Review - Rogue One : A Star Wars Story (I Rebel!!!)

ผู้กำกับ : Gareth Edwards (Monsters, Godzilla 2014)

ครั้งแรกที่ทราบข่าวว่าจะมีการสร้าง Rogue One ผมรู้สึกคลางแคลงใจอยู่พอควร กลัวว่า Star Wars จะกลายเป็นหนัง Cash Grab ที่ออกมาจนเฝือ แต่ในที่สุดเมื่อ Rogue One ออกฉายจริงๆ กระแสรีวิวต่างๆในเพจของไทยต่างพากันชื่นชมหนังเรื่องนี้ (คะแนนส่วนใหญ่อยู่ที่ 8-10) ทำให้ผมใจชื้นขึ้นมาบ้าง แล้วในที่สุดเมื่อผมได้ชมมันจริงๆจะคิดเห็นอย่างไรมาดูกันครับ



Rogue One เล่าถึง Jyn Erso (Felicity Jones) ลูกสาวของ Galen Erso (Mads Mikkelsen) วิศวกรอัจฉริยะที่ถูกฝ่ายจักรวรรดิจับตัวไป Jyn จึงต้องใช้ชีวิตเร่ร่อนตัวคนเดียวอยู่หลายปีก่อนที่จะถูกฝ่ายกบฏช่วยไว้ โดยฝ่ายกบฏต้องการตัว Jyn เพราะทราบข่าวว่า Galen พ่อของเธอกำลังสร้างอาวุธร้ายให้กับฝ่ายจักรวรรดิ จึงต้องการใช้เธอในการช่วยหาทางติดต่อพ่อของเธอ Jyn ร่วมกับ Cassian Andor (Diego Luna) ทหารฝ่ายกบฏ, K-2SO ดรอยด์จอมกวน, Chirrut (Donnie Yen) และ Baze (Wen Jiang) คู่หูอดีตผู้พิทักษ์วิหารเจได จึงได้ออกปฏิบัติภารกิจในครั้งนี้ พวกเขาจะทำสำเร็จหรือไม่ ติดตามได้ใน Rogue One ครับ



เมื่อผมชม Rogue One จบ...จะว่าไงดี ผมหวังไว้มากกว่านี้น่ะ หนังมีปัญหาพอควรในช่วงแรกๆ ทั้งการตัดไปตัดมาไม่ค่อยลื่นไหล และยังมีความเนือยอยู่พอสมควร (ซึ่งผมว่าหนัง Garreth Edwards เป็นงี้ทุกเรื่องเลย) สำหรับบรรยากาศในเรื่องนั้นจะซีเรียสกว่า The Force Awaken อย่างเห็นได้ชัดครับ ความตลกเฮฮาลดลงอย่างชัดเจน มุกก็แค่ขำหึๆบางมุกแป้กเสียด้วยซ้ำครับ ตัวละครต่างๆนั้น ตัวหุ่น K-2SO และชีรุต ตัวละครของดอนนี่ เยน นี่ผมชอบมากนะ ทั้งคู่เป็นเจ้าของมุกตลกที่เวิร์คส่วนใหญ่ในเรื่องนี้เลย K-2SO นั้นยังมีความกวนแบบพอดีๆทำให้เราหลงรักมันได้ ส่วนคิวบู๊ของดอนนี่ เยนนั้นก็เจ๋งมาก ไม่เสียชื่อจริงๆ เสียที่น้อยไปนิดเพราะต้องหลีกทางให้กับตัวละครหลัก แล้วตัวละครหลักนี่แหละที่ผมว่ามันมีปัญหา ผมคิดว่าปูมหลังของ Jyn Erso นี้ยังปูมาได้ไม่ดีเท่าไหร่เลย ดูอย่างเรื่องที่เธอใช้ชีวิตเป็นตัวปัญหามาตลอดชีวิตนั้นก็บอกแค่จากคำพูดของทหารฝ่ายกบฏ กับการที่เธอติดคุกเท่านั้น มันเลยส่งผลให้การบิวท์ขยี้อารมณ์ที่พยายามทำหลายครั้งในเรื่องนั้นไม่ส่งผลมาถึงผมเท่าไหร่ครับ (มีครั้งสุดท้ายอะ ที่ได้ผลนิดๆ)



