Menu
[--mobilemenu--]
บราวเซอร์ของท่านไม่สนับสนุนหรือปิดการใช้งาน javascript ซึ่งจะไม่สามารถใช้งานไซต์บางส่วนเช่นการเข้าลิ้งค์ หรือโพสข้อความได้ตามปกติ, กรุณาเปิดการใช้งาน javascript เพื่อที่จะใช้งานเว็บ gconhubม หากมีปัญหาในการใช้งาน หรือต้องการสอบถามเพิ่มเติม กรุณาติดต่อ [email protected] หรือ [email protected]
กระทู้ไอดอล 48Group & 46Group & อื่นๆ

Reply
Vote
# Mon 1 Jan 2018 : 8:08PM

ToreZ
member
Guru Fighter
Since 10/6/2011
(8869 post)
บทสัมภาษณ์แบบแปลไทยของเทะใน Rockin’ on Japan ฉบับเดือนธันวา



‘ถ้อยคำท่ามกลางความโดดเดี่ยว’ ในวัยสิบหกปี(Part 1)

―ไม่ได้เจอกันนานเลยนะครับ

เทะจิ: ค่ะ ไม่ได้เจอกันนานเลย

―ตอนที่ได้สัมภาษณ์ครั้งก่อนคือเดือนก.พ.ปีนี้ จากนั้นก็มีไลฟ์กลางแจ้งครั้งแรก ออกผลงานมากมาย ที่สำคัญยังมีทัวร์หน้าร้อนครั้งแรกด้วย จะขอฟังเรื่องราวเหล่านั้นทีละเรื่อง ๆ ในระยะเวลา 8 เดือนที่ผ่านมาว่าฮิราเทะซังคิดอะไรขณะยืนอยู่บนจุดศูนย์กลางของเคยากิซากะ 46

เทะจิ: ค่ะ รบกวนด้วยนะคะ

―อยากมองย้อนในหนึ่งปีนี้ ปี 2017 นี่ ถ้าให้กล่าวแล้วคิดว่าเป็นปีแบบไหนครับ ผมว่าคงเป็นปีที่หนักหน่วงและผ่านไปเร็วมากจริงๆ

เทะจิ: มีอะไรเกิดขึ้นหลายอย่างจริงๆนั่นแหละค่ะ รู้สึกจะหนักกว่าตอนไซมาจอ (Silent Majority) ในปีที่แล้วซะอีก ปีที่แล้วเคยากิซากะ46 มีเรื่องราวมากมายถ้ามองในภาพรวมทั้งหมด แต่ปีนี้ถือว่ามีอะไรหลายๆอย่างเกิดขึ้นในฐานะฮิราเทะ ยูรินะนะคะ

―ก็จริงนะ ยังคิดอยู่เลยว่าตอนนี้ชีวิตลงตัวพอที่จะย้อนกลับไปมองได้แล้วหรือเปล่า หรือยังรู้สึกเหมือนอยู่ระหว่างทาง?

เทะจิ: ตอนนี้ก็เริ่มเข้าที่เข้าทางขึ้นมาหน่อยแล้วละค่ะ

―ต้องขอบพระคุณมากนะครับที่มาร่วมงาน Rock in Japan

เทะจิ: ขอบคุณมากเลยค่ะที่ให้การดูแล สนุกมากเลย

―ผมก็ดีใจนะที่เราได้เจอกันในงานนั้น ได้เห็นการแสดงอันสุดยอดด้วย แต่ตอนนั้นให้ความรู้สึกว่าเคยากิซากะกำลังวิ่งระห่ำอย่างสุดชีวิตเลยละครับ

เทะจิ: ตอนนั้นกำลังอยู่ในระหว่างทัวร์หน้าร้อน แถมยังได้ขึ้นแสดงงานเฟส แล้วก็อีเวนต์มากมาย ได้ขบคิดอะไรหลายๆอย่างเลยค่ะ

―และปี 2017 ได้หลงเหลืออะไรให้ฮิราเทะ ยูรินะบ้างครับ

เทะจิ: นึกไม่ออกเลยสักนิด จำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าปีนี้มีเรื่องดีๆเกิดขึ้นหรือเปล่า

―ขนาดนั้นเลยเหรอ? (หัวเราะ)

เทะจิ: ไม่มีความทรงจำดีๆเลยค่ะ (หัวเราะ) รู้สึกจะมีเรื่องแย่ๆเยอะกว่าด้วยซ้ำ เรื่องนั้นแหละที่ยังหลงเหลืออยู่ในใจ

―เหรอครับ งั้นขอถามหน่อยแล้วกัน ถ้าให้เปรียบหนึ่งปีที่ว่าให้เป็นรูปร่าง จะใช้คำไหนสื่อออกมาครับ?

