท้าย 4. คนญี่ปุ่น
ใช่ครับ อุปสรรคที่สร้างความหนักใจให้ผมมากที่สุด ตลอดระยะเวลาการรับทุน คือคนญี่ปุ่นเนี่ยแหละ ลืมภาพคนญี่ปุ่นที่สุภาพ เป็นมิตร ใจดีที่คุณเคยเจอมาได้เลย เพราะสังคมคนญี่ปุ่นที่คุณจะเจอในการทำงานหนังสือพิมพ์ คือคนญี่ปุ่นกเฬวราก ขี้เกียจ ชอบเอาเปรียบ เห็นเราเป็นต่างด้าวก็คิดว่าเราโง่ จ้องจะเอาเปรียบเราทุกอย่าง ไม่ว่าจะการแบ่งงาน งานไหนยากๆลำบากๆ ให้คนไทยทำหมดครับ ญี่ปุ่นเอาแต่งานง่ายๆสบายๆไป การตั้งกฏระเบียบต่างๆ มาไว้บังคับใช้กับคนไทยโดยเฉพาะ ไม่ต้องคิดถึงความเท่าเทียม เรื่องเงินๆทองๆก็ไม่เป๊ะ คิดขาดบ้าง หักเกินบ้าง ถ้าเราไม่ทักท้วงก็เนียน หาเรื่องหักเงินเราอยู่เสมอๆ เรามาอยู่นี่จะเหมือนเป็นพลเมืองชั้นสองครับ เรียกร้องอะไรก็ไม่ได้ เพราะมีสัญญาค้ำคออยู่ (ลืมบอกว่า ระหว่างที่รับทุน หากเราผิดสัญญาอยู่ไม่ครบ จะเจอค่าปรับด้วย เป็นหลักแสนบาทเลย) คนที่เป็น Agency พาเรามา พอพาเรามาถึงแล้วก็ปล่อยเราไปตามยถากรรมเลย ไม่มาดูแลใดๆ เราต้องดูแลตัวเอง ตรงนี้ขอด่าหน่อย อัดอั้น อิอิ หลักสำคัญคือต้องอดทนๆๆๆๆ ครับอยู่ให้ได้ครับ คนไทยที่นี่มีอะไรก็พอๆช่วยกันได้ แน่นอนว่าคนญี่ปุ่นที่ดีๆมันก็มีครับ โชคดีเจอร้านดีๆ สังคมดีๆก็ดีไป แต่ที่แย่ๆก็เยอะ

สรุปข้อดีข้อเสียของทุน

ข้อดี
+ ค่าเล่าเรียนฟรี ที่พักฟรี มีเงินเดือนมีงานพิเศษให้ทำแน่ๆ ไม่ต้องเดือดร้อนเรื่องเงิน มีเงินเที่ยวช๊อปได้สบายใจ
+ ไม่ต้องยุ่งยากในการขอวีซ่า ไม่ต้องมีทุนมากมายก็มาเรียนญี่ปุ่นได้
+ จบแล้วสามารถขอต่อทุนไปเรียนเซมมงได้ ซึ่งปกติเซมมงไม่ค่อยมีทุนให้นักเรียนต่างชาติ
+ ไม่จำเป็นต้องมีพื้นฐานภาษาญี่ปุ่น ไม่ต้องสอบแข่งขัน ไม่ต้องใช้สมอง ใช้แต่แรงกายเข้าแลก
+ เป็นใบเบิกทางสำหรับผู้ที่ต้องการมาทำงานในญี่ปุ่นระยะยาว

ข้อเสีย
- งานหนัก สภาพอากาศแย่ พักผ่อนน้อย ไม่มีอิสระ
- ระยะยาวไม่ดีต่อสุขภาพ ทำให้ร่างกายเสื่อมโทรม
- มีแนวโน้มจะโดนเอาเปรียบบ้าง ก็ต้องจำยอม ยอมทน
- ไม่สามารถเลือกที่เรียนที่อยากเรียนได้อย่างอิสระ ต้องได้รับการอนุญาตจากทางร้านก่อน
- เวลามีปัญหา Agency ช่วยเหลืออะไรเราไม่ค่อยได้ ต้องช่วยตัวเอง
- นอกจากคนในร้านหนัวสือพิมพ์แล้ว ก็ไม่ค่อยได้มีสังคมมีเพื่อนคนญี่ปุ่นเท่าไหร่ ทำให้ภาษาอาจไม่กระเตื้องเท่าที่ควร

2 ปี กับสิ่งที่ผมได้รับจากทุน

และนี่แหละครับ คือสิ่งที่ผมอยากจะแชร์ เราต้องเตรียมตัวเตรียมใจ เตรียมรับสภาพให้ได้ การมาอยู่ต่างถิ่น ไม่ง่ายเลยครับ และในเดือนหน้านี้ผมก็จะหมดสัญญาทุนแล้ว (ดีใจมากกก) สิ่งที่ผมได้จากทุนนี้คือ สอบผ่าน N1 ได้สำเร็จ จากที่ตอนทำงานอยู่ไทย สอบมา 3 ปีไม่เคยผ่าน สอบติดมหาวิทยาลัยของรัฐได้ ในคณะที่อยากเรียน และเก็บเงินก้อนเพื่อไปเรียนต่อได้ด้วยตัวเอง ไม่ต้องใช้ทุนอีกต่อไป ทุกอย่างมีทั้งข้อดีช้อเสีย ทั้งนี้ทั้งนั้นอยู่ที่ทัศนคติของแต่ละคนทีจะมองครับ 2 ปีในการรับทุนของผมนี้ เต็มไปด้วยประสบการณ์มากมายจริงๆ และผมมั่นใจว่ามันได้ทำให้ผมเป็นคนที่แกร่งขึ่นกว่าแต่ก่อนเยอะเลย