ถึงอย่างไรก็ตาม ในช่วงท้ายของหนังก็เรียกคะแนนคืนมาได้โข ด้วยฉากรบ Full Scale แบบจัดหนักจัดเต็มด้วยอาวุธยุทธโธปกรณ์ของทั้งฝ่ายจักรวรรดิและฝ่ายกบฏที่สาดใส่กันแบบไม่มียั้ง ยังกับจะมาทำศึกสุดท้ายกันตรงนี้เลยทีเดียว ฉากนี้สุดๆจริงๆครับใครเป็นแฟน Star Wars ถ้าบอกว่าไม่ชอบฉากนี้ก็บ้าแล้ว อีกอย่างที่หนังจัดเต็มให้กับแฟน Star Wars ก็คือ Fanservice ต่างๆครับ การเชื่อมโยงไปยังหนังและสื่อ Star Wars ต่างๆมีเยอะมาก ตัวละครเก่าๆระดับ Iconic บางตัวก็โผล่มาแบบ “มาได้ไง?” 5555 ยิ่งการเชื่อมไปยัง Episode 4 : A New Hope ยิ่งทำได้ดีมาก บางอย่างไปแก้สิ่งที่ A New Hope ไม่สมเหตุสมผลด้วย เจ๋งจริงครับ



ด้านงานภาพนั้น CG ต่างๆทำได้ดีทีเดียว ฉากรบต่างๆก็ทำได้สวยงามหาที่ไม่เนียนได้ยากมากครับ (งานภาพจะออกโทนมืดเยอะหน่อยซึ่งผมว่าเป็นลายเซ็นของอิตา Gareth Edwards ไปละ) ดนตรีประกอบนั้นคราวนี้ใช้บริการของ Michael Giacchino (งานชุกนะแกปีนี้ ออสการ์มั้ย) ซึ่งสามารถเอาธีมเก่าๆมา Arrange ให้แปลกใหม่ขึ้นแต่ก็ยังไม่ทิ้งอารมณ์ Star Wars ชอบครับ สุดท้ายคือการแสดง อืม....Felicity Jones ผมเห็นความพยายามนะ แต่ยังไม่เนียนอะ ซีนอารมณ์ยังสัมผัสได้ถึงการเล่นใหญ่ Diego Luna ในบท Cassian นี่ผมก็ว่าหน้าเดียวไปนิด ส่วนคนอื่นๆก็ทำได้ตามมาตรฐานแหละครับ

สรุป : เป็นหนังที่ให้ความบันเทิงได้อยู่ แต่ผมรู้สึกว่ายังไม่เลิศเลอเท่าที่รีวิวหลายเจ้าบอกไว้เท่าไหร่ แต่!!! ถ้าคุณเป็นแฟน Star Wars อันนี้ห้ามพลาดครับ

คะแนน : 7.8/10 (B+) เฉยๆครับ (แต่ถ้าเป็นแฟน Star Wars เพิ่มเป็น 8/10 (A) ครับ)

มีอะไรที่ไปแก้สิ่งที่ไม่สมเหตุสมผลใน ภาคสี่บ้างครับ ผมลืมๆเรื่องภาคสี่ไปละ

ถ้าภาค 7. ได้. 6/10. ภาคนี้บวกไปเลย. 2. คะเเนน เพราะมันจบในตัวอยู่เเล้ว

เอาของผมที่แปะในเฟสมาลงมั่ง รวมๆชอบนะครับ สนุก แต่ไม่ได้เจ๋งไรมากมาย แต่มีซีนของเวเดอร์ที่ทำเอา NERDGASM คาโรงกันเลยทีเดียว

Rogue One: A Star Wars Story

+ นี่เป็น SW ที่พาเราไปทั่วกาแล็กซี่ 30 นาทีแรกของหนังพาเราไปหลายดาวมาก และถ่ายทำโลเคชั่นต่างๆได้สวยงามมาก
+ เอ็ฟเฟ็กต์เทพสมกับเป็น SW
+ สงครามท้ายเรื่องสนุก แสดงให้เห็นความน่ากลัวของจักรวรรดิได้เป็นอย่างดี สิ่งเดียวที่ฝ่ายกบฏมีคือ "ความหวัง" จริงๆ ทำให้เราชอบประโยค "Rebellions are built on hope." มากๆ
+ ฉากตอนจบแม้จะดูเร่งๆไปนิด แต่ชอบตรงที่เชื่อมกับภาค A new hope ได้สนิทไร้รอยต่อจริงๆ
++++++++++++++ Darth Vader ถ้าถามเราว่าเข้าไปดูในโรงคุ้มมั้ย แค่ฉากของเวเดอร์เพียงฉากเดียวก็คุ้มแล้ว โดยเฉพาะฉากนั้น เป็น fanservice ที่เข้าใจว่าเราอยากเห็นอะไรจากตัวละครตัวนี้ Nerdgasm คาโรงบอกเลย