เทะจิ: ถ้าเป็นไปได้ก็ไม่อยากหวนย้อนกลับไปมองเท่าไรนะ แต่มานึกดูตอนนี้ สิ่งเหล่านั้นก็คงเป็นสิ่งสำคัญเหมือนกัน มันกลายเป็นความเกรี้ยวกราด กลายเป็นพลังงานในใจฉัน เพราะงั้นแหละ พวกเราก็เลยทำอัลบั้มดีๆออกมาได้ค่ะ

―ตรงนั้นแหละครับที่เป็นเสน่ห์ของฮิราเทะซัง คงมีความรู้สึกภายในใจอยู่มากมาย เช่น “เย้ สำเร็จแล้ว!” หรือ “เหนื่อยใจเป็นบ้าเลย” อะไรทำนองนี้ โอบรับทุกความรู้สึกของตัวเองอย่างตรงไปตรงมาเลยสินะครับ จริงๆก็มีคนที่ใช้ชีวิตโดยใส่ใจแค่ความรู้สึกด้านบวกอย่าง “สนุกสนาน” พึ่งพาแต่ความรู้สึก “ทำสำเร็จ” เพียงเท่านั้น แต่ฮิราเทะซังกลับเผชิญหน้ากับทุกความรู้สึกของตัวเอง

เทะจิ: ก็ไม่ค่อยได้ตั้งใจจะทำแบบนั้นหรอกนะคะ แต่คงเป็นอย่างนั้นแหละ

―เหมือนว่า ไม่ยอมหลบตาหนี ไม่ว่าจะสุขหรือทุกข์ก็เผชิญหน้ากับมันอย่างเต็มร้อยอยู่เสมอ ไม่วิ่งหนีจากทุกความรู้สึกทั้งหมดที่มี

เทะจิ: คงเผชิญหน้าจริงๆนั่นแหละค่ะ มีอยู่หลายครั้งที่ท้อจนแทบไม่ไหว แต่ก็เผชิญหน้ากับความรู้สึกมาตลอดเลย อืม คงจะเป็นอย่างนั้นจริงๆแหละ

―ก็เลยไม่ยอมคิดว่า “แค่เต้นเหมือนทุกทีก็พอแล้ว” สินะครับ

เทะจิ: ไม่คิดหรอกค่ะ จริงๆก็ไม่มีสิ่งที่เรียกว่า “เหมือนทุกที” อยู่แล้วด้วย เผชิญหน้ากับความรู้สึกของตัวเองมาตลอดเลยละค่ะ ในช่วงเวลานี้

―โดยเฉพาะในหนึ่งปีนี้?

เทะจิ: ค่ะ

―ก็คิดอยู่แล้วละครับว่าคงเป็นคนแบบนั้น ขณะที่ฮิราเทะซังกำลังเผชิญหน้ากับหลายสิ่งหลายอย่างในหนึ่งปีนี้ ซึ่งจริงๆแล้วจะผ่อนคลายกว่านี้สักหน่อยก็ได้ แต่ด้วยนิสัยที่ทำแบบนั้นไม่เป็นก็ถือเป็นสิ่งที่บีบเค้นฮิราเทะซังมาตลอด ทำให้คุณเข้มแข็งมากขึ้นด้วยสินะครับ

เทะจิ: โดนบีบเค้นมาตลอดจริงๆนั่นแหละค่ะ (หัวเราะ) สุดท้ายก็พอเอาตัวรอดมาได้นะ แต่มีอะไรให้กลุ้มใจมากมายเพราะถูกบีบเค้นอยู่ตลอดเลยนี่แหละนะ

―แต่ก็ไม่ยอมแพ้นี่ครับ กับเรื่องทุกข์ยากทั้งหลาย

เทะจิ: อื้อ พอเวลาผ่านไป ทุกอย่างก็เปลี่ยนไปเอง แล้วก็หันไปกลุ้มใจกับเรื่องอื่นบ้าง ถูกไล่ต้อนบ้าง ไม่เคยได้อยู่สงบๆเลยค่ะ (หัวเราะ)