หวังว่ากระทู้แชร์ประสบการณ์ของผมจะเป็นประโยชน์แก่เพื่อนๆชาวจีคอนบ้าง ไม่มากก็น้อยนะครับ
ขอบคุณที่สละเวลาอ่านครับ


[Edited 2 times Iseria Queen - Last Edit 2017-02-23 02:18:10]


# Tue 21 Feb 2017 : 8:33PM

Username
member

Since 1/5/2006
(6151 post)
ขอบคุณที่มาเเชร์ประสบการณ์ให้ฟังนะครับ. อุปสรรคที่น่ากลัวสำหรับผมเท่าที่อ่านคงเป็นตื่นตีสอง ถึงหกโมง. เคยง่วงหลับในห้องไหมครับ
View all 1 comments >

# Tue 21 Feb 2017 : 8:57PM

insanity
member

Since 1/9/2007
(11258 post)
นับถือในความสามารถ และ พยายาม

# Tue 21 Feb 2017 : 9:24PM

Hadrain
member

Since 2013-09-24 22:19:39
(2672 post)
- มีวันหยุดให้สัปดาห์ละ 1 วัน นอกเหนือจากนั้น จะฝนตก หิมะตก ใต้ฝุ่นเข้า แผ่นดินไหว ก็ต้องไปส่งห้ามหยุดเด็ดขาด!!

แผ่นดินไหวก็หนีไม่ได้เรอะ เป็นอะไรขึ้นมาจะทำไงละนิ

กำลังเรียนญี่ปุ่นที่มหาลัยอยู่พอดีเลย ขอบคุณที่มาแชร์ครับ

ขอถามเรื่องการทำงานหน่อยครับ ที่นั่นเวลาทำงานกับคนอื่นแล้วเครียดไหมครับ? แบบว่านายจ้างหน้าเลือดขนาดไหนอะครับ
[Edited 1 times Hadrain - Last Edit 2017-02-21 21:26:15]
View all 1 comments >

# Tue 21 Feb 2017 : 10:32PM

ThunderBird
member
ยังไม่เลิกยิงมุกอีกเหรอ?
Since 30/3/2005
(13512 post)
งานหนักมาก ผมคงไม่ไหวอะ

# Tue 21 Feb 2017 : 10:35PM

Muerte
member

Since 14/6/2008
(14168 post)
ถึกมาก อยากรู้ว่าปรับเวลานอนยังไงครับเนี่ย
View all 1 comments >

# Tue 21 Feb 2017 : 11:12PM

GODGUNDAM
member

Since 15/7/2011
(2305 post)
ชื่นชมครับมีความอดทนเเละพยายาม ขอบคุณที่เเชร์ประสบการณ์ อ่านสนุกดีครับ

# Tue 21 Feb 2017 : 11:19PM

Gunnm
member

Since 19/9/2008
(2442 post)
นับถือจากใจเลยครับ
อดทนมากกกกก...ยิ่งกว่าหน่วยซีล

ขอบคุณมากๆครับ ที่มาแชร์

# Wed 22 Feb 2017 : 1:15AM

Zon
member

Since 2011-11-01 18:12:32
(2598 post)
ขอบคุณที่เข้ามาแชร์ประสบการณ์ครับ

ปล. เลของศาตัวเดียว..... เคยไปทำงานเซเว่น ในตู้แช่น้ำ แค่นั้นก็เกือบม่องแล้ว

# Wed 22 Feb 2017 : 4:02AM

Copynana01
member

Since 2012-10-01 21:10:08
(1541 post)
เก่งมากๆเลยครับขอชื่นชมเลย

# Wed 22 Feb 2017 : 7:22AM

leon-KH
member

Since 23/2/2010
(1125 post)
คนที่นั่นเครียดไหมครับ

# Wed 22 Feb 2017 : 8:16AM

bank-Ultima
member
Overheat - System Down
Since 7/4/2006
(17267 post)
ようやく辿り着いた お疲れ様でした

# Wed 22 Feb 2017 : 8:23AM

100dej
member

Since 22/5/2009
(796 post)
เฉลี่ยระยะทางส่งสักกี่กิโลต่อรอบครับ?
View all 3 comments >

# Wed 22 Feb 2017 : 9:06AM

busterwolf
member

Since 26/10/2007
(6358 post)
เป็นงานที่โหดหินมากๆ ขอชมเลยครับว่าเก่งมาก ผมก็ตั้งใจจะกลับไปเรียนภาษาญี่ปุ่นให้เก่งๆ แต่ถ้าไปเรียนขอทุนนี่คงไม่ไดละอายุเกินไปเยอะแล้ว

# Wed 22 Feb 2017 : 9:43AM

komsith
member

Since 24/9/2008
(161 post)
สุดยอดดครับ
เปนงานที่คนเจแปนก้ไม่อยากทำไหม เลยมีทุนให้คนนอก

<<
<
1
2
3
4
>
>>
Reply
Vote




1 online users
Logged In :