และทั้งหมดนั้นคือสิ่งที่เราชอบ ต่อไปเป็นจุดที่ไม่ชอบ เอาจากเล็กไปใหญ่แล้วกัน

- ช่วงแรกพาเราไปดาวโน้นดาวนี้ รู้สึกว่ามันกะตุกกะตัก ไม่ไหลลื่น แอบหาวนะ(ฮา)
- ตัวละคร CGI... พาเราหลุดฟีลทุกทีอะ คือมันลอยแล้วขัดตามาก แถมออกมามีบทบ่อยด้วย เราอยู่ในยุค CGI ระดับ Dawn of the Planet of The Apes แล้วเด้ออ เราคิดว่านี่มัน SW ซึ่งเป็นระดับที่เรียกได้ว่าเปลี่ยนวงการภาพยนตร์ในเรื่องเทคนิคพิเศษต่างๆ มันน่าจะทำได้ดีกว่านี้อะ
- ข้อเสียสุดท้าย ตัวละครครับ...ใช่แล้ว ตัวละครเกือบทุกตัว เราไม่รู้สึกผูกพันธ์หรือเอาใจช่วยไปกับตัวละคร ถ้าให้ชอบที่สุดคือเราชอบหุ่น K2SO มากที่สุด ตัวละครของ Donnie Yen ตามมา แต่รวมๆแล้วเราว่าตัวละครเกือบทุกตัวในเรื่องนี้ไม่น่าสนใจ เราไม่ได้ลุ้นเอาใจช่วยซักเท่าไร แต่ไม่ได้บอกว่านักแสดงเล่นไม่ดีนะ เล่นดีทุกคน Fecility Jones ก็ยังเก่งเหมือนเดิม สำหรับเราตรงนี้เป็นจุดเสียร้ายแรงที่สุดสำหรับหนัง เพราะเรื่องนี้เป็นจุดแข็งที่สุดของ Star Wars นะ ซึ่งเป็นเหตุผลที่เราเคยบ่นไปในสเตตัสก่อนๆว่าเวเดอร์ออกมาน้อย มันเป็นเพราะว่าเราไม่แคร์กับตัวละครในหนังไง ตอนจบแทนที่เราจะแคร์จิน หรือเอาใจช่วย ในใจเรากลับตั้งตารอว่าเมื่อไรเวเดอร์จะออกมาอีกแทนซะงั้น บอกเลยเรายินดีที่จะเห็นเวเดอร์เดินไปเดินมา มากกว่าดูเรื่องของกลุ่มโร้ควันซะอีก 555+

และถ้าจะบอกว่านี่มันหนัง Rogue One ไม่ใช่หนังของ Skywalker เราจะย้อนกลับไปภาค VII แน่นอนว่าเราอยากเจอลุค รอจะดูซีนของลุค แต่ดูจบเราไม่ได้มีความรู้สึกแบบเรื่องนี้ เพราะตัวละครในเรื่องมันเปล่งประกายด้วยตัวของมันเอง เราชอบตัวละครของเรื่องนั้น ถึงไคโรเรนจะกากยังไง แต่เราก็ยังสนใจในตัวละครอยู่ดี ดูจบเราไม่บ่นเรื่องลุคเลยแม้แต่นิดเดียว

สรุป ชอบ The Force Awakens มากกว่าแฮะ

เรียงลำดับ TESB > ROTJ > TFA = ANH > ROTS > R1 > TPM > AOTC

Death Star ไม่เท่าไร
แต่ไอ้ Starkiller ในภาค7 ทำลายดาวไป 5ดวง นั้นละ
ล้มSithได้ ก็ไม่เห็นจะมีอะไรดีขึ้น แย่ลงด้วยซ้ำ = ="

ก่อนดูผมไม่หวังมาก ดูจบกลับอิ่มแฮะ แค่ฉากท่านตาออกมาโชว์เมพก็คุ้มค่าตั๋วละ ส่วน CG นี่ระดับเทพเจ้าเลย

ทั้งเรื่องรอดูฉากสุดท้ายอย่างเดียว...ฟิน

ถ้าไม่มีฉากท้ายนี้ผมให้เกรด B เลยจริง ๆ 5 55

ยังไม่รู้ว่าภาคนี้จะดูหรือไม่ดู เพราะว่าภาคที่เราเคยดูครั้งแรก็คือภาค3(ซื้อหนังแผ่นดู)เห็นว่าเนี้อเรื่องอยู่ระหว่างกับภาค3กับภาค4 ภาคนี้จากที่ดูตัวอย่างไม่ค่อยอลังการงานสร้างเท่าไร