―ด้วยนิสัยและหน้าที่การงานแบบนั้นจึงทำให้ค่อยๆเผชิญหน้ากับอะไรบางอย่างที่ไม่อาจวิ่งหนีได้ในหนึ่งปีนี้เองสินะครับ

เทะจิ: ปกติก็มักจะมีบางอย่างที่คล้ายปัญหาเกิดขึ้นในใจของตัวเองอยู่ตลอดค่ะ พอคิดว่าแก้ปัญหานี้ได้แล้ว แต่ก็เจอปัญหาใหม่อีก เคยคิดเหมือนกันว่า “นี่เราต้องเป็นแบบไหนไปตลอดเลยเหรอ” “นี่เราเป็นคนแบบนี้เหรอ” เคยคิดกระทั่งว่า “สิ่งเหล่านี้มันคืออะไรกันแน่” ฉันไม่รู้จักตัวเองเลยแม้แต่นิดเดียวค่ะ

―ถ้าเปลี่ยนคำพูดใหม่ก็คือ แทนที่จะบอกว่าไม่รู้จักตัวเอง แต่คล้ายๆว่าได้เห็นตัวเองในหลายๆด้านมากกว่าหรือเปล่า?

เทะจิ: ประมาณนั้นค่ะ ลำบากสุดๆเลย

―ได้เห็นตัวเองในหลายด้านแบบนั้นแล้วรู้สึกชอบหรือเปล่า? หรือว่าเกลียด?

เทะจิ: รู้สึกลำบากมากๆก็เลยไม่ชอบหรอกค่ะ แต่นิสัยพวกนั้นของฉันกลับกลายเป็นเพลงหรือเรื่องราวไปเองโดยปริยายทั้งที่ไม่ได้ตั้งใจ ก็สงสัยอยู่เหมือนกันว่า “นี่มันอะไรกันแน่นะ” เวลาที่รู้สึกแบบนั้นก็ได้เพลงที่บอกเล่าความรู้สึกนั้นๆมาพอดี ก็เลยแสดงออกได้ง่ายค่ะ คล้ายๆ “สวมบทบาทได้สมบูรณ์แบบ” เดี๋ยวนี้คนอื่นมักจะบอกว่าฉันเป็น “พวกองค์ลง” แต่ไม่ใช่ว่าฉันตั้งใจสวมบทบาทหรอกนะคะ แต่เพลงมันเข้ากับตัวฉันพอดีต่างหาก ก็เลยรู้สึกว่าเป็นธรรมชาติของตัวเองมากกว่า

―จะว่าพยายามเป็นคนอย่างที่ตัวเองอยากเป็นก็ไม่เชิง แต่จริงๆคงมีกรอบความคิดประมาณว่า “ต้องเป็นแบบนี้ให้ได้” อยู่ในใจสินะครับ แต่ก็เป็นอย่างที่พูดไป ตลอดหนึ่งปีนี้ คงได้สัมผัสกับความคิดประมาณว่า “ถ้าพยายามอย่างสุดชีวิตในแบบของตัวเอง เดี๋ยวรอบข้างก็ปรับตัวเข้าหาเองนั่นแหละ” “รอบข้างจะช่วยประคอง ช่วยพยุงให้” อะไรทำนองนั้นหรือเปล่า

เทะจิ: ในใจฉันไม่มีความคิดแบบ “เดี๋ยวอะไรๆก็ดีขึ้นเอง” หรอกค่ะ แต่จะคิดว่า “อันดับแรก เราต้องผ่านมันไปให้ได้สินะ” หรือถ้าระยะเวลาในการทำงานมันกระชั้นเข้ามาก็จะคิดว่า “จะต้องทำให้ได้” แค่พยายามสุดชีวิตกับเรื่องที่อยู่ตรงหน้าตัวเองเท่านั้นเอง

―ถ้ามองย้อนกลับไป อะไรคือบ่อเกิดพลังงานที่ทำให้คุณก้าวข้ามช่วงเวลาหนักหนาเหล่านั้นมาได้ครับ

เทะจิ: ………………..คิดไม่ออกเลย

―นั่นอาจจะเป็นคำตอบแบบหนึ่งก็ได้นะครับ อย่างคำตอบที่ได้ยินบ่อยๆก็เช่น “เพราะมีคนรอฟังอยู่” อะไรทำนองนี้

เทะจิ: ถ้าให้เปรียบกับเรื่องนั้น คงเป็นการที่ได้ทำรายการ School of Lock! ได้พูดคุยกับนักเรียนม.ต้น ม.ปลายวัยเดียวกันมากขึ้นทีละน้อย สิ่งที่เรียกว่าโรงเรียนเป็นอะไรที่มีอิทธิพลเยอะเหมือนกันนะคะ มันอาจเป็นอะไรที่เชื่อมโยงถึงตัวฉันเองซึ่งต่างไปจากตอนที่เป็นเคยากิซากะ พอขึ้นม.ปลายแล้ว สิ่งที่แปรปรวนมากที่สุดก็คือความรู้สึกของตัวเอง แถมมีคนมากมายบอกว่ามันเป็นช่วงเวลาที่สำคัญด้วย ฉันก็เลยอยากให้ความสำคัญกับช่วงนี้มากๆค่ะ

―ได้พบกับสิ่งที่เป็นที่พักใจผ่านเรื่องราวเหล่านั้นหรือเปล่า?

เทะจิ: ฉันชอบของกินมากๆ ก็เลยไปกินข้าวกับคนอื่นบ้าง พอได้เริ่มกินทีไรก็จะจดจ่ออยู่แต่กับของกินจนลืมทุกสิ่งในเสี้ยววินาทีเลย อาจจะถือเป็นรางวัลสำหรับฉันก็ได้นะคะ

―ไม่ว่ายังไงไรก็แค่พยายามทำสิ่งที่ทำตรงหน้าอย่างสุดชีวิตเท่านั้น?

เทะจิ: ก็คงเป็นอย่างนั้นนะคะ

―เหนื่อยแย่เลยสิครับ

เทะจิ: สุดๆเลยค่ะ (หัวเราะ) ไม่มีใครเข้าใจความรู้สึกนี้เลย เมมเบอร์ทุกคนก็ใช่ว่าจะอยู่ในสภาพนั้นตลอดเวลาด้วย

―ก็ใช่ว่าทุกคนจะมุ่งหน้าไปในทิศทางเดียวกันโดยเส้นทางเดียวกันสินะครับ

เทะจิ: ใช่ค่ะ ก็เลยลำบากเอาเรื่อง

― งั้นเปลี่ยนมุมมองสักหน่อย ตลอดหนึ่งปีนี้ คิดเรื่องอะไรบ้าง?

เทะจิ: มีเรื่องลำบากมากมายเลยค่ะ ที่หนักๆเลยก็คือเรื่องที่ฉันส่งเสียงไม่ได้นี่แหละ ประมาณเดือนหนึ่งได้ เพิ่งเคยเป็นครั้งแรกก็เลยไม่รู้ว่าควรจะรักษายังไง แต่พอเริ่มทำอัลบั้ม ทีมงานก็บอกว่า “ถ้าไม่เริ่มอัดเสียงละแย่แน่” จริงๆก็ฟังทำนองเตรียมไว้แล้ว พร้อมจะร้องได้ทุกเมื่อ แต่ตัวเองไม่มีเสียง ก็กึ่งๆยอมแพ้แหละนะ แต่คิดว่าถ้าไม่ทำเดี๋ยวก็โดนด่านู่นนี่อีก ก็เลยเข้าๆออกๆห้องอัดเสียง ซ้อมอยู่หลายครั้งจนในที่สุดก็ร้องเพลงได้ซะที เค้นเสียงออกมาด้วยความรู้สึกแบบ “โว้ย!” (หัวเราะ) เพลงเอกเซนทริกร้องง่ายที่สุดแล้ว ก็เลยให้ทีมงานเปิดให้ฟังตลอด สร้างฟีลลิ่งด้วยฟุเคียววะอง จนในที่สุดก็ส่งเสียงได้ในเพลงเอกเซนทริก ตอนร้องรอบแรกยังจับเสียงตัวเองไม่ได้ ร้องได้ห่วยมาก แต่แล้วก็ค่อยๆจับได้เรื่อยๆ ผ่านไปสองสามวันก็อัดเสียง ดังนั้นก็เลยถือว่าเพลงนี้มีอิทธิพลกับฉันมากเลยนะคะ เค้นเสียงออกมาด้วยความโมโห (หัวเราะ) ส่วนใหญ่แล้วฉันมักจะเป็นแบบนี้เสมอเลย ใช้ความโกรธมาเป็นพลัง