ความสมเหตุสมผลไม่ค่อยมี ทำให้ภาคนี้ดูด้อยค่าลงไปมาก

มาแจมรีวิวด้วย ถถถ

Rogue One : A Star Wars Story

score : 8.5/10
grade : A-

สนุกดี แต่ก็หดหู่ดีเหมือนกัน และหดหู่มากขึ้นไปอีกเมื่อรู้ตอนจบแต่แรกอยู่แล้ว

เสน่ห์อย่างนึงของเรื่องนี้คือการที่สามารถเอาตัวละครที่ประสบพบเจอกันแบบแรนด้อมๆ ไม่ได้รู้ลักษณะนิสัย ไม่รู้เป้าหมาย ไม่ได้รู้ที่มาที่ไป จับมาออกผจัญภัยด้วยกันแบบงงๆแล้วมันไปด้วยกันได้ดีมากๆ

เราอาจจะไม่ได้ชอบตัวละครแต่ละตัวแบบเป็นตัวๆไปมากนัก แต่เรารู้สึกดีที่ได้เห็นพกวเขาผจญภัยด้วยกัน และนั่นทำให้เราผูกพันธ์กับตัวละครในเรื่องนี้ไม่น้อยเลย

สิ่งที่ชอบแต่ไม่เชิงว่าเป็นข้อดีเท่าไหร่ ประมาณว่าน่ารักดี คือการที่เนื้อเรื่องในภาคนี้มันไปเติมเต็มจุดที่มันตลกหน่อยๆในสตาร์วอส์ภาค 4 ทำให้ทุกอย่างมันดูมีที่มาที่ไปขึ้น จะเรียกว่าแถก็ได้แหละ แต่ก็เป็นการแถที่น่ารักดี

ทั้งหมดทั้งมวลมันทำได้ดี เล่าเรื่องสนุก ตัวละครน่ารัก คิวบู๊ทำได้มาตรฐาน บทสรุปที่บีบคั้นใจ ออกแบบการใช้สีสวย งานออกแบบก็ตามมาตรฐานสตาร์วอส์

แต่มันก็ไม่ได้มีอะไรแปลกใหม่เช่นกัน

คือแค่การที่เนื้อเรื่องภาคนี้จริงๆมันไม่ได้มีผลกับจักวาลสตาร์วอส์มากไปกว่าสองสามบรรทัดตอนอินโทรภาค 4 ก็เรื่องนึงแล้ว แต่ทั้งการกำกับจังหวะเรื่อง สไตล์คิวบู๊ ตลอดจนพัฒนาการตัวละคร มันสตาร์ว๊อสตาร์วอส์อ่ะ จนมันแบบ ดูไปก็รู้สึกว่ามัน "่just another star wars movie" นิดๆอ่ะนะ ทั้งที่เอาจริงๆก่อนภาค 7 จะมามันก็ทิ้งช่วงมานานละนะ

สรุป ปฏิเสธไม่ได้หรอกว่ามันสนุก ดูได้ไม่เสียดายตังค์ ใครที่ติดตามสตาร์วอส์มาทุกภาคก็ควรดูอยู่แล้ว มันเติมเต็มเนื้อเรื่องได้ดี โดยส่วนตัวก็อยากเห็นแนวทางที่ทำให้รู้สึกเฟลชกว่านี้อ่ะนะ แต่ก็ไม่ได้เป็นข้อเสียที่หนักหนาอะไร

สนุกและคุ้มค่าตั๋วกว่าภาค7 ออกจากโรงรีบกลับบ้านมาเปิดภาค4 ต่ออย่างไว
ปล. เวเดอร์ มึงจะพริ้วเกินวัยไปไหม

ถ้าไม่ใช่แฟน Star War มันคือหนังแนวอวกาศ ธรรมดาๆๆ เรื่องหนึ่งจริงๆ ยิ่งถ้าไม่เคยดู Star War มาก่อน ดูไม่รู้เรื่องแน่ๆ เพราะมันเป็นหนังที่ทำมาสำหรับแฟน Star War โดยเฉพาะ

แต่สำหรับแฟน Star War มันคือส่วนเติมเต็มสิ่งที่ขาดหายไปในอดีตที่ลืมไปแล้ว เมื่อวันก่อนหลังจากดูจบ 2 วันนี้นั่งดู 4 - 6 ต่อ มันฟินเหลือเกิน

สนุกพอประมาณ หนังดูซีเรียสขึ้น เเต่ก็ยังเป็นสไตล์สตาร์วอร์มันยังไม่ลุ้นหนักหน่วง ส่วนเเอคชั่นซีนสนุกเเละมันส์ดีมาก

เรื่องนี้ให้อารมณ์เดียวกับไฟนอล15คือ บิ้วตัวละครไม่สุด แต่อย่างอื่นคือดีงามทุกอย่าง ไม่ได้ดูหนังจนอ้าปากหวอในความทึ่งมานานแหละ สรุปดาร์กเวเดอร์ในไตรภาคนี้อ่อนให้ลุคใช่ไหม