―เป็นคนที่ไม่ยอมหนีจากอารมณ์ความรู้สึกของตัวเองจริงๆด้วย การขับเคลื่อนด้วย “ความโกรธ” เป็นอะไรที่ยากลำบาก ถ้าเป็น “ความสนุก” คนเราคงสามารถทำได้อย่างไม่ยากเย็นอะไรนัก แต่ฮิราเทะซังกลับเดินหน้าไม่หยุด ไม่ว่าจะด้วยอารมณ์ไหนก็ตาม

เทะจิ: ค่ะ วันนั้นมีเรื่องที่หงุดหงิดมากๆอยู่หลายเรื่องด้วย แล้วทีนี้ก็ส่งเสียงได้เฉย กระทั่งตัวเองยังตกใจเลยค่ะ (หัวเราะ)

―ที่หงุดหงิดนั่น รวมถึงเรื่องที่ตัวเองทำอะไรไม่ได้ดั่งใจด้วยหรือเปล่า?

เทะจิ: นั่นก็ส่วนหนึ่งค่ะ แล้วก็มีอะไรให้คิดเพราะถูกคนนู้นคนนี้ว่าเอา ตอนนั้นฉันคิดว่าไม่มีใครเข้าใจฉันเลยสักคนเดียว จิตใจห่อเหี่ยวมากจริงๆนะ รู้ด้วยว่าตัวเองกำลังทำให้ทุกคนเดือดร้อน ก็เลยยิ่งคิดฟุ้งซ่านมากไปอีก เหนื่อยสุดๆเลยค่ะ เพลง ‘Getsuyoubi no Asa, Skirt wo Kirareta’ เป็นเพลงที่อัดทันทีที่เริ่มมีเสียง ความโกรธก็สะสมอยู่ในใจ ตรงท่อน “คุณจะมารู้อะไรเรื่องฉัน” ทีมงานบอกให้ใช้ความรู้สึกอัดเข้าไปเลย ก็เลยปล่อยออกไปเต็มที่เลยค่ะ ทุกคนชมกันใหญ่ เพลง ‘Jibun no Hitsugi’ ก็เหมือนกัน ถ้าไม่มีความรู้สึกพวกนั้นก็คงไม่มีเพลง ‘Getsuyoubi no Asa, Skirt wo Kirareta’ คงจะพูดออกไปในฟีลลิ่งนั้นไม่ได้ มาคิดดูตอนนี้ก็รู้สึกว่าเป็นประสบการณ์ที่สำคัญเหมือนกันนะ

―ก็มองย้อนกลับไปได้ครบถ้วนดีนะครับ

เทะจิ: ค่ะ ตอนนี้จิตใจสงบพอจะมองย้อนกลับไปได้แล้วนี่นา

―งั้นจะขอถามเรื่องที่เกิดขึ้นในปีนี้ตามลำดับเลยแล้วกันนะครับ สำหรับฮิราเทะซังแล้ว เพลง ‘Fukyouwaon’ คงเป็นเพลงที่มีอิทธิพลมากๆ

เทะจิ: ลำบากสุดๆเลยล่ะค่ะ (หัวเราะ)

―รู้สึกลำบากมากกว่าจะรู้สึกว่ามันมีอิทธิพลต่อตัวเราเองเหรอครับ?

เทะจิ: ไม่รู้เลยค่ะ จำไม่ได้ค่อยได้ด้วย มันมีช่วงที่รู้สึกว่าคนรอบข้างกำลังจับจ้องเราอยู่ ใครต่อใครก็ว่าอะไรเรานู่นนี่ รู้สึกไม่อยากคุยกับใครเลย แล้วตอนนั้น ‘Fukyouwaon’ ก็มา ไม่รู้สึกแปลกใจเลยนะคะ ร้องเพลงนี้ไปได้ด้วยอารมณ์แบบ “อืมๆ” “นี่มันความรู้สึกของเราชัดๆเลย”

TBC*นะจ๊ะ

[Link]

Reply
Vote




1 online users
Logged